“เรียนท่านอ๋อง พระชายา หลีอ๋องและชายาหลีอ๋องจากเมืองหลวงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่กำลังพูดคุยกันนั้น ก็ได้ยินเสียงองครักษ์รายงานขึ้นจากด้านนอก
“หลีอ๋อง? ม่อจิ่งหลี?” เยี่ยหลีอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาที่หรู่หยาง อีกทั้งยังพาเยี่ยอิ๋งมาด้วย จะว่าไป เยี่ยหลีไม่ได้พบหน้าเยี่ยอิ๋งมาก็เกือบสองปีแล้ว เดิมทีนางถูกม่อจิ่งฉีกุมตัว ยามนี้เมิ่อม่อจิ่งหลีกลับถึงเมืองหลวง ทั้งยังมีกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมือ ก็ดูจะมีฐานะพอฟัดพอเหวี่ยงกับม่อจิ่งฉี เยี่ยอิ๋งที่มีฐานะเป็นฉายาหลีอ๋องก็ย่อมได้รับอิสระเป็นธรรมดา
ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้นยิ้มเอ่ยว่า “ม่อจิ่งหลีหรือ ถ้าเช่นนั้น…อาหลี พวกเราก็ออกไปต้อนรับหลีอ๋องกับชายาหลีอ๋องกันเถิด ข้าอยากเห็นพอดีว่า ม่อจิ่งหลีที่ไม่พบหน้ากันเสียนานจะพัฒนาขึ้นไปมากน้อยเพียงใด”
เยี่ยหลีย่อมไม่มีความเห็นเรื่องนี้ ลุกยืนขึ้นเดินตามม่อซิวเหยาออกไป มีเพียงสวีชิงป๋อที่ยังมีคำถามที่อยากถาม และยังคงมีความฉงนสงสัยอยู่ไม่หยุด
ที่บอกว่าต้อนรับ ก็เป็นเพียงการให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อส่งคนไปเชิญเข้ามาแล้วเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยารอต้อบรับอยู่ภายในห้องโถงเท่านั้น ม่อจิ่งหลีดูจะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับมารยาทอันดีจากม่อซิวเหยาอยู่แล้ว สีหน้าจึงดูเป็นปกติ
เพียงเดินเข้ามาถึงห้องโถงในตำหนักติ้งอ๋อง ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนคู่กันอยู่ที่หน้าประตู ม่อซิวเหยาอยู่ในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อน ผมสีขาวประดุจหิมะรวบง่ายๆ อยู่ที่ด้านหลัง เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว ดูจะมีความเลือดเย็นและทำให้ผู้คนเกรงขามขึ้นหลายส่วน
ส่วนเยี่ยหลีอยู่ในชุดสีเขียวอ่อน ปักลายดอกโบตั๋นสีเงิน รอยยิ้มนางยังคงอ่อนหวานเช่นเดิม ส่วนสีหน้าท่าทางดูสูงส่งและมีเสน่ห์ขึ้นหลายส่วน
เมื่อเห็นสตรีในชุดสีเขียวอ่อนที่ยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ข้างม่อซิวเหยา แววตาม่อจิ่งหลีก็เป็นประกายทันที และพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ
“หลีอ๋องและชายาหลีอ๋องให้เกียรติมาถึงที่นี่ ข้ายินดีต้อนรับยิ่งนัก” เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปาก เยี่ยหลีจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น
ไม่ได้พบหน้ากันหลายปี เยี่ยอิ๋งดูต่างจากคุณหนูสี่ตระกูลเยี่ยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงในวันวานไม่น้อย สีหน้าท่าทางที่เคยอ่อนโยนเป็นที่ตราตรึงใจ มาวันนี้กลับดูมีแววตัดพ้อต่อว่าและเฉยชาขึ้นหลายส่วน เดิมทีแววตาที่เคยวูบไหวประหนึ่งชิงช้า ก็เปลี่ยนเป็นคมกล้าขึ้นมาก จนทำให้ท่าทางที่เคยดูบอบบาง มลายหายไปไม่น้อย นางเดินเคียงข้างม่อจิ่งหลีมาเงียบๆ ยิ่งทำให้ดูเหมือนพระชายาขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
แต่เยี่ยหลีกลับทันได้เห็นแววริษยาและตัดพ้อในดวงตาของเยี่ยอิ๋งที่วาววับขึ้นชั่วพริบตาเมื่อมองมาทางนาง ในใจก็อดลอบยิ้มขึ้นไม่ได้ สองปีมานี้ บางทีเยี่ยอิ๋งอาจได้รับความลำบากมาไม่น้อย แต่ตัวนางมีอันใดให้นางริษยากัน ริษยาที่นางต้องนำทัพออกศึก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหรือ หรือว่าริษยาที่นางต้องตกหน้าผาจนเกือบต้องตายท้องกลม?
ม่อจิ่งหลีมองทั้งสองที่ยืนเคียงคู่กันตรงหน้า แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ได้พบกันเสียนาน พวกท่านคงสบายดี?”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ นี่ม่อจิ่งหลีถึงขั้นรู้จักที่จะทักทายเขาดีๆ เชียวหรือ ดูท่าปีกว่ามานี้เขาคงได้เรียนรู้อันใดมาไม่น้อย
เขาพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ขอบใจมากที่คิดถึง”
ม่อจิ่งหลีสีหน้าแข็งไป ก่อนจะบิดเบี้ยวประหนึ่งกลืนแมลงวันลงไปทั้งตัวก็ไม่ปาน ผู้ใดคิดถึงเขากัน
เยี่ยหลีอมยิ้มเหลือบมองม่อซิวเหยา ก่อนหันไปส่งยิ้มให้ม่อจิ่งหลี “เชิญทั้งสองด้านในเถิด”
เมื่อเข้าไปนั่งภายในห้องโถง เยี่ยหลีถึงได้สังเกตว่า ม่อจิ่งหลีพาใครอีกคนหนึ่งมาด้วย และก็เป็นคนคุ้นเคยที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน…องค์หญิงซีสยา
องค์หญิงซีสยาแต่งตัวเป็นสาวใช้คอยติดตามม่อจิ่งหลี เพียงแต่นางก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดเวลา เยี่ยหลีจึงคิดว่านางเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาๆ แต่นางกลับตามทุกคนเข้ามาในห้องโถง เยี่ยหลีถึงได้รู้สึกแปลกๆ มิน่าสีหน้าของเยี่ยอิ๋งถึงได้ดูย่ำแย่เช่นนั้น
ยามนั้นที่ม่อจิ่งหลีไปจากเมืองหลวง ก็พาเอาองค์หญิงซีสยาไปด้วย ไม่คิดว่ายามนี้เมื่อมาซีเป่ย ก็ยังพานางมาด้วยอีก เห็นได้ชัดว่า ม่อจิ่งหลีปฏิบัติต่อองค์หญิงซีสยาไม่ธรรมดาเลย
เมื่อแขกพากันนั่งลงแล้ว เยี่ยหลีมององค์หญิงซีสยาด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย “ท่านนี้…”
ม่อจิ่งหลียังไม่ทันเอ่ยอันใด เยี่ยอิ๋งก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ก็แค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น พี่สามจะสนใจนางไปไย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ม่อจิ่งหลีก็หน้าบึ้งลงทันที สีหน้าขององค์หญิงซีสยาก็ดูไม่ดีเช่นกัน เดิมทีฐานะขององค์หญิงซีสยา สามารถเป็นชายาร่วมได้อย่างสบายๆ แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นในงานแต่งงาน องค์หญิงซีสยาจึงจำต้องแกล้งว่าเสียชีวิตเพื่อให้เรื่องนี้จบไป เดิมทีเยี่ยหลียังคิดว่าม่อจิ่งหลีน่าจะรีบให้ฐานะใหม่แก่องค์หญิงซีสยา คิดไม่ถึงว่าจนถึงขณะนี้แล้ว ฐานะของนางแม้แต่จะเป็นอนุก็ยังไม่ชัดเจน
เมื่อเห็นม่อจิ่งหลีไม่เอ่ยอันใด เยี่ยหลีก็มิได้ใส่ใจ เพียงสั่งให้คนยกน้ำชามาให้เท่านั้น
“ยามนี้ติ้งอ๋องอยู่ในสภาพนี้ ทำให้ข้าตกใจไม่น้อย” ม่อจิ่งหลีเอ่ย ที่ติ้งอ๋องผมกลายเป็นสีขาว ถึงแม้จะเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นกับตา ม่อจิ่งหลีก็ยังตกใจไม่น้อย เขาผินหน้าไปมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างม่อซิวเหยา และลอบประเมินในใจว่า ดูท่าเยี่ยหลีคงจะมีความสำคัญกับม่อซิวเหยาเสียยิ่งกว่าที่พวกเขาคาดการณ์กันเอาไว้
ม่อซิวเหยาไม่สนใจแม้แต่น้อย ปัดผมที่ปรกลงมาบริเวณหน้าอกไปไว้ด้านหลัง ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ดอกไม้บานแล้วร่วงหล่น เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา จะสนใจไปไย แต่ได้ยินว่า ปีกว่ามานี้หลีอ๋องมีชีวิตที่รุ่งเรืองอยู่ที่เจียงหนานหรือ”
ม่อจิ่งหลีกระตุกมุมปาก “ติ้งอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว จะมีอิสระสู้ติ้งอ๋องที่ยึดครองซีเป่ยได้เมื่อใดกัน” บุรุษทั้งสองพูดไปพูดมาก็อดกระแนะกระแหนกันไม่ได้ หากเป็นเมื่อก่อน ม่อจิ่งหลีไม่แน่ว่าจะมีความกล้าและเก่งกาจพอที่จะต่อปากต่อคำกับม่อซิวเหยา แต่ยามนี้มิได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ม่อซิวเหยายึดครองพื้นที่ทางซีเป่ย ส่วนเขายึดครองพื้นที่ทางเจียงหนาน หากเทียบกับซีเป่ยที่แร้นแค้นและยากจนแล้ว เจียงหนานก็ดูจะได้เปรียบมากกว่า
เยี่ยหลีอมยิ้มหันไปเอ่ยกับเยี่ยอิ๋งว่า “น้องสี่ หนึ่งปีมานี้เจ้าสบายดีหรือไม่”
เยี่ยอิ๋งหันมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าหลากหลาย นางยิ้มเย็นพร้อมส่งเสียงหึเบาๆ “พี่สามไม่รู้หรือว่าข้าถูกฮ่องเต้สั่งขัง นักโทษที่ถูกขังจะดีได้สักเท่าไรกันเชียว” คำพูดของนางคือกำลังกล่าวโทษเยี่ยหลี ที่ในยามนั้นรู้ทั้งรู้ว่านางถูกม่อจิ่งฉีสั่งขัง แต่ก็ยังไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
เยี่ยหลีมิได้สนใจ นางกับเยี่ยอิ๋งมิได้มีความผูกพันฉันพี่น้องอันใดกันลึกซึ้ง หากว่าเป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ นางก็คงพอช่วยได้ แต่ในยามนั้น เยี่ยอิ๋งถือได้ว่าเป็นคนที่ม่อจิ่งฉีใช้เป็นตัวประกันของม่อจิ่งหลี ย่อมต้องมีทหารจำนวนมากคอยเฝ้าดูนาง นางจะเสียสละลูกน้องของตนไปไยกัน
กับคำถามย้อนกลับของเยี่ยอิ๋ง เยี่ยหลียังคงมีสีหน้าเป็นปกติ เอ่ยปลอบใจว่า “ยามนี้น้องสี่กับหลีอ๋องก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ซ้ำยังมีหลีอ๋องซื่อจื่อ ชีวิตหลังจากนี้จะต้องเป็นช่วงเวลาที่ดีอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าหมองคล้ำของเยี่ยอิ๋งก็ยิ่งดูย่ำแย่เข้าไปใหญ่ เยี่ยหลีนิ่งคิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจทันทีว่า ม่อจิ่งหลีคงมิได้คิดที่จะแต่งตั้งบุตรของเยี่ยอิ๋งขึ้นเป็นซื่อจื่ออย่างแน่นอน ก็จริง ม่อจิ่งหลีอายุยังน้อย คิดอยากมีลูกเมื่อใดก็ย่อมได้ ส่วนเยี่ยอิ๋งนั้น ยามนี้เรียกได้ว่า นอกจากพี่สาวต่างมารดาอย่างตนแล้ว นางมิได้มีรากฐานอันใดไว้คอยสนับสนุนอีก แม้กระทั่งบุตรของขุนนางชั้นผู้น้อยธรรมดาๆ ก็ยังไม่ปาน เกรงว่ายามนี้เขาคงกำลังคิดที่จะเลือกสตรีจากตระกูลดีๆ ขึ้นมาเป็นชายาใหม่แล้ว
เรื่องเหล่านี้ เยี่ยหลีย่อมยื่นมือเข้าไปยุ่งไม่ได้ จึงไม่ถามต่อ ชักจูงเยี่ยอิ๋งให้ไปพูดถึงเรื่องอื่นแทน
เยี่ยอิ๋งนิ่งเงียบฟังเยี่ยหลีพูดอยู่พักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “พี่สาม เหตุใดท่านถึงต้องให้ท่านพ่อลาออกกลับไปอยู่บ้านเก่าด้วย!”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว นี่เป็นการซักไซ้นางสินะ
เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเรียบเย็น “ท่านพ่ออายุมากแล้ว ยามอยู่ในราชสำนักก็ถือว่าขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้ว การวางมือในจุดที่สูงสุดมีอันใดไม่ถูกต้องหรือ”
เยี่ยอิ๋งกัดริมฝีปาก มองเยี่ยหลีด้วยสายตาโกรธแค้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่า หลังจากนางถูกปล่อยตัวออกมาและรู้ข่าวว่าบิดามารดาและญาติพี่น้องของนางล้วนไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว นางมีความรู้สึกเช่นไร ท่านอ๋องก็ไม่ใส่ใจและคอยปกป้องนางเหมือนเช่นในอดีต มีเพียงความเฉยชาเท่านั้น แม้แต่บุตรของนางเขาก็ไม่เคยตั้งใจมองสักครั้ง หากท่านพ่อยังอยู่ ยังคงเป็นเจ้ากรม จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ความไม่ยินยอมและตัดพ้อของเยี่ยอิ๋ง เยี่ยหลีย่อมเข้าใจดี ในใจนึกยิ้มเยาะ หากเจ้ากรมเยี่ยไม่ขอลาออกและกลับบ้านเก่าไป เกรงว่าคงถูกม่อจิ่งฉีฆ่าตายไปแล้ว มีหรือจะได้อยู่ถึงยามที่เยี่ยอิ๋งถูกปล่อยตัวออกมา
เดิมทียังคิดว่า หลังจากเยี่ยอิ๋งผ่านความยากลำบากมากว่าหนึ่งปี จะทำให้นางโตขึ้น ยามนี้ดูท่านางก็ยังเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ความอยู่วันยังค่ำ!