“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าหลีเอ๋อร์นำทัพไปทำศึกจนทัพใหญ่ซีหลิงหลายแสนนายต้องล่าถอยไป พวกเรายังอดตกอกตกใจไม่ได้ ดูท่าตระกูลสวีของพวกเราคงมีแม่ทัพหญิงเข้าให้จริงๆ เสียแล้ว” สวีฮูหยินรองสนิทชิดเชื้อกับเยี่ยหลีมากหน่อย เมื่อเอ่ยล้อเล่นกับนางจึงมิได้รู้สึกกระดากใจอันใด
เยี่ยหลีทำได้เพียงยิ้ม “ท่านป้าสะใภ้รองก็มาล้อหลีเอ๋อร์เล่นกับเขาด้วย ข้าเป็นแม่ทัพอันใดได้เจ้าคะ”
ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองเยี่ยหลีที่กำลังยิ้มน้อยๆ “อาหลีมิใช่แม่ทัพจริงๆ เพียงแต่อาหลีกลับเก่งกาจยิ่งกว่าแม่ทัพเสียอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะเสียยกใหญ่
“ซื่อจื่อน้อยมาแล้ว…” หลินหมัวมัวอุ้มเด็กน้อยเดินเข้ามา เด็กทารกน้อยยังคงตื่นอยู่อย่างหาได้ยากนัก เยี่ยหลีลุกขึ้นไปอุ้มเด็กน้อยมา เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของเด็กน้อยที่ถูกเลี้ยงดูจนขาวอวบ ในใจก็เกิดความรักใคร่เป็นอย่างยิ่ง นางหนุมตัวอุ้มเด็กน้อยเข้าไปหาท่านชิงอวิ๋น “ท่านตา ท่านดูหลานสิเจ้าคะ”
ท่านชิงอวิ๋นก็เป็นคนที่มีหลานมาแล้วห้าคน ย่อมคุ้นเคยกับการอุ้มเด็ก เขายื่นมือไปรับเด็กมาอุ้มไว้ มองสำรวจโดยละเอียดแล้วหันมองเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยา “เจ้าเด็กนี่ดูจะหน้าเหมือนหลีเอ๋อร์มากกว่าอยู่สักหน่อย”
ม่อซิวเหยาอมยิ้มพยักหน้า แต่ในใจกลับไม่เห็นจริงตามนั้นแม้แต่น้อย ขอเพียงเป็นคนที่เคยเห็นม่อตัวน้อย และเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับม่อซิวเหยา ก็ต่างพูดกันว่าเขาคล้ายม่อซิวเหยา คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเยี่ยหลี ต่างก็บอกว่าเหมือนเยี่ยหลี แต่ม่อซิวเหยาหาได้สนใจว่าเจ้าตัวแสบนี่จะเหมือนผู้ใดไม่
เยี่ยหลีอมยิ้มเหลือบมองม่อซิวเหยา ในใจรู้ดีว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ แต่ก็มิได้พูดออกมา
คนอื่นๆ เมื่อเห็นท่านชิงอวิ๋นกำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่ ก็ไม่กล้าจะเข้าไปแย่งดู แต่สายตาก็อดหันไปมองทางนั้นไม่ได้ แม้แต่สวีหงอวี่ที่นั่งอยู่ใกล้สุด และพยายามนั่งตัวตรงนิ่งไม่ขยับ ก็ยังอดเอียงคอไปดูเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของท่านชิงอวิ๋นไม่ได้
เมื่อมีสายตาจำนวนมากจับจ้องมาที่ตนเช่นนี้ ท่านชิงอวิ๋นจะไม่รู้ตัวได้อย่างไร เขายิ้มพร้อมส่งเด็กน้อยในมือให้กับสวีหงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ “ลองดูสิ เด็กคนนี้คลอดออกมาได้ดีไม่น้อยทีเดียว”
เมื่อเด็กน้อยมาอยู่ในมือสวีหงอวี่ ทุกคนก็ต่างมิได้เกร็งอันใดกันมากนัก สวีชิงเยี่ยนถึงขั้นดึงสวีชิงป๋อให้เข้ามาดูทันที ถึงแม้เขาจะเคยเห็นเด็กน้อยมาก่อนแล้ว แต่ม่อตัวน้อยยิ่งโตยิ่งน่ารัก มีความเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ไม่ว่ามองอย่างไรก็มองไม่เคยพอ
สวีชิงเฉินเองก็ลุกขึ้นเดินไปมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นบิดา แต่ฮูหยินใหญ่สวีพูดขึ้นมาว่า “พวกเจ้ามัวแต่รุมเด็กน้อยกันเช่นนี้ เด็กเขาจะสบายตัวได้อย่างไร ท่านพี่ก็อุ้มเด็กไม่เป็น มาให้ข้าอุ้มเถิด”
เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กน้อยจึงย้ายจากมือสวีหงอวี่ไปอยู่ในมือของสวีฮูหยินใหญ่ จากนั้นคนที่มารุมดูจึงเปลี่ยนเป็นสวีฮูหยินรองสวีและฉินเจิงแทน
ม่อตัวน้องถูกส่งต่อกันไปต่อกันมา แต่กลับไม่ร้องไห้ จนทำให้ฮูหยินใหญ่สวีถึงกับส่งเสียงจึ๊จี๊ด้วยความประหลาดใจ “เด็กคนนี้ช่างแปลกนัก ยามนั้นชิงเจ๋อที่ร้องให้น้อยที่สุดของตระกูลเราก็ยังไม่ว่าง่ายเช่นนี้”
ม่อซิวเหยาที่อยู่อีกด้านถึงกับมุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย จ้องมองเจ้าตัวกลมๆ แดงๆ ในมือฮูหยินใหญ่สวีด้วยความรังเกียจ ว่าง่าย? แล้วเจ้าปีศาจที่ร้องจะให้อาหลีอุ้มไม่หยุดอยู่ทุกเย็นนั่นเป็นผู้ใดกัน
สวีหงอวี่อมยิ้มเอ่ยว่า “เด็กคนนี้ชื่อว่าอันใด”
สวีหงเยี่ยนรีบชิงตอบว่า “ม่อตัวน้อยขอรับ!”
สวีหงอวี่อึ้งไป มุมปากกระตุกขึ้นทีหนึ่ง นี่มันชื่ออันใดกัน
เยี่ยหลียกยิ้มเอ่ยว่า “ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อเลยเจ้าค่ะ กำลังคิดว่าจะรอให้ท่านตามาช่วยตั้งชื่อให้หลานอยู่พอดี จึงตั้งเพียงชื่อเล่นเอาไว้เรียกกันเจ้าค่ะ”
นางบอกท่านตากับท่านลุงได้หรือ ชื่อที่ผู้เป็นบิดาเขาตั้งให้ ดูจะมีแต่ทำให้เมื่อลูกน้อยโตขึ้นคงต้องขายหน้าหรืออันใดเทือกนั้น
ท่านชิงอวิ๋นอึ้งไปเล็กน้อย ดูไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาก้มหน้าลงคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ให้ชื่อว่า…อวี้เฉินดีหรือไม่”
อวี้ มีความหมายว่าผู้บัญชาการ ผู้บังคับบัญชา ส่วนเฉิน นั้นหมายถึงเจ้าแผ่นดิน ทุกคนในที่นั้นมีผู้ใดบ้างที่มิได้เป็นคนที่มีความรู้มีการศึกษา การจะใช้ชื่อเช่นนี้ จึงทำให้ทุกคนต่างนิ่งอึ้งไป
สวีชิงป๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามด้วยความลังเลว่า “ท่านปู่ขอรับ ชื่อนี้….”
ท่านชิงอวิ๋นยิ้มเอ่ยเรียบๆ ว่า “ก็เพียงแค่ชื่อชื่อหนึ่งเท่านั้น ข้าก็เพียงเห็นว่าเด็กคนนี้เหมาะสมกับชื่อนี้ก็เท่านั้น”
ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านชิงอวิ๋นพูดถูกแล้วขอรับ ก็เพียงชื่อเท่านั้น ลูกชายของข้าจะใช้เพียงชื่อที่ดีชื่อหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ”
ทุกคนนิ่งเงียบไป ปัญหาของชื่อนี้อยู่ที่ว่าเป็นชื่อที่ดีหรือ เกรงว่าต่อให้เป็นบุตรของฮ่องเต้ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าใช้ชื่อเช่นนี้
สวีชิงป๋อมองสีหน้าเรียบเฉยของท่านปู่ด้วยความฉงนสงสัย ท่านปู่เป็นถึงยอกบัณฑิตขงจื้อแห่งยุค ไม่มีทางไม่รู้ความหมายที่แฝงอยู่ในชื่อนี้ และไม่มีทางไม่รู้ว่าเป็นชื่อต้องห้าม แต่ในเมื่อท่านพ่อ พี่ใหญ่และติ้งอ๋องต่างไม่มีผู้ใดคัดค้าน เชื่อว่าทุกคนคงรู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “เป็นหลานที่คิดผิดเพี้ยนไปเองขอรับ”
เมื่อสวีฮูหยินใหญ่เห็นว่าทุกคนไม่มีความเห็นอันใดแล้ว ก็ก้มลงมองเด็กน้อยในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่ “เด็กน้อย ต่อให้ชื่อของเจ้าคือม่ออวี้เฉินแล้วนะ อวี้เฉินน้อย…”
ม่อซิวเหยาปรายตามองลูกน้อยทีหนึ่ง “สวีฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ เรียกเขาว่าม่อตัวน้อยก็ได้ขอรับ” ม่อซิวเหยาทำลายชื่อของบุตรชายลงอย่างไม่ไยดี หมายมั่นว่าก่อนที่ม่อตัวน้อยจะสามารถพูดได้ เขาจะต้องชื่อนี้ไว้กับลูกอย่างแน่นหนา
สวีฮูหยินใหญ่อึ้งไป เมื่อก้มลงไปเห็นเด็กน้อยกำลังมองมาด้วยตากลมโตใส ก็ยิ้มเอ่ยว่า “ตัวน้อย…อื้อ เป็นสมบัติตัวน้อยจริงๆ เสียด้วย”
เยี่ยหลีได้แต่ปิดหน้าอย่างจนใจ ตัวน้อย แม่ผิดต่อเจ้า…
จนเมื่อบรรดาสตรีและลูกน้อยต่างพากันออกไปพักแล้ว ภายในห้องถึงใหญ่ถึงได้ค่อยสงบลง
ท่านชิงอวิ๋นผินหน้าไปมองม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีที่นั่งเคียงกันอยู่ ในแววตามีประกายปลาบปลื้มใจ เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านตัดสินใจแน่แล้วหรือ”
ทุกคนต่างนิ่งไป หันมองม่อซิวเหยากันเป็นตาเดียว
ม่อซิวเหยาดึงมุมปากขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มอันเย็นเยียบ “ข้ายังต้องเลือกอันใดอีก ราชวงศ์มิได้เลือกให้ตำหนักติ้งอ๋องตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้วหรือ
ทุกคนที่นั่งอยู่พากันนิ่งเงียบโดยไม่รู้ตัว อำนาจสามารถทำให้ผู้คนมัวเมาได้ง่าย ในอดีตองค์ปฐมฮ่องเต้ได้ลั่นคำสัตย์สาบานว่าจเป็นพี่น้องกับตำหนักติ้งอ๋องไปชั่วกาลนาน ในยามที่ร่วมกันปกครองแผ่นดินต้าฉู่ ก็อาจจะมิใช่เป็นความรู้สึกจอมปลอม แต่นี่ผ่านมาเพียงไม่กี่สมัย ทั้งสองตระกูลก็มาถึงจุดที่ข้าอยู่เจ้าไปเสียแล้ว แต่วิธีการและการกระทำของราชวงศ์ก็ดูจะเลือดเย็นเกินไปสักหน่อย
สวีหงอวี่หันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ท่านอ๋องยามนี้ท่านมีแผนอันใดหรือไม่”
ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ “แผนการนั่นย่อมมีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องค่อยๆ ดำเนินการ”
สวีหงอวี่พยักหน้า “ท่านอ๋องสามารถทำใจให้สงบได้ เช่นนี้ก็ดียิ่งนัก”
สถานการณ์ของม่อซิวเหยาในยามนี้ สิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดก็คือการระงับใจไว้ไม่อยู่ เมื่อเพิ่งได้รู้เกี่ยวกับความแค้นที่ฝังลึกของผู้เป็นบิดาและพี่ชาย กับทหารกองทัพตระกูลม่อจำนวนมากที่ต้องมาล้มตายอย่างเสียเปล่า คนที่สามารถอดกลั้นความโกรธไว้ได้ย่อมมีไม่มากนัก
แต่ซีเป่ยเมื่อเทียบกับพื้นที่ทางจงหยวนและเจียงหนานแล้ว ก็ยังห่างไกลและแร้นแค้นกว่าไม่น้อย หากติ้งอ๋องใจร้อนรีบเสี่ยงเกินไป หากม่อจิ่งฉีเกิดเล็ดรอดจากบ่วงแหไปได้ สุดท้ายแล้วคงมีแต่จะเสียหายหนักทั้งสองฝ่าย และมีแต่ชาวประมงที่จะได้ประโยชน์
ม่อซิวเหยาเข้าใจถึงความหมายของสวีหงอวี่ จึงยิ้มเรียบๆ “ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ ข้ายังมีอันใดที่รอไม่ได้อีก ท่านหงอวี่วางใจเถิด ต่อไปยังมีเรื่องในซีเป่ยอีกมากที่ต้องรบกวนให้ท่านหงอวี่และหงเยี่ยนช่วยเหลือ”
ภายใต้คำพูดเพียงประโยคเดียว แต่หมายความถึงความรับผิดชอบที่หนักหน่วงยิ่งนัก
สวีหงอวี่พยักหน้าน้อยๆ “เป็นหน้าที่อยู่แล้ว”
เยี่ยหลีเอ่ยปากขึ้นว่า “หลีเอ๋อร์จัดจวนหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักอ๋องให้ท่านลุงทั้งสอง แต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด จึงมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ทันได้จัดการให้เรียบร้อย ช่วงนี้คงต้องลำบากท่านลุงและพี่ๆ ทุกคนให้พักอยู่ในตำหนักอ๋องเป็นการชั่วคราวไปก่อนนะเจ้าคะ”
เดิมทีเยี่ยหลีก็คิดอยากให้ทุกคนอยู่ด้วยกันที่ตำหนักอ๋อง เพราะถึงอย่างไรตำหนักอ๋องก็ใหญ่พอ ไม่ต้องกังวลว่าจะพักกันไม่หมด แต่ถึงอย่างไรท่านลุงทั้งสองก็เป็นผู้อาวุโส อีกทั้งต่างคนต่างก็มีครอบครัวเป็นของตนเอง พี่ชายทุกคน นอกจากน้องห้าแล้ว ก็อยู่ในช่วงอายุที่ควรแต่งงานได้แล้ว ถึงแม้การอยู่ในตำหนักติ้งอ๋อง จะไม่ทำให้ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และพี่ๆ ลำบาก แต่ก็เป็นกังวลว่าจะทำให้พวกเขาไม่มีอิสระทางใจ
สวีหงอวี่พยักหน้า “หลีเอ๋อร์ใส่ใจแล้ว”
เยี่ยหลีอมยิ้ม มองท่านชิงอวิ๋นตาแป๋ว “ท่านตาพักอยู่ที่ตำหนักอ๋องดีหรือไม่เจ้าคะ หากหลีเอ๋อร์กับท่านอ๋องมีเรื่องอันใดจะได้คอยคำชี้แนะได้ตลอดเวลา”
“เหลวไหล” ท่านชิงอวิ๋นปรายตามองนาง เอ่ยต่อว่าเสียงเบาว่า “มีที่ใดกัน ให้ตาไปอยู่ที่บ้านหลานสาวนานๆ หากคนอื่นรู้เขาคงคิดว่าท่านลุงของเจ้าไม่กตัญญู อีกอย่างจวนที่เจ้าจัดไว้ คิดว่าคงไม่ไกลจากตำหนักอ๋องเท่าไรใช่หรือไม่ หากคิดถึงตาก็เดินทางบ่อยหน่อยก็แล้วกัน อีกอย่าง…ตาอยู่ที่บ้านนอกเสียจนชินแล้ว ไม่ค่อยคุ้นกับการอยู่ในสถานที่ที่ครึกครื่นเกินไปนัก”
เยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่าท่านชิงอวิ๋นไม่มีทางอนุญาต จึงยิ้มอย่างมิได้เสียใจอันใดนัก “หลีเอ๋อร์เหลวไหลไปเอง ท่านตากับท่านลุงอย่าได้โกรธเคืองเลยนะเจ้าคะ ด้านนอกเมืองห่างไปห้าลี้มีบ้านพักอยู่บนภูเขาหลังหนึ่ง วิวทิวทัศน์ก็พอใช้ได้ หลายวันก่อนท่านอ๋องให้คนไปซื้อไว้แล้ว ถือเสียว่าหลีเอ๋อร์กับท่านอ๋องกตัญญูต่อท่านตาก็แล้วกันนะเจ้าคะ ท่านตาอย่าได้ปฏิเสธเลย”
ท่านชิงอวิ๋นสีหน้าอ่อนลง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ตารู้ว่าเจ้ากตัญญู ตาก็จะไม่ปฏิเสธ พอดีเลย ไว้กลับไปจะได้เปิดสำนักศึกษาขึ้นใหม่อีกครั้ง”
เมื่อคิดถึงสำนักศึกษาหลีซานที่กลายเป็นตอตะโกไปแล้ว ท่านชิงอวิ๋นมิใช่ว่าจะไม่เสียใจ ถึงแม้ตำราโบราณทั้งหมดจะย้ายออกมาแล้ว แต่ตัวสำนักศึกษาหลีซานเองก็เก่าแก่เพียงพอที่จะมีความหมายพิเศษด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว
เยี่ยหลีพยักหน้า “ท่านตาโปรดวางใจ สำนักศึกษาหลีซานจะต้องเปิดขึ้นใหม่อีกครั้งแน่นอนเจ้าค่ะ และจะต้องดีกว่าแต่ก่อนแน่นอน”
ท่านชิงอวิ๋นพยักหน้า “หลานพูดถูก”