วันต่อมาหลังงานเลี้ยงครบเดือนของติ้งอ๋องซื่อจื่อ ก็มีข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปถึงฟ้าออกมาจากตำหนักติ้งอ๋องอีกครั้ง ติ้งอ๋องประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะปกครองพื้นที่ในเขตซีเป่ย หรือก็คือพื้นที่ทางตะวันตกของด่านเฟยหงทั้งหมดห้าเขต สิบเจ็ดเมือง โดยมีหรู่หยางเป็นศูนย์กลาง เปลี่ยนชื่อเมืองจากหรู่หยางเป็นเมืองหลี และเปลี่ยนปีรัชสมัยเป็นหย่งติ้ง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พื้นที่ทางตะวันตกของด่านเฟยหง ประกาศแยกตัวออกจากแผนที่ของต้าฉู่อย่างเป็นทางการ
ภายในที่พักของคณะทูต เมื่อเจิ้นหนานอ๋องได้ยินลูกน้องเข้ามารายงานข่าวนี้ ก็ถึงกับอึ้งไป “เมืองหลี…หย่งติ้ง…ครานี้ม่อซิวเหยาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไม่ข้องเกี่ยวกับต้าฉู่แล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
เหลยเถิงเฟิงที่รีบร้อนกลับเข้ามาจากด้านนอกเมื่อครู่รีบวางถ้วยชาลง เบ้ปากด้วยความดูแคลน “หากข้าเป็นม่อซิวเหยา ไม่ยกทหารบุกเข้าไปเมืองหลวงในทันทีก็ถือว่าดีมากแล้ว”
การที่ม่อจิ่งฉีมีฐานะเป็นฮ่องเต้แต่กับทำลายกำแพงเมืองของตนเองลงเช่นนี้ ทำให้เหลยเถิงเฟิงทั้งไม่เข้าใจและนึกดูแคลนอยู่ในใจ
เจิ้นหนานอ๋องหันมองบุตรชายของตน เอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “เจ้าดูถูกม่อจิ่งฉีหรือ คิดว่าหากเจ้าเป็นเขาจะทำได้ดีกว่าเขา อย่างนั้นใช่หรือไม่”
เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่าเสด็จพ่อไม่มีทางถามคำถามที่คำตอบชัดเจนอยู่แล้วอย่างไร้เหตุผล
เจิ้นหนานอ๋องก็มิได้คิดอยากจะได้คำตอบจากเขาจริงๆ ถอนใจเบาๆ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “หากมีผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างตำหนักติ้งอ๋อง ไม่ว่าผู้ใดเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ง่ายทั้งสิ้น ตัวม่อจิ่งฉีนั้นก็คิดการใหญ่อยู่แล้ว แต่ก็รู้ดีว่าตนมีความสามารถเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นบ้าไปสิแปลก”
จะว่าถูกก็ได้ จะว่าไม่ถูกก็ถือว่าไม่ผิด ตำหนักติ้งอ๋องในสายตาของม่อจิ่งฉีนั้นน่าเกรงกลัวเสียยิ่งกว่าเป่ยหรงและซีหลิงมากนัก พวกเราคิดอยากบุกเข้าไปในต้าฉู่ยังต้องทำศึกอย่างยากลำบากอยู่เป็นแรมปี ยามนี้นอกจากหนานจ้าวแล้ว ความสามารถของทั้งสามแคว้นที่เหลือมิได้แตกต่างกันมากนัก แต่ตำหนักติ้งอ๋องหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตัวอย่างเช่นม่อหลิวฟางเมื่อในปีนั้น ด้วยอิทธพลและบารมีของเขาในยามนั้น ขอเพียงเขาเปิดเผยออกมาให้ผู้อื่นได้รู้สักนิดว่ามีความคิดที่อยากจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ เชื่อหรือไม่ว่า จะต้องมีคนจำนวนนับไม่ถ้วน ที่พุ่งตรงเข้ามาสนับสนุนให้เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ บุคคลเช่นนี้…สามารถแย่งชิงชิงต้าฉู่ไปได้โดยไม่ต้องเสียทหารหรือเลือดเนื้อเลยแม้แต่หยดเดียว เจ้าคิดว่าเขาน่ากลัว หรือว่าเป่ยหรงและซีหลิงของพวกเราที่น่ากลัว?”
“แต่ว่า…” เหลยเถิงเฟิงคิดอยากเอ่ยคัดค้าน
เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยขัดเขาว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าม่อหลิวฟางกับตำหนักติ้งอ๋องมิได้มีใจคิดทะเยอทะยานอย่างเป็นประมุขแห่งใต้หล้าใช่หรือไม่”
เหลยเถิงเฟิงลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้พยักหน้า
เจิ้นหนานอ๋องยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าเป็นม่อจิ่งฉี เจ้าจะเชื่อจริงๆ หรือว่าการมีอยู่ของตำหนักติ้งอ๋องจะไม่เป็นอันตรายต่อตนเอง?”
เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วใคร่ครวญตาม พยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในฐานะอย่างม่อจิ่งฉีอย่างเต็มที่ หลังจากใคร่ครวญอย่างหนักอยู่พักใหญ่ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าก็ทั้งขาวและคล้ำ ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ
เจิ้นหนานอ๋องหัวเราะอย่างเข้าใจในทันที “เข้าใจแล้วหรือยัง ความผิดของตำหนักติ้งอ๋องมิใช่เพราะพวกเขามีใจคิดทะเยอะทะยาน แต่เป็นเพราะพวกเขาแข็งแกร่งเกินไป ไม่ว่าเป็นฮ่องเต้พระองค์ใดก็ตาม ก็ไม่มีทางยอมให้มีบุคคลเช่นนี้อยู่ จะปล่อยให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ กรนใส่หูตนเองได้อย่างไร หากผู้ที่เป็นฮ่องเต้มีความแข็งแกร่งพอ คงยังพอสามารถรักษาสมดุลหรือแม้กระทั่งกดพวกเขาไว้ดี น่าเสียดาย…ที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ล้วนสู้รุ่นก่อนหน้าไม่ได้เลยสักคน ส่วนทายาทคนต่อๆ มาของม่อหลั่นอวิ๋นนั้นกลับเก่งกาจกันขึ้นเรื่อยๆ นี่คงเป็นชะตากระมัง”
เหลยเจิ้นถิงก้มศีรษะลงเอ่ยว่า “ขอบพระคุณเสด็จพ่อที่ชี้แนะ ลูกคิดง่ายเกินไปเอง”
เจิ้นหนานอ๋องถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าอายุยังน้อย” ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจก็มีความเสียดายอยู่บ้าง เถิงเฟิงอายุห่างกับม่อซิวเหยาเพียงไม่เท่าไร แต่เมื่อเทียบเรื่องความสามารถและอิทธิพลกับม่อซิวเหยาแล้ว กลับห่างกันไกลนัก มิใช่ว่าบุตรชายของเขาไม่โดดเด่น แต่เป็นม่อซิวเหยาที่โดดเด่นจนเกินไปต่างหาก
“เสด็จพ่อ ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้…” เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “มอซิวเหยาทำเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่คิดที่จะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้า “หากเขาคิดที่จะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ครานี้ที่เรามาคงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงครบเดือนของติ้งอ๋องซื่อจื่อ แต่จะได้มาร่วมงานพิธีสถานปนาขึ้นครองราชย์แทน นี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ฉลาดของม่อซิวเหยา เจ้าลองจัดการดูก็แล้วกัน หลายวันนี้หลังจากข่าวจากเมืองหรู่หยางแพร่ออกไป ลมทั่วทั้งต้าฉู่คงเปลี่ยนทิศไปทางตำหนักติ้งอ๋องทันที แต่หากยามนี้ม่อซิวเหยาตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ สถานการณ์คงต่างไปมากทีเดียว หลายๆ เรื่องที่มากเกินไปนักก็ไม่ดี ซึ่งนี่ก็อธิบายได้เช่นเดียวกันว่า ม่อซิวเหยาผู้นี้ ไม่เพียงมีความสามารถโดดเด่นเหนือผู้ใด แต่เขายังมีความอดทนที่มากพออีกด้วย ในโลกนี้มิใช่ทุกคนที่จะทนต่อความเย้ายวนใจของตำแหน่งฮ่องเต้ได้”
เหลยเถิงเฟิงนิ่งไป ในประวัติศาสตร์ ได้มีการบันทึกถึงบุคคลที่พอได้ยึดครองขนาดพื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย ก็รีบร้อนเรียกตนเองว่าเป็นอ๋อง ซึ่งมีอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งมีแต่ทำให้คนรุ่นหลังรู้สึกน่าขันเป็นยิ่งนัก แต่หากได้เขาไปเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้นจริง จะมีสักกี่คนที่ทนความเย้ายวนของตำแหน่งฮ่องเต้ได้ ในใจเหลยเถิงเฟิงรู้ดีกว่า อย่างน้อยตนคนหนึ่งล่ะ ที่ทนไม่ได้
“พวกเราควรอาศัยโอกาสนี้ยกทัพ…”
เจิ้นหนานอ๋องยกมือขึ้น เอ่ยว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทัพใหญ่ที่อยู่บริเวณชายแดนซีหลิง ให้ถอนทัพทั้งหมดกลับไปสามสิบลี้”
เหลยเถิงเฟิงไม่เข้าใจ “เสด็จพ่อ?”
เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยเสียงขรึมว่า “พวกเราจะเจรจาเป็นพันธมิตรกับม่อซิวเหยา”
เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ ม่อจิ่งฉีจะต้องโกรธจัดอย่างแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่ม่อจิ่งฉียกทัพมาบุกซีเป่ย ก็ให้ซีหลิงของพวกเรามีโอกาสเข้าไปร่วมด้วยพอดี เสด็จพ่อ เหตุใดถึงคิดอยากเจรจาเป็นพันธมิตรกับม่อซิวเหยาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องพ่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความดูแคลน “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าม่อจิ่งฉีจะกล้าลงมือทำอันใดกับม่อซิวเหยา หากเขามีความกล้าเช่นนั้นคงไม่ต้องรอให้ถึงวันนี้หรอก ต่อให้ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาไม่มีชื่อรัชสมัยแล้วอย่างไร เรื่องที่กองทัพตระกูลม่อยึดครองพื้นที่ทางซีเป่ยนั้นเป็นเรื่องจริง หากม่อจิ่งฉีคิดจะยกทัพมายึดพื้นที่คืน ก็ไม่ขาดเหตุผลแม้แต่น้อย แต่เจ้าลองดูสิว่าเขากล้าหรือไม่ อย่างมากก็เพียงส่งกำลังทหารมาพอเป็นพิธีเท่านั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ม่อจิ่งฉีคงไม่ไปทำอันใดเขา แต่ถึงเวลานั้นหากกองทัพตระกูลม่อหันกลับมา คนที่เขาคิดจะจัดการก็คงเป็นพวกเราแล้ว”
เหลยเถิงเฟิงเอ่ยว่า “พวกเราซีหลิงหาได้กลัวกองทัพตระกูลม่อไม่”
เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ถูกต้อง พวกเราไม่กลัวกองทัพตระกูลม่อ ต่อให้กองทัพตระกูลม่อเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางกวาดล้างซีหลิงด้วยพื้นที่เล็กๆ อย่างซีเป่ยได้ แต่หากเป่ยหรงกับหนานจ้าวเข้ามาร่วมมือด้วย เจ้ากลัวหรือไม่”
ผู้ใดก็ล้วนมิใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน การลอบโจมตียามไฟไหม้นั้น มิใช่มีแต่พวกเขาคนเดียวที่ทำเป็น
เหลยเถิงเฟิงนิ่งเงียบไป ไม่มีอันใดจะเอ่ยอีก