กล่าวได้ว่าเยียหลี่ว์เหยี่ย ได้สร้างเรื่องอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้มีอิทธิพลจากทุกแว่นแคว้นเสียแล้ว เมื่อเห็นว่านกอินทรีย์สีขาวที่เอาแต่พุ่งเข้าใส่กรงขังด้วยความโกรธเกรี้ยวและคิดที่จะหลบหนี ถูกคนจับไปได้แล้ว สีหน้าน่าสมเพชเวทนาของเยียหลี่ว์เหยี่ยก็บึ้งตึงเสียจนน่าตกใจ
ทุกคนที่นั่งอยู่เมื่อสีหน้าท่าทางน่าสมเพชเวทนาของเขา ก็ได้แต่ลอบกระซิบกระซาบกันเอง คนของตำหนักติ้งอ๋องเห็นแก่ไมตรีของคนเป็นเจ้าบ้าน ก็ยังพอให้เกียรติบ้าง แต่คณะทูตจากแคว้นอื่นๆ กลับไม่เห็นแก่หน้ากันเช่นนั้น คนของซีหลิงที่มากันกลุ่มหนึ่งถึงขั้นหัวเราะงอหายเลยทีเดียว ซึ่งยิ่งทำให้เยียหลี่ว์เหยี่ยหงุดหงิดใจยิ่งขึ้นไปอีก
เยี่ยหลียื่นม่อตัวน้อยส่งให้แม่นมที่อยู่ข้างๆ อุ้มกลับไป ก่อนอมยิ้มเอ่ยว่า “อุบัติเหตุเล็กๆ น้อย ทุกท่านอย่าได้สนใจ องค์ชายเยียหลี่ว์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนดีหรือไม่”
เยียหลี่ว์หงพยักหน้าเอ่ยว่า “พระชายาพูดถูก ด้วยความสะเพร่าของน้องเจ็ดทำให้เกิดความวุ่นวาย ท่านอ๋อง พระชายาโปรดอภัยด้วย น้องเจ็ด รีบไปเถิด”
เยียหลี่ว์เหยี่ยกับเยี่ยหลี่ว์หงไม่ถูกกันมาตั้งแต่ยามที่อยู่เป่ยหรง จะว่าพวกเขาคิดอยากกำจัดอีกฝ่ายให้ตายๆ ไปเสียก็ยังน้อยไป แต่ยามนี้เมื่อมาอยู่กันที่ต้าฉู่ จึงไม่คิดจะทะเลาะกันเองเป็นการภายใน เมื่อได้ยินเยียหลี่ว์หงเอ่ยเรียกเตือนเสียงเบา เยียหลี่ว์เหยี่ยก็ประสานมือไปทางเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าย่ำแย่ ก่อนหมุนตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ส่งผลอันใดต่ออารมณ์ของคนอื่นๆ ที่เหลือ และเป็นเยียหลี่ว์หงที่ลุกขึ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่อน้องเจ็ดให้ของขวัญไปก่อนแล้ว ตัวข้าที่ป็นตัวแทนจากเป่ยหรงและเสด็จพ่อ ก็เตรียมของขวัญอีกชิ้นไว้ให้ซื่อจื่อน้อยเช่นกัน หวังว่าติ้งอ๋องและพระชายาจะไม่รังเกียจ”
เยียหลี่ว์หงโบกมือ ก็มีบุรุษเป่ยหรงสองคนเดินยกกล่องผ้าไหมขึ้นมา พอเปิดกล่องออก ประกายสีทองที่ส่องสว่างออกมา ก็ทำให้แขกทุกคนในงานถึงกับตาพร่า
ภายในกล่องผ้าไหมเป็นนกอินทรีย์ตัวหนึ่งเช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับนกอินทรีย์ขาวที่บินพุ่งชนไปทั่วเมื่อครู่ นี่เป็นนกอินทรีย์ทองคำ ที่มีขนาดพอๆ กับนนกอินทรีย์ขาวตัวเมื่อครู่ หล่อขึ้นจากทองคำปานประหนึ่งมีชีวิต แม้แต่ดวงตาของนกอินทรีย์ทองยังใช้อัญมณีสีเขียวเข้มฝังไว้แทนดวงตา เพียงแค่เห็นบุรุษของเป่ยหรงทั้งสองช่วยกันยกขึ้นมา ก็รู้ได้ทันทีว่านี่ย่อมมิใช่การปิดทองหรือเคลือบทองอย่างแน่นอน แต่เป็นนกอินทรีย์ทองที่หล่อขึ้นจากทองคำแท้ๆ ถึงแม้เหมืองทองให้เป่ยหรงจะมีอยู่มาก แต่ของขวัญที่เป่ยหรงนำมาให้นี้ก็ถือว่ามีความเหมาะสมเพียงพอทีเดียว
ม่อซิวเหยายิ้มพร้อมพยักหน้า “ขอบคุณมากสำหรับของขวัญชิ้นใหญ่ของรัชทายาทเป่ยหรง” พูดจบเขาก็โบกมือ แล้วก็มีคนก้าวเข้ามารับของขวัญไปทันที
เยียหลี่ว์หงก็มิได้สนใจ เพียงยิ้มบางๆ แล้วกลับไปนั่งที่ของตนเอง
จากนั้นทูตจากแต่ละแคว้นก็ต่างผลัดกันขึ้นมามอบของขวัญของตน ผู้บัญชาการทหารทั้งหลายของตำหนักติ้งอ๋องก็มิกล้าน้อยหน้า ต่างพากันขึ้นมามอบของขวัญให้ซื่อจื่อน้อยกันทุกคน แต่ก็มิได้เป็นของขวัญยิ่งใหญ่อันใดมากนัก แต่เป็นเจิ้นหนานอ๋องที่นำหญิงงามจากซีหลิงถึงสิบนางมาให้เป็นของขวัญ ซึ่งม่อซิวเหยาก็รับทั้งหมดไว้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นหันขึ้นไปเห็นสีหน้าติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋อง พวกเขาต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เยี่ยหลียกถ้วยชาขึ้นจิบ เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋องช่างวาสนาดีไม่เบาเลยนะเพคะ”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ที่ได้แต่งงานกับอาหลี แน่นอนว่าข้าย่อมมีวาสนาดี”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “สตรีซีหลิงทั้งสิบนางนั่น ท่านอ๋องคิดจะจัดการเช่นไรเพคะ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยความไม่สนใจว่า “คืนนี้พวกเราได้รับของขวัญมากมาย อย่างไรก็คงจะไม่ให้ของขวัญตอบแทนเลยไม่ได้กระมัง เยียหลี่ว์เหยี่ย เยียหลี่ว์หงกับม่อจิ่งหลี อันซี…องค์หญิงอันซีก็แล้วไปเถิด หนึ่งคนให้สักสองสามคนก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หรือว่าพวกเขาจะปฏิเสธของขวัญตอบแทนของข้า”
ต่อให้ไม่อยากได้พวกนาง ก็ควรจัดการเป็นการส่วนตัว อย่างไรก็ไม่ควรทำให้พวกเขาเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัล
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากเยี่ยหลีก็ถึงกับกระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว “หมิงซีกับเฟิ่งซานพูดถูกจริงๆ นับวันท่านอ๋องยิ่งขี้งกขึ้นเรื่อยๆ”
เรื่องเงินพนันที่นำมาจัดงานเลี้ยงครบเดือนของบุตรชายก็แล้วไปเถิด แต่แม้แต่ของขวัญตอบกลับยังนำของที่ผู้อื่นนำมาให้เป็นของขวัญไปเป็นของขวัญอีกนี่สิ
ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้อาหลีจะมาโทษว่าข้าขี้งกไม่ได้นะ ผู้ใดใช้ให้พวกเรากับคนจำนวนมากในกองทัพตระกูลม่อต้องกินต้องดื่มกันเล่า อ้อ…อีกอย่างเมื่อสองวันก่อนข้าเห็นเครื่องประดับชุดหนึ่งที่มาจากทางตะวันตก สวยมากทีเดียว เหมาะกับอาหลียิ่งนัก ข้าใช้เงินไปถึงหกหมื่นตำลึงเชียวนะ”
“อ้อ? ให้ข้า?” เมื่อได้ยินว่าราคาหกหมื่นตำลึง ก็ทำให้เยี่ยหลีอดขมวดคิ้วน้อยๆ ขึ้นมาไม่ได้ นั่นคือเงินหกหมื่นตำลึงเงิน มิใช่หกหมื่นตำลึงเฉยๆ เสียด้วย แต่เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาบอกว่าซื้อให้นาง ในใจนางก็นึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีสตรีนางใดที่ไม่ยินดีที่สามีของตนซื้อของขวัญให้หรอก
ม่อซิวเหยาพยักหน้า พลางเอ่ยตัดพ้อว่า “คนพวกนี้ก็ช่างไม่รู้จักอันใดเสียเลย ม่อตัวน้อยเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นั้นจะไปรู้เรื่องอันใด คนที่ลำบากคลอดบุตรคืออาหลีต่างหาก หากจะให้ของขวัญก็ควรให้อาหลีถึงจะถูก”
คนที่อยู่ด้านบนทุกคน ต่างมองสามีภรรยาตรงตำแหน่งประธานที่ดูรักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างยิ่งด้วยสายตาประหลาด ติ้งอ๋องรับหญิงงามทั้งสิบคนจากซีหลิงต่อหน้าทุกคน แต่ชายาติ้งอ๋องกลับดูไม่มีท่าทีโกรธเคืองเลยแม้สักนิด และถึงขั้นดูจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่อีกด้วย นี่มันเรื่องอันใดกัน ดูจากสีหน้านางแล้วก็ดูมิใช่การฝืน หรือแกล้งทำเป็นยินดีเสียด้วย
ทุกคนยังไม่ทันได้พูดอันใด จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมเล็กดังมาจากด้านล่างกำแพงเมืองว่า “มีราชโอการ!”
ทุกคนต่างอึ้งไป ผู้คนโดยมากต่างตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เย็นย่ำเช่นนี้ คนที่มาประกาศราชโองการนั้นมาจากที่ใดกัน ยามนี้กำแพงเมืองก็น่าจะปิดไปเสียนานแล้วกระมัง อีกทั้งการกระทำของฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ก็ดูจะประหลาดอยู่สักหน่อย ต้องการอวยพรติ้งอ๋องซื่อจื่อ แต่กลับไม่เห็นตัวแม้แต่เงา ยามนี้เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาได้ครึ่งทาง ถึงได้ออกมาให้คนตกใจเล่นเสียอย่างนั้น
คนจำนวนไม่น้อยต่างหันไปมองม่อจิ่งหลี กลับเห็นว่าม่อจิ่งหลีเองก็กำลังขมวดคิ้วมุ่นด้วยสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นเช่นกัน
แต่สีหน้าเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยากลับยังดูสบายๆ เช่นเดิม รอยยิ้มตรงมุมปากของม่อซิวเหยากว้างขึ้น สายตาทอดมองไปทางสวีหงอวี่และสวีชิงเฉินที่นั่งอยู่ทางด้านล่าง
สวีหงอวี่พยักหน้าน้อยๆ อย่างแทบจะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ส่วนสวีชิงเฉินก็ระบายยิ้มน้อยๆ ปานประหนึ่งพระจันทร์ที่สว่างใส
ไม่นาน ผู้ที่มาประกาศราชโองการก็เดินมาถึงกำแพงเมือง คนที่เดินนำมาอยู่ในชุดขุนนางขั้นสองของราชสำนัก ซึ่งก็คือเจ้ากรมพิธีการคนปัจจุบัน คนที่เดินตามเขาเข้ามาก็ล้วนเป็นเจ้าพนักงานกรมพิธีการเช่นกัน อีกทั้งยังมีองครักษ์ของราชสำนักติดตามมาด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง ทุกคนต่างอยู่ในสีหน้าเคร่งเครียด
เจ้ากรมพิธีการยกราชโองการขึ้นด้วยสองมือจนอยู่เหนือศีรษะ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันก้องว่า “มีราชโองการ! ม่อซิวเหยารับราชโอการ!”
ทุกคนในที่นั้นต่างส่งเสียงฮือฮากันยกใหญ่ นี่มิได้มาเพื่ออวยพรที่ติ้งอ๋องซื่อจื่อมีอายุครบเดือน แต่นี่เป็นการทำลายงานเลี้ยงชัดๆ
ม่อจิ่งหลีนำเยี่ยอิ๋งและคณะลุกขึ้นมาคุกเข่ารับราชโองการ ถึงแม้เขาจะมิได้มีความเคารพในเสด็จพี่ฮ่องเต้ของตนผู้นี้สักเท่าไรนัก แต่อย่างไรในยามนี้เขาก็ยังเป็นหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ เรื่องการแสดงออกภายนอกอย่างไรก็ยังคงต้องทำ
ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีผู้ใดเกรงใจเช่นนั้น ผู้บัญชาการทหารของกองทัพตระกูลม่อและขุนนางทั้งหลายต่างพากันทำหูทวนลม คนที่ดื่มเหล้าก็ดื่มไป คนที่พูดคุยกันก็พูดคุยกันไป สิ่งที่เรียกว่าราชโอการนั้น เมื่ออยู่ในซีเป่ยจะเทียบกับกระดาษที่ทำจากหญ้าสักแผ่นก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ส่วนขุนนางทูตจากแคว้นต่างๆ อย่างซีหลิง เป่ยหรง ยิ่งทำถ้าเหมือนกำลังรอดูละครกันเข้าไปใหญ่
ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอย่างม่อซิวเหยาเองก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะลุงขึ้นรับราชโองการ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่า ณ ที่นั้น มีเพียงคณะของม่อจิ่งหลีที่คุกเข่าลงเท่านั้น
ในใจม่อจิ่งหลีนึกโกรธจัด และอดด่าทอเสด็จพี่ฮ่องเต้ของตนผู้นี้ในใจไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเจ้ากรมพิธีการที่มาประกาศราชโองการก็คาดไม่ถึงว่าจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อมองขึ้นไปด้านบน ก็เห็นว่าม่อซิวเหยากำลังเอนตัวพิงเก้าอี้ กดสายตาลงมองมาที่ตนอยู่ เจ้ากรมพิธีการจึงเอ่ยขึ้นเสียงขรึมว่า “ม่อซิวเหยารับราชโองการ!”
“ว่ามา” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ
เจ้ากรมพิธีการถึงกับขมวดคิ้ว ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากนั้น ก็ได้ยินม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้นจ้องเขา พลางเอ่ยว่า “อ่านสิ่งที่อยู่ในมือเจ้ามา หรือไม่ก็เอาของที่อยู่ในมือเจ้าแล้วไสหัวออกไปจากเมืองหรู่หยางเสีย คืนนี้ข้าอารมณ์ดี ไม่อยากเอาชีวิตสุนัขเช่นเจ้า”
“บังอาจ!” เจ้ากรมพิธีการหน้าแดงก่ำขึ้นทันที ชี้นิ้วไปทางม่อซิวเหยาแล้วพูดอันใดไม่ออกอยู่เป็นนาน ม่อซิวเหยาถูกราชโองการของฮ่องเต้ ถอดถอนยศถาบรรดาศักดิ์ไปนานแล้ว แต่กลับยังกล้าทำท่าโอหังเช่นนี้อีก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นราชสำนักและองค์ฮ่องเต้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“ท่านหลีอ๋อง!” เจ้ากรมพิธีการก็มิใช่คนโง่ ย่อมรู้ดีว่าตนไม่มีอันใดจะไปต่อกรกับม่อซิวเหยา จึงทำได้เพียงหันมองม่อจิ่งหลีที่คุกเข่าอยู่
สีหน้าม่อจิ่งหลีกำลังบึ้งตึง รู้สึกเพียงว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของตนถูกฮ่องเต้ย่ำยี่จนป่นปี้หมดเสียแล้ว เขาลุกยืนขึ้น ปรายสายตาเย็นเยียบไปทางเจ้ากรมพิธีการ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้ยินหรือ ยังไม่ถ่ายทอดราชโองการอีก อยากถูกจับโยนออกไปหรือไร”
สีหน้าเจ้ากรมพิธีการบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ในที่สุดก็ฝืนต่อไปไม่ไหว เพราะถึงอย่างไรที่ฝ่าบาทส่งเขามาก็เพื่อให้มาถ่ายทอดราชโองการฉบับนี้ หากยังไม่ประกาศแล้วถูกจับโยนออกไปเสียก่อน กลับเมืองหลวงไป อย่างไรก็คงไม่มีทางดีต่อตัวเขาอย่างแน่นอน
เจ้ากรมพิธีการถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วเขาก็คลี่ม้วนกระดาษสีเหลืองทองออกอ่านเสียงก้องว่า “ด้วยโองการฟ้า ฝ่าบาทมีรับสั่งว่า สามัญชนม่อซิวเหยา เหิมเกริมกระทำการอุกอาจ มีทหารในมือแล้วคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ ตั้งตนขึ้นเป็นอ๋อง คิดคดวางแผนเป็นกบฏ ตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจว สมคบคิดเป็นพวกเดียวกัน วางแผนทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย มีความผิดเป็นที่รู้กันทั่ว มีคำสั่งยึดแซ่ประจำแคว้นของม่อซิวเหยา ลดขั้นเป็นประชาชนขั้นต่ำที่สุด ส่วนตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจว ต้องโทษประหารทั้งตระกูล จบราชโองการ!”
บนกำแพงเมืองนั้นเงียบกริบ แม้แต่ประชาชนชาวบ้านที่ร้องเร่ขายของอยู่บนถนนที่ห่างไปไม่ไกลก็ยังได้ยินกันอย่างชัดเจน ทุกคนต่างมองเจ้ากรมพิธีการที่ยืนถือราชโองการอยู่ด้วยสีหน้าประหนึ่งกำลังมองคนเสียสติ
ของเล่นเช่นนั้นมีความหมายอันใดกัน คนอย่างม่อซิวเหยาเป็นคนที่เจ้าจะบอกว่าลดขั้นเป็นอันใด ก็จะลดขั้นให้เป็นอย่างนั้นได้หรือ ต่อให้ม่อจิ่งฉีเขียนราชโองการออกมาอีกเป็นพันฉบับให้จับม่อซิวเหยาฝังดิน อย่างไรเขาก็ยังเป็นท่านอ๋องที่หยิ่งทระนงในซีเป่ยอยู่ดี
ส่วนตระกูลสวี ก็ใช่ตระกูลที่เขาจะสั่งฆ่าล้างตระกูลได้ง่ายๆ หรือ ท่านลองตัดหัวคนตระกูลสวีสักคนให้ได้ก่อนเป็นไร แค่เพียงเห็นคนตระกูลสวีที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด ก็รู้แล้วว่า ราชโองการของฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด
ม่อจิ่งฉีย่อมรู้ดีว่า ราชโองการฉบับนี้ไร้ประโยชน์ ดังนั้นที่เขาส่งคนมาในวันนี้ มิใช่ด้วยเพราะต้องการฆ่าล้างตระกูลสวีจริงๆ และไม่ได้คิดจะทำอันใดม่อซิวเหยา แต่เขาเพียงต้องการให้ม่อซิวเหยาอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าวีรบุรุษและผู้มีอิทธิพลทั่วทั้งใต้หล้าเท่านั้น