ในที่สุดก็มีเสียงดังมาจากทางเดินภายในสุสาน ทุกคนต่างลุกยืนขึ้นพร้อมจับจ้องไปทางปากประตูด้วยความตื่นเต้น แล้วก็เห็นคนวิ่งออกมาพร้อมส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ก็ทำให้รู้ว่าอันตรายที่พวกเขาต้องพบเจอในสุสานหลวงคงจะมิใช่น้อยๆ
ม่อจิ่งหลีก้าวเข้าไปคว้าตัวคนของตนที่ส่งเข้าไป เอ่ยถามเสียงเข้มว่า “หาแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นพบแล้วหรือ!”
“ท่านอ๋อง…พวกเราถูกถานจี้จือหลอกเอาเสียแล้ว ข้างใน…ข้างในไม่มีแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ถูกม่อจิ่งหลีจับไว้จนเจ็บ แต่ก็ยังฝืนรายงานต่อ
สีหน้าทุคนเปลี่ยนไปทันที แล้วก็มีคนวิ่งตามออกมาจากด้านอีกในอีกอย่างรวดเร็ว แต่ข่าวที่กลับมารายงานกลับต่างกันอยู่เล็กน้อย คนของเยียหลี่ว์หงที่วิ่งออกมา มีสิ่งของที่หน้าตาคล้ายแท่นประทับหยกติดมืออกมาด้วย เพียงแต่ตรงมุมหนึ่งของท่านประทับหยก คำที่สลักไว้ว่าจำลอง เปล่งประกายออกมาประหนึ่งกำลังยั่วเย้าพวกเขาให้เจ็บลูกนัยน์ตาเล่น
“ถานจี้จือ!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันกรอด สีหน้าคนอื่นๆ ก็บึ้งตึงลงไปเช่นกัน และยิ่งเมื่อได้ยินว่า สิ่งของที่ฝังร่วมไปในสุสานนั้น ถึงแม้จะเป็นสิ่งของมีค่า แต่โดยมากเป็นของชิ้นใหญ่ที่ไม่เหมาะกับการขนย้าย สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปใหญ่
เหลยเถิงเฟิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในเมื่อหาของสิ่งนั้นไม่พบ เขาก็รีบกลับไปเมืองหลีเพื่อรายงานเสด็จพ่อจะดีกว่า เขาส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงก้องว่า “พวกเราไป! กลับเมือง!”
แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล
เหลยเถิงเฟิงรู้สึกทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สีหน้าก็ดูย่ำแย่ขึ้นไปอีก คนอื่นๆเองก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเช่นกัน
ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเข้มขึ้นว่า “ใครก็ได้ออกมา!”
ภายในหุบเขาได้ยินเพียงเสียงที่สะท้อนกลับไปมา องครักษ์นับร้อยที่หลบซ่อนตัวอยู่ เตรียมเคลื่อนไหวเมื่อถึงโอกาส กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย
และแล้วมีเสียงหัวเราะกังวานใสต่ำๆ ดังลอยมา “ในเขตพื้นที่ของซีเป่ย จะขุดเปิดสุสานทั้งๆ ที่ผู้เป็นเจ้าของยังไม่อนุญาต ทุกท่านช่างกล้านัก ยังไม่รีบให้จับตัวไปรอให้ท่านอ๋องกับพระชายาลงโทษอีก”
ม่อจิ่งหลีหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “สุสานแห่งนี้เป็นของม่อซิวเหยาหรือไร”
อีกฝ่ายก็หัวเราะเยาะตอบกลับเช่นเดียวกัน “สุสานแห่งนี้ถึงจะมิใช่ของท่านอ๋อง แต่ก็อยู่บนแผ่นดินของท่านอ๋อง อีกอย่าง…อย่างไรก็ดี ทุกท่านต่างก็เป็นชนชั้นสูงและผู้มีอิทธิพลของและแคว้น เรื่องชั้นต่ำอย่างการขุดเปิดสุสานเช่นนี้ก็ยังทำกันได้ลง ช่างทำให้พวกข้ารู้สึกเลื่อมใสนัก เพียงแต่ถึงแม้พวกท่านจะชอบทำเรื่องเช่นนี้ ก็ไม่ควรมาทำที่ซีเป่ย คิดว่าท่านอ๋องของข้าไม่มีตัวตนกันหรืออย่างไร ข้าจะนับถึงสาม จะยอมเดินเข้ามาให้จับตัวดีๆ หรือไม่ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
เหลยเถิงเฟิงหัวเราะทีหนึ่ง “ยังมิได้สอบถามเลยว่าพวกท่านเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพท่านใด คงมิใช่…หน่วยกิเลนของชายาติ้งอ๋องหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็อยากขอให้ช่วยชี้แนะสักเล็กน้อย”
เยียหลี่ว์เหยี่ยก้าวขึ้นมาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อพูดได้ไม่เลว ข้าน้อยเองก็อยากให้หน่วยกิเลนช่วยชี้แนะสักเล็กน้อยเช่นกัน”
เยียหลี่ว์หงกับม่อจิ่งหลีลอบส่งสายตาหากัน ก่อนจะเปลี่ยนไปอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับการต่อสู้
หน่วยกิเลนภายใต้การบังคับบัญขาของเยี่ยหลีปรากฏตัวขึ้นกะทันหันเกินไป และก็มากันอย่างลึกลับเกินไป หากสามารถใช้โอกาสนี้ในการทดสอบฝีมือของพวกเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
“เช่นนั้นก็ขอล่วงเกินแล้ว!” พอพูดจบ ก็มีร่างคนสิบกว่าคนทะยานตัวขึ้นสู่อากาศพุ่งตรงเข้าใส่พวกเขาทันที พวกเขามิได้ต่อสู้สะเปะสะปะอย่างคนทั่วไป แต่ประหนึ่งเตรียมการกันไว้เรียบร้อยแล้วกระนั้น กระจายตัวแบ่งกันเป็นกลุ่ม คนสามสี่คนต่อสู้กับหนึ่งคน ส่วนองครักษ์คนอื่นๆ ก็ถูกหน่วยกิเลนที่พุ่งตัวเข้าใส่กำจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว หน่วยกิเลนคนอื่นๆ ที่เหลือเมื่อจัดการองครักษ์ที่ขวางหูขวางตาเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ก็มิได้เข้ามาร่วมในการต่อสู้อีก แต่กลับมาล้อมรอบคนสิบกว่าคนที่ต่อสู้กันอยู่ตรงกลางอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งดูเหมือนกำลังสังเกตการณ์การต่อสู้และขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกันไม่ให้ศัตรูฝ่าวงล้อมออกไปได้ไปด้วยในตัว
เหลยเถิงเฟิงชักดาบออกมาเป็นอาวุธต่อสู้กับคนสามสี่คนที่ล้อมเขาไว้ ในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า คนเหล่านี้เข้าขากันได้อย่างรู้ใจ และยังคอยเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้กันอยู่ตลอดอีกด้วย เมื่อใดก็ตามที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลง อีกสองกลุ่มก็จะแบ่งคนมาทดแทน คนเหล่านี้ถึงแม้เป็นการสู้กันตัวต่อตัว จะไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของตน แต่ทุกคนก็ล้วนเป็นคนฝีมือดี อย่าว่าแต่หนึ่งต่อสิบเลย แค่เพียงรุมกันสี่คนก็ทำให้เขาต้องร้องโอดครวญในใจแล้ว
การต่อสู้ครั้งนี้จบลงที่เวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งสี่คนล้วนถูกจับมัดไว้ หนึ่งคนในกลุ่มหน่วยกิเลนที่ล้อมรอบอยู่ส่งสัญญาณมือ คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่ต่างก็ส่งเสียงร้องขึ้นดังกระจายไปรอบทิศ ก่อนหายไปในป่าอย่างรวดเร็ว
เหลยเถิงเฟิงก้มหน้าลงมองมีดสั้นที่คอตนเอง กับคนที่กำลังจับเชือกมัดตนไว้อย่างแน่นหนา แล้วได้แต่เอ่ยอย่างยอมแพ้ว่า “หน่วยกิเลนนี่ช่างไม่เสียชื่อเลยจริงๆ”
คนที่จับเขามัดอยู่ทาหน้าสีเขียว ยิ้มเห็นฟันพร้อมเอ่ยว่า “ขอบคุณซื่อจื่อที่ชื่นชม พวกเรายังไม่ถือว่าเป็นหน่วยกิเลนอย่างเป็นทางการ”
เหลยเถิงเฟิงอมยิ้มมิได้เอ่ยอันใด แต่ในใจกลับหนักอึ้งทันที ความสามารถในการต่อสู้เช่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในกองทัพของแคว้นใด ก็ล้วนเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือ แต่คนกลุ่มนี้กลับยังมิใช่หน่วยกิเลนอย่างเป็นทางการ เช่นนั้นหน่วยกิเลนที่แท้จริงจะเก่งกาจเพียงใดกัน เมื่อมองคนเหล่านี้ที่ทาหน้าเสียจนมองใบหน้าที่แท้จริงไม่ออกแล้ว ในใจเหลยเถิงเฟิงก็อดรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาไม่ได้
“ทุกท่าน คนที่พวกข้าพามาเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว” เยียหลี่ว์หงเอ่ยปากถาม
หนึ่งคนในนั้นส่งเสียง อ้อ ขึ้นมาทีหนึ่ง ยกมือเกาศีรษะคิดเล็กน้อย “เบื้องบนเพียงสั่งห้ามมิให้ทุกท่านที่เป็นบุคคลสำคัญได้รับบาดเจ็บ ส่วนคนอื่นๆ จะอย่างไรก็ได้ คนที่ว่าง่ายหน่อยก็จับมัดไว้ ส่วนคนที่พูดไม่รู้ความก็ฆ่าทิ้งไปหมดแล้ว”
สีหน้าเยียหลี่ว์หงเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว คนเป่ยหรงมีความห้าวหาญ เป็นที่รู้กันไปทั่วใต้หล้า พวกเขาไม่มีทางเชื่อว่า ยอดฝีมือของเป่ยหรงจำนวนมากเช่นนั้น จะถูกจัดการอย่างไร้ซุ่มเสียงเช่นนี้
กับเรื่องนี้ในใจเหลยเถิงเฟิงพอรู้อันใดอยู่บ้าง แต่ก็มิได้กระโตกกระตากไป ในใจได้แต่นึกคำนวณว่าครานี้เมื่อตกมาอยู่ในมือติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋อง จะต้องสูญเสียอันใดอีกสักมากมายเพียงใด
“คารวะพระชายา! คารวะท่านผู้บัญชาการ!” บนพื้นที่โล่งกว้างภายในป่า เยี่ยหลีอยู่ในชุดหลัวสีขาว ยืนอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ โดยไม่ประแป้งเลยแม้แต่น้อย เบื้องหลังห่างไปครึ่งก้าว มีฉินเฟิง จั๋วจิ้งและหลินหานที่อยู่ในชุดดำยืนอยู่ ห่างไปไม่ไกลก็มีคนที่ถูกจับลากลงมาจากโพรงหญ้าอย่างหานหมิงซีที่ดูหัวเสียอย่างหนักกับหานหมิงเย่ว์ที่ดูมีสีหน้าหลากหลายและไม่รู้กำลังคิดอันใดอยู่
เยี่ยหลีมองนายทหารที่ถึงแม้จะผ่านการต่อสู้มาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แต่ก็ยังดูเต็มไปด้วยกำลังวังชาแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ “ไม่ต้องมากพิธี วันนี้ผลงานของพวกเจ้า ข้าและผู้บัญชาการฉินกับผู้ฝึกสอนทั้งสามท่านได้เห็นกันหมดแล้ว ส่วนที่ยังต้องเพิ่มเติมไว้พวกเรากลับไปแล้วค่อยว่ากัน แต่โดยรวม พวกเราพอใจเป็นอย่างมาก”
ทุกคนต่างถอนใจด้วยความโล่งอก เอ่ยประสานเสียงพร้อมกันว่า “ขอบพระคุณพระชายา! ขอบคุณผู้บัญชาการที่สั่งสอน”
พวกเขาคาดไม่ถึงว่า ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนพลและต่อสู้กันอยู่นั้น พระชายากับผู้บัญชาการรวมถึงผู้ที่มักมาฝึกสอนพวกเขาจะคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง แต่แค่เพียงได้รับคำชมที่น่าพอใจจากพระชายา ก็ทำให้พวกเขาดีใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เยี่ยหลีอมยิ้ม มองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าตื่นเต้นยินดีเกินกว่าจะหาคำได้มาอธิบายได้ ก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เช่นนั้น ยามนี้ข้าจะขอประกาศว่า พวกเจ้าผ่านค่ายการฝึกฝนและได้บรรจุเข้าเป็นหน่วยกิเลนอย่างเป็นทางการ”
ทุกคนต่างส่งเสียงร้องด้วยความยินดี ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว จ้องมองผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มใหม่ที่กำลังตื่นเต้นยินดีด้วยสายตาไม่ญาติดีเลยแม้แต่น้อย “อย่าเพิ่งดีใจกันเร็วเกินไปนัก การได้เข้าบรรจุเป็นหน่วยกิเลนอย่างเป็นทางการ หมายความเพียงว่า ต่อแต่นี้ไปในอนาคต พวกเจ้าจะต้องทำงานหนักเสียยิ่งกว่าที่ผ่านมาเท่านั้น”
“เรียนท่านผู้บัญชาการ พวกเราไม่กลัวขอรับ!” นายทหารนายหนึ่งในกลุ่มก้าวขึ้นมาเอ่ยด้วยความมาดมั่น
“ไม่กลัวหรือ” ฉินเฟิงยิ้มให้พวกเขาอย่างน้อยนักจะได้เห็น นายทหารผู้นั้นเพียงรู้สึกเย็นวาบเข้าไปจนถึงกระดูก จากนั้นก็ได้ยินเสียงฉินเฟิงเอ่ยต่อว่า “เช่นนั้น เพื่อเป็นการต้อนรับและเฉลิมฉลองให้กับทุกคนที่ได้บรรจุเข้าเป็นหน่วยกิเลนอย่างเป็นทางการ ข้าเตรียมพิธีเฉลิมฉลองไว้ให้ทุกท่านแล้ว…นั่นคือการใช้ชีวิตอยู่กลางป่าเป็นเวลาหนึ่งเดือน สถานที่ ห่างจากที่นี่ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสามร้อยลี้ บริเวณกลางภูเขาหลิงอวิ๋น สิ่งที่ต้องการคือ ไม่อนุญาตให้รับสิ่งของของชาวบ้านไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม ไม่อนุญาตให้ทำให้ทหารที่ประจำการอยู่แตกตื่น ผู้ที่ทำพลาด…”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เคยตื่นเต้นยินดี เปลี่ยนเป็นดูจะร้องไห้ทันทีเหล่านั้นแล้ว ฉินเฟิงก็เอ่ยด้วยสีหน้ากลั้วหัวเราะเช่นเดิมว่า “ผู้ที่ทำพลาดจะต้องซักเสื้อผ้าของหน่วยกิเลนทั้งหน่วยเป็นเวลาสามเดือน!”
ในใจทุกคนพากันก่นด่าไม่ได้หยุด ทุกวันนี้ หน่วยกิเลนจะต้องฝึกฝนกันไม่ได้หยุด เสื้อผ้าเหล่านั้นสกปรกโสโครกเสียจนแม้แต่ตนเองยังไม่อยากไปแตะต้อง คนทั้งหน่วยกิเลนถึงแม้จะมีอยู่ไม่ถึงพันนาย แต่ก็มีเจ็ดแปดร้อยนายได้ ให้พวกเขาซักเสื้อผ้าจำนวนมากเช่นนั้น สู้ตายไปเลยเสียจะดีกว่า
เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงไม่เข้าใจความเจ็บปวดและความโกรธเคืองของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย เขามองหน้าทุกคนที่ทาสีเสียจนมองสีหน้าของทุกคนไม่ชัด แต่ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความพอใจ เขาโบกมือแล้วกล่าวว่า “ยามนี้ ทุกคน ออกเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงเหนือได้!”
“ขอรับ”
“หัวหน้ากลุ่มสิบสองรั้งอยู่ก่อน” เยี่ยหลีเอ่ยปากขึ้น
สวีชิงเฟิงที่กำลังจะวิ่งตามทุกคนออกไปถึงกับชะงัก ยืนนิ่งอยู่ที่เก่า
“พระชายา?” สวีชิงเฟิงเอ่ยด้วยความฉงนสงสัย
“พี่สาม การฝึกของท่านสิ้นสุดลงแล้ว” เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยขึ้น
สวีชิงเฟิงรู้ว่ายามที่เยี่ยหลีเรียกขานตนว่าพี่สาม นั่นแสดงว่ายามนี้นางกำลังพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่สวีชิงเฟิงกลับไม่ต้องการให้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วสวีชิงเฟิงถึงเอ่ยว่า “เรียนพระชายา ข้าอยากรั้งอยู่กับพวกเขา”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เดิมทีพวกเรามิได้ตกลงกันเช่นนี้”
สวีชิงเฟิงเป็นคนที่เข้าไปกลางคัน ถึงแม้ผลของการฝึกจะมิได้ด้อยไปกว่าผู้อื่น แต่ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีไม่มีผู้ใดคิดจะให้เขาอยู่ที่หน่วยกิเลนตลอดไป เกรงว่าตัวสวีชิงเฟิงเองก็คงมิได้คิดเช่นนั้นเช่นกัน เดิมทีสิ่งที่เขาคาดหวังคือการไปฝ่าฟันอยู่ในสนามรบ มิใช่การอยู่ในหน่วยทหารเล็กๆ เช่นนี้
หน่วยกิเลนถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่มีทางได้เผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบตรงๆ อีกทั้ง ด้วยเพราะหน่วยกิเลนที่ต้องเก็บเป็นความลับ หากสวีชิงเฟิงเข้าร่วมหน่วยกิเลนจริงๆ นั่นก็หมายความว่า อย่างน้อยๆ ในชั่วระยะเวลาสามสี่ปีนี้ เขาจะไม่มีทางได้แต่งงานมีบุตร และไม่สามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวได้นาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มิใช่สิ่งที่ท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้ยินดีที่จะเห็นอย่างแน่นอน
สวีชิงเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าเห็นว่าข้ามิได้ด้อยไปกว่าผู้อื่น ขอพระชายาได้โปรดให้โอกาสข้าได้พิสูจน์เถิด”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วหันไปถามฉินเฟิงว่า “ฉินเฟิง เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
ฉินเฟิงเลิกคิ้ว “ความสามารถของคุณชายสามตระกูลสวีนั้นไม่เป็นที่น่าสงสัย อันที่จริงพระชายารอให้คุณชายสามกลับมาครานี้ก่อนค่อยตัดสินใจว่าจะให้เขาอยู่หรือไปก็ยังได้ จะได้มีเวลาปรึกษาหารือกับท่านผู้อาวุโสสวีและนายท่านทั้งสองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็เอาเถิด พี่สามท่านไปก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อสวีชิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น ก็มองเยี่ยหลีและฉินเฟิงด้วยสีหน้ายินดีพร้อมทำความเคารพทั้งสองก่อนหมุนตัวตามกลุ่มของตนไปทันที