เมื่อรู้ว่าไม่มีอันใดแล้ว ฮูหยินทั้งสองและฉินเจิงต่างก็ลุกขึ้นขอตัวกลับ ไม่นาน ม่อซิวเหยาก็กลับมา เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีมือหนึ่งอุ้มบุตรที่ไม่ยอมหลับยอมนอน อีกมือหนึ่งถือหนังสืออ่านฆ่าเวลา ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เยี่ยหลีก็รีบวางหนังสือลง ลุกขึ้นเอ่ยย่างยิ้มแย้มว่า “กลับมาแล้วหรือ บาดเจ็บหรือไม่”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ยื่นมือไปคว้าห่อผ้าที่มีม่อตัวน้อยอยู่ด้านใน เดินนำกลับไปข้างเตียง จนเยี่ยหลีที่ดูอยู่ถึงกับตกใจ
เด็กที่เพิ่งอายุครบเดือน ต่อให้อยู่ในห่อผ้าแต่เมื่อโดนหิ้วไปเช่นนั้นก็น่าตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยานำลูกน้อยกลับไปวางลงในเปลไกว แล้วม่อตัวน้อยก็มิได้ร้องไห้ ยังเบิกตากลมโตมองมาที่ตน เยี่ยหลีก็ค่อยรู้สึกวางใจ และคิดได้ว่าอยากจะเอ่ยปากคุยกับม่อซิวเหยาเรื่องความปลอดภัยของม่อตัวน้อย เผื่อว่าหากวันใดบุตรตัวน้อยที่ตนคลอดออกมาอย่างยากลำบากจะถูกบิดาแท้ๆ ของเขาทรมานจนตายเสีย
เยี่ยหลียังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นม่อซิวเหยาส่งเสียงหึด้วยความหงุดหงิดใจ นั่งลงพิงกับหัวเตียง ก่อนจะมีรอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
เยี่ยหลีตกใจไม่น้อย ไฉนเลยจะจำเรื่องที่คิดจะพูดเรื่องการทำหน้าที่พ่อกับม่อซิวเหยาได้ นางรีบลุกขึ้นจะเรียกให้คนไปตามเสิ่นหยางมาดูอาการ ม่อซิวเหยายื่นมือมาจับนางไว้พร้อมส่ายหน้า
เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองสำรวจเขาอยู่ครู่ใหญ่ นอกจากสีหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อยแล้ว ตรงอื่นก็ดูมิได้เป็นอันใดมากนัก เมื่อเห็นเช่นนั้นถึงได้พอวางใจลงได้บ้าง นางยื่นมือไปเช็ดรอยเลือดที่มุมปากให้เขา พลางเอ่ยถามว่า “บาดเจ็บภายในแล้วเหตุใดถึงไม่บอก มิได้บอกว่าสู้ได้เสมอกัน แล้วเจิ้นหนานอ๋องก็กระอักเลือดหรอกหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “ถึงอย่างไรเหลยเจิ้นถิงก็เป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้า เมื่อต่อสู้กับเขา มีหรือจะไม่ต้องเสียอันใดบ้าง”
เยี่ยหลีมองเขาอย่างไม่เห็นขัน “ดังนั้น เจิ้นหนานอ๋องกระอักเลือดต่อหน้าทุกคน ส่วนท่านอ๋อง ท่านก็กลับมากระอักเลือดลับหลังผู้อื่นเช่นนี้หรือ”
ม่อซิวเหยาหัวเราะหึหึ หันมองเยี่ยหลีโดยไม่ปฏิเสธ เขาย่อมไม่บอกอาหลีว่า เดิมทีเหลยเจิ้นถิงก็ไม่ได้ถึงกับกระอักเลือดหรอก เพียงแต่ตอนท้ายถูกเขาทำให้โกรธก็เท่านั้น ดังนั้นเหลยเจิ้นถิงจึงมิได้กระอักเลือดเพราะบาดเจ็บภายใน แต่ถูกทำให้โกรธจนกระอักเลือดต่างหาก
เมื่อคิดถึงฝ่ามือสุดท้ายที่ปะทะกับเหลยเจิ้นถิง ม่อซิวเหยาก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งซีหลิงช่างไม่ด้อยกว่าชื่อเสียงเลยจริงๆ หากเป็นเรื่องกระบวนท่าและตนใช้พลังกายทั้งหมดกับสองมือที่เป็นแต้มต่อในการต่อสู้แล้ว บางทีตนอาจสามารถเอาชนะเหลยเจิ้นถิงได้หลายส่วน แต่หากว่ากันด้วยเรื่องกำลังภายในแล้ว ดูเหมือนตัวเขาจะยังด้อยกว่าขั้นหนึ่ง
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ตัวเขาอายุยังไม่ถึงสามสิบปี แต่เหลยเจิ้นถิงกลับอายุเกือบหน้าสิบปีแล้ว หากวัดกันที่ความสามารถเขาสามารถจัดการเหลยเจิ้นถิงให้อยู่หมัดได้ เหลยเจิ้นถิงที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของซีหลิง ก็คงมิได้จริงอย่างชื่อเสียงเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไร หากไม่ใช้กำลังภายใน เขาก็สามารถจัดการสังหารเขาได้อยู่ดี!
แค่เพียงนึกถึงสายตาที่ตาแก่นั่นใช้มองอาหลี แววสังหารในดวงตาม่อซิวเหยาก็แผ่ออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ แล้วม่อซิวเหยาก็รู้สึกว่า คำพูดสุดท้ายที่เขาเอ่ยกับเหลยเจิ้นถิงนั้นดูจะอ้อมค้อมเกินไป บุรุษที่ทั้งแก่ทั้งอัปลักษณ์ผู้นั้น ไม่คู่ควรแม้แต่จะมองอาหลีของเขาด้วยซ้ำ
เมื่อคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ม่อซวิเหยาก็ยกมือขึ้นจับหน้ากากบนใบหน้าของตนอย่างใช้ความคิด
เยี่ยหลีมองบุรุษที่นั่งใจลอยอยู่ข้างเตียงด้วยความประหลาดใจ ยกมือขึ้นสำรวจหน้าผากของเขา แล้วเอ่ยถามว่า “เป็นอันใดไป บาดเจ็บหนักหรือ”
“ไม่เป็นอันใด” ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “ข้าแค่กำลังคิดว่า งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ไม่รู้ว่าเหลยเจิ้นถิงจะสามารถมาร่วมงานได้หรือไม่”
เยี่ยหลีนั่งลงข้างกายเขา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องนั้นมีอันใดน่าคิดกัน งานเลี้ยงที่ว่านั่นก็เป็นเพียงฉากๆ หนึ่งเท่านั้น”
สิ่งสำคัญที่แท้จริงนั้นคือการจัดการเรื่องก่อนและหลังงานเลี้ยงต่างหาก งานเลี้ยงครบเดือนเป็นเพียงการแสดงให้คนทั่วไปดูเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่เจิ้นหนานอ๋องจะสามารถมาเข้าร่วมได้หรือไม่นั้น ซิวเหยาคงไม่รู้ว่าอันใดควรไม่ควรถึงขั้นทำร้ายเจิ้นหนานอ๋องจนลุกไม่ขึ้นกระมัง
ในวันนี้ ภายในเมืองหรู่หยางคึกคักขึ้นมาอึกครั้ง การประลองยุทธระหว่างเจิ้นหนานอ๋องและติ้งอ๋อง ถึงแม้คนจำนวนมากจะไม่ได้เห็น แต่คนภายในเมืองหรู่หยางไม่มีผู้ใดที่ไม่ล่วงรู้เรื่องนี้ ส่วนเรื่องหลังจากการประลองยุทธจบลง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สนับสนุนฝ่ายใดก็ล้วนต้องก้มหน้าหงุดหงิด ลอบปวดใจกับกระเป๋าเงินของตนเองขึ้นมา มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาของหานหมิงซีที่นั่งอยู่เท่านั้นที่ยิ่มร่าอย่างมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดใช้ให้ติ้งอ๋องเอ่ยปากยอมรับออกมาเองเล่าว่าตนประลองเสมอกับเจิ้นหนานอ๋อง เมื่อไม่มีผู้ใดชนะ ดังนั้นสุดท้ายแล้วผู้ที่ชนะย่อมต้องเป็นหานหมิงซีอย่างแน่นอน
จวนหานที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักติ้งอ๋อง เป็นสถานที่ที่หานหมิงซีใช้พักอาศัยอยู่ในเมืองหรู่หยาง ยามนี้หานหมิงซี กำลังนั่งยิ้มร่าอยู่หน้าโต๊ะที่มีตั๋วเงิน เหรียญเงิน และเครื่องประดับ อัญมณีสารพัดชนิดวางอยู่เต็มไปหมด
เฟิ่งจือเหยาที่นั่งอยู่ ปรายตามองหานหมิงซีที่กำลังปลื้มปริ่ม แล้วได้แต่พ่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความไม่พอใจ
หานหมิงซีเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนลุกขึ้นเดินไปนั่งลงข้างเขา “คุณชายเฟิ่งซาน เหตุใดถึงมีเวลาว่างมาที่บ้านข้าได้”
เฟิ่งจือเหยาปรายตามองของบนโต๊ะที่ยังไม่ทันได้เก็บให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยถามว่า “ได้มาเท่าไร”
หานหมิงซีเลิกคิ้ว ทำมือเป็นสัญญาตัวเลขด้วยความได้ใจ
เฟิ่งจือเหยารู้สึกอิจฉาริษยาเขาขึ้นมาทันที ถลึงตาจ้องหานหมิงซีเขม็ง “ห้าหมื่นตำลึง?” ในนั้นมีเงินเขาอยู่แปดร้อยตำลึงเชียวนะ
หานหมิงซีกวาดตามองเขาด้วยความดูแคลน แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คุณชายเฟิ่งซาน ท่านก็ดูถูกติ้งอ๋องกับเจิ้นหนานอ๋องเกินไปสักหน่อยกระมัง ห้าหมื่นตำลึงอันใดกัน ห้าแสนตำลึงหรอก!”
เฟิ่งจือเหยานิ่งอึ้งไปทันที ความอิจฉาริษยาที่เคยมีแปรเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความเคียดแค้น สายตาที่มองหานหมิงซี ดูประหนึ่งกำลังมองภูเขาลูกโตๆ สีทองอร่ามอยู่ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ภูเขาทองคำลูกนั้นยังเป็นของผู้อื่น มิน่าถึงได้มีคนจำนวนมากชอบเปิดโรงพนันกันนัก นี่มันแหล่งกำไรมหาศาลนี่เอง ไม่สิ หานหมิงซีไม่จำเป็นต้องมีแม้กระทั่งเงินทุนด้วยซ้ำ นี่คือกำไรมหาศาลโดยไร้ทุนแท้ๆ
หานหมิงซีเอ่ยถอนใจด้วยความเสียดายว่า “น่าเสียดายก็เพียง นี่เป็นการประลองยุทธที่ติ้งอ๋องกับเจิ้นหนานอ๋องประลองกันเป็นการส่วนตัว หากมีการประลองตัดสินกันอีกครั้ง…แล้วประกาศให้ทั้งต้าฉู่หรือซีหลิงได้รับรู้โดยทั่วกันก่อนสักสองเดือน เช่นนั้น…” อย่าว่าแต่ห้าแสนตำลึงเลย ห้าล้านตำลึงก็ไม่แน่ว่าจะไม่ถึง
เมื่อเสียโอกาสทำเงินจำนวนมหาศาลไป ทำให้หานหมิงรู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
บางทีคนตระกูลหานอาจมีพรสวรรค์ในการหาเงินกันมาตั้งแต่เกิด ช่วงเวลาปีกว่ามานี้ หานหมิงซีรู้สึกว่าตนเริ่มเข้าใจนิสัยรักเงินยิ่งชีพของพี่ใหญ่แล้ว
เฟิ่งจือเหยาจ้องเขาเขม็งด้วยความไม่พอใจอยู่เป็นนาน แล้วถึงได้เอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “ท่านอ๋องอยากให้เจ้ารีบเอาเงินที่ควรให้ท่านไปให้เร็วๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานหมิงซีก็โกรธจัด จ้องมองเฟิ่งจือเหยาด้วยสายตาระมัดระวัง “ทำไมจะต้องให้ด้วย นี่เป็นเงินที่ข้าหามาได้นะ!”
เฟิ่งจือเหยาพ่นลมหายใจหัวเราะ “อย่าโง่ไปหน่อยเลย หากมิใช่เพราะตอนสุดท้าย ท่านอ๋องยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าผลเสมอกัน เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้กินรวบหรือ ท่านอ๋องบอกแล้วว่าท่านจะเอาเพียงห้าส่วนของเจ้าเท่านั้น”
เจิ้นหนานอ๋องกระอักเลือดตรงลานประลอง หากท่านอ๋องยืนยันว่าเขาเป็นผู้ชนะ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ความโกรธของหานหมิงซีก็ดูจะหายไปมากทีเดียว เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “ตอนท้ายติ้งอ๋องเอ่ยอันใดกับเจิ้นหนานอ๋องหรือ”
ถึงแม้วิทยายุทธของเขาจะไม่เท่าไร แต่ก็พอมีความรู้อยู่ไม่น้อย เดิมทีฝ่ามือสุดท้ายนั้น เจิ้นหนานอ๋องมิได้รับบาดเจ็บอันใด อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นที่จะกระอักเลือดตรงลานประลอง แต่เมื่อติ้งอ๋องไปกระซิบอันใดสักอย่างหนึ่งที่ข้างหูเจิ้นหนานอ๋อง ถึงได้เห็นเลือดสดๆ พุ่งออกมาจากปากเจิ้นหนานอ๋อง นั้นเห็นได้ชัดว่าเขาถูกทำให้โกรธ!
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร เอาเงินมาเถิด ข้าไม่มีเวลามานั่งนับเงินเป็นเพื่อนเจ้า”
“นี่คือ เจ้ามาถามหาเงินกับข้าแทนติ้งอ๋องอย่างนั้นหรือ” หานหมิงซีเอ่ยด้วยความโกรธ หากรู้แต่แรกว่าเขาจะมาด้วยจุดประสงค์นี้ ยามที่เขาเข้ามาน่าจะรีบไล่เขากลับไปเสีย
เฟิ่งจือเหยายิ้มพร้อมเลิกคิ้ว “มีปัญหาอันใดหรือ หรือจะให้ข้าบอกกับคนในกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดว่า เจ้ากับติ้งอ๋องลอบนัดแนะให้ผลการแพ้ชนะเป็นเช่นนี้?”
คนในกองทัพตระกูลม่อทุกคนย่อมไม่กล้าไปหาเรื่องท่านอ๋อง แต่แน่นอนว่าสามารถเหยียบหานหมิงซีให้ตายได้ทีเดียว เมื่อคิดถึงสีหน้าหัวเสียของนายทหารที่ต้องเสียเงินเพราะแพ้พนันเหล่านั้นแล้ว หานหมิงซีก็ได้แต่โกรธแต่มิกล้าเอ่ยอันใด ทำได้เพียงแบ่งเงินบนโต๊ะจำนวนสองแสนห้าหมื่นตำลึงให้เฟิ่งจือเหยานำกลับไปด้วยความขุ่นเคือง
เมื่อเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งจือเหยาถึงได้ลุกขึ้นขอตัวกลับไปด้วยความพอใจ ท่านอ๋องรับปากแล้วว่าจะคืนเงินแปดร้อยตำลึงให้เขา เขาไม่โลภมาก แค่ไม่เสียเงินพนันก็พอใจแล้ว
ภายในจวนหาน ในขณะที่หานหมิงซีกำลังเสียอกเสียใจกับเงินจำนวนมากที่จมน้ำหายไปอยู่นั้น ม่อซิวเหยาก็กำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือของตน มองตั๋วเงินที่เฟิ่งจือเหยานำมาให้ตรงหน้า ด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถามเขาด้วยความไม่เข้าใจว่า “เงินสองแสนห้ามื่นตำลึงของหานหมิงซี กับเงินพนันจากเจ้ามือเล็กๆ น้อยๆ คนอื่นๆ ในเมือง ทั้งหมดก็เกือบสี่แสนตำลึง อาเหยา เจ้าจะเอาเงินจำนวนมากเช่นนั้นไปทำอันใด” ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หากติ้งอ๋องต้องการใช้เงิน มีหรือว่าจะไม่มีให้ใช้ จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ในการหาเงินหรือ
ม่อซิวเหยามองเขาสบายๆ แล้วเอ่ยว่า “คนที่ลงเงินพนันมากที่สุดคือผู้ใด”
เฟิ่งจือเหยายิ้ม “เรื่องนั้นยังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าย่อมเป็นพวกขุนนางที่มาเป็นทูตและผู้มีอิทธิพลจากแต่ละแคว้นอย่างไรเล่า ต่อให้ชาวบ้านในเมืองหรู่หยางมีมากเพียงใด แต่คนที่พอมีเงินจะมีสักกี่คนกัน ข้าลองสืบมาแล้ว ม่อจิ่งหลีลงเงินพนันถึงห้าหมื่นตำลึง แทงว่าเจิ้นหนานอ๋องเป็นฝ่ายชนะ อ้อ…องค์หญิงอันซีก็ลงพนันสามหมื่นตำลึงด้วยเช่นกัน แต่แทงว่าท่านอ๋อง ท่านจะเป็นผู้ชนะ”
นี่เป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับกองทัพตระกูลม่อไม่ย่ำแย่เท่าไรนัก ส่วนคนซีหลิงและคนของเป่ยหรง อาทิ องค์ชายเจ็ด จะมีผู้ใดไม่แทงข้างเจิ้นหนานอ๋องว่าจะชนะกันอย่างเต็มที่หรือ ต่อให้เพียงแค่เพื่อซื้อลมหายใจ พวกเขาก็คิดอยากใช้ชื่อเสียงมากดติ้งอ๋องไว้สักหน่อยก็ยังดี แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้วเป็นท่านอ๋องต่างหากที่กินเรียบ
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เอาเงินมาจัดการเลี้ยงครบเดือนของม่อตัวน้อยน่ะสิ หรือจะต้องให้ข้ามาออกเงินนี้อีกหรือ”
เฟิ่งจือเหยานิ่งไป งานเลี้ยงครบเดือนของติ้งอ๋องซื่อจื่อมิใช่ว่าควรเป็นตำหนักติ้งอ๋องที่ออกเงินหรอกหรือ ท่านอ๋อง ถ้าท่านจะงก ก็ควรจะงกอย่างมีขอบเขตหน่อยนะ
ม่อซิวเหยาหาได้สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ เหตุใดเขาจะต้องนำเงินตัวเองไปเลี้ยงดูต้อนรับพวกหน้าโง่ที่เขาไม่ชอบขี้หน้าเหล่านั้นด้วย เขาโบกมือเอ่ยว่า “ไปเถิด เอาเงินนี้ไปส่งให้โจวอวี้เสีย เรื่องพวกนี้เขาเป็นคนจัดการอยู่มิใช่หรือ หากว่ายังมีเหลือ ก็เอาไปทำเป็นอั่งเปาให้กับชาวบ้านในเมืองหลวงก็แล้วกัน”
ในใจเฟิ่งจือเหยาลอบนับถือเขายิ่งนัก ท่านอ๋อง ท่านไม่เพียงต่อสู้กับเจิ้นหนานอ๋องเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น แต่ยังหาเงินจัดงานเลี้ยงครบเดือนของซื่อจื่อน้อยกลับมาได้อีกด้วย อีกทั้งเงินส่วนที่เหลือยังสามารถนำมาซื้อใจคนได้อีก? หากเทียบกับคนแก่อย่างท่านแล้ว ความสามารถในการหาเงินของหานหมิงซีก็ยังถือว่าอ่อนหัดเท่านั้น
ทั่วทั้งเมืองหรู่หยางคึกคักอยู่เกือบครึ่งเดือน แล้วงานเลี้ยงครบเดือนของติ้งอ๋องซื่อจื่อก็จัดขึ้นตามกำหนดเวลาเดิม อันที่จริงงานเลี้ยงที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงครบเดือน งานเลี้ยงวันเกิด งานแต่งงาน หรือแม้แต่งานฉลองขึ้นครองราชย์ ก็มีเรื่องต่างๆ ให้จัดการอยู่เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น สิ่งที่แตกต่างกันก็เพียงความยิ่งใหญ่ของการจัดงาน งานเลี้ยงในครั้งนี้ก็เป็นเช่นนี้กับคราที่แล้ว ยังคงจัดขึ้นที่ด้านบนกำแพงเมืองทางทิศตะวันตกของเมืองหรู่หยาง
ยามที่ม่อซิวเหยาจูงมือเยี่ยหลีขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งประธานนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างตะลึงอึ้งไปกันโดยไม่รู้ตัว ม่อซิวเหยาที่เคยใส่หน้ากากเงินครึ่งหน้าอยู่เป็นนิจ ในที่สุดก็ได้ถอดหน้ากากที่อยู่เป็นเพื่อนเขามาเกือบสิบปีออก แต่สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทุกคนกลับมิใช่รอยแผลเป็นและใบหน้าที่มีบาดแผลฉกรรจ์อย่างที่คิดไว้
ภายใต้แสงจากโคมไฟและแสงเทียน ผมสีเงินวาวทิ้งตัวตามสบายอยู่ด้านหลัง มีเพียงด้ายสีเงินเส้นเดียวเท่านั้นที่รัดผมเอาไว้อย่างง่ายๆ ภายใต้เส้นผมสีเงินสามสี่เส้นที่ปรกลงมา คือใบหน้าอันหล่อเหลางดงามของม่อซิวเหยา คนที่นั่งอยู่ด้านล่าง อย่าว่าแต่รอยแผลเป็นฉกรรจ์เลย แม้แต่รอยแผลเป็นเล็กๆ ก็ไม่มีให้ได้เห็น สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าทุกคนนั้น มีเพียงใบหน้าที่ถึงแม้จะซีดขาวไปบ้าง แต่ก็ถือเป็นบุรุษที่หล่อเหลางดงามยิ่งนัก
ยามนี้บุรุษรูปงามที่อยู่ ณ ที่นั้นแน่นอนว่าย่อมมีอยู่ไม่น้อย แต่ผู้ที่สามารถเทียบชั้นความงดงามของบุรุษผมขาวในชุดสีม่วงพร้อมเครื่องประดับเต็มยศอย่างอ๋องที่ดูสูงส่งปานจะเกินเอื้อม ก็ดูจะมีเพียงคุณชายชิงเฉิน สวีชิงเฉินที่อยู่ในชุดสีขาวเรียบๆ ประหนึ่งเทพเท่านั้น
เพียงแต่สีหน้าของคุณชายชิงเฉินเรียบเฉย ยิ่งอยู่ในชุดสีขาวยิ่งทำให้ดูประหนึ่งเทพลงมาจุติจากสวรรค์ บริสุทธิ์ประหนึ่งดอกบัว และเยือกเย็นประดุจพระจันทร์
ส่วนบุรุษผมขาวนั้น กลับปานประหนึ่งดาบที่คมกริบที่สุด เป็นอัญมณีที่หรูหราและทรงคุณค่าที่สุด และเป็นน้ำแข็งบนยอดภูเขาน้ำแข็งที่เยือกเย็นที่สุด ที่แม้แต่รอยยิ้มของเขา ยังดูประหนึ่งมีความเยือกเย็นและความอันตรายอันน่าเขย่าขวัญแฝงอยู่