ชิงอวี้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้างเอ่ยปลอบโยนเสียงเบาว่า “คนอย่างหลีอ๋องนั่น คิดว่าตนเองทำถูกต้องมาตลอด เหตุใดพระชายาจะต้องไปเสียอารมณ์กับคนเช่นนั้นด้วยเพคะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าไปเสียอารมณ์กับเขาเมื่อไรกัน แค่กำลังคิดถึงว่ายามที่เยี่ยอิ๋งยังไม่ออกเรือน มีความถือดีและเอาแต่ใจเพียงใด แต่ในยามนี้กลับ…”
อันที่จริง เยี่ยอิ๋งมาอยู่ที่ประตูตั้งแต่ม่อจิ่งหลีเอ่ยว่าจะให้เยี่ยหลีเป็นชายาเอกแห่งหลีอ๋องแล้ว หากเป็นเยี่ยอิ๋งเมื่อสมัยก่อน จะต้องร้องไห้โวยวายขึ้นมาทันทีอย่างแน่นอน แต่ในยามนี้ ต่อให้เจอเหตุการณ์เช่นนี้ เยี่ยอิ๋งก็เรียนรู้ที่จะสงบนิ่งไว้ ดูท่าในโลกนี้คงจะไม่มีผู้ใดที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่จริงๆ
ชิงอวี้เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ก่อนหน้านี้คุณหนูสี่เป็นบุตรสาวของจวนเจ้ากรม น้องสาวของเจาอี๋ ทั้งยังเป็นสตรีงดงามที่มากความสามารถและมีชื่อเสียงของเมืองหลวง ย่อมต้องคิดว่าตนดีเลิศกว่าทุกคน อีกทั้งยามนั้น หลีอ๋องเองก็เป็นเพียงท่านอ๋องธรรมดาคนหนึ่ง แต่ในยามนี้ หลีอ๋องกลับเป็นผู้ที่ครอบครองพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดครึ่งหนึ่งของต้าฉู่ ตั้งตนเป็นศัตรูกับฮ่องเต้ ส่วนตระกูลเยี่ยก็ถดถอยลงไปเสียนานแล้ว คุณหนูสี่จะยังกล้าอาละวาดกับหลีอ๋องได้อย่างไร หลีอ๋องในยามนี้ เกรงว่าคงมิใช่สามีคนเดิมที่คอยตามใจคุณหนูสี่ทุกเรื่องอีกแล้ว”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม จริงสินะ ที่ม่อจิ่งหลีมาซีเป่ยยังเอาองค์หญิงซีสยามาด้วยเลย เห็นได้ชัดว่า ฐานะของเยี่ยอิ๋งในใจของเขาก็เป็นเพียงธรรมดาๆ เท่านั้น หากมิใช่ด้วยเพราะความสัมพันธ์ที่เยี่ยอิ๋งมีกับนาง และมีบุตรชายกับม่อจิ่งหลี เกรงว่ายามนี้คงไม่รู้ว่าถูกม่อจิ่งหลีจับไปโยนทิ้งไว้ที่มุมใดแล้ว
เมื่อคณะทูตจากแต่ละแคว้นเดินทางกลับไปกันแล้ว เมืองหลีก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีพ่อค้าวานิชจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาตั้งรกรากที่เมืองหลีและแม้แต่ในเขตซีเป่ย ชาวบ้านที่เคยหลบหนีภัยการทหารเข้าไปอยู่ในด่าน ก็ค่อยๆ ย้ายกลับเข้ามากันเป็นจำนวนมาก ทั่วทั้งเขตซีเป่ย ด้วยความพยายามอย่างหนักของตำหนักติ้งอ๋อง จึงทำให้ไม่เกิดความวุ่นวายแม้จะมีการประกาศแตกหักกับต้าฉู่อย่างกะทันหันก็ตาม แต่กลับค่อยๆ ปูทางจนเริ่มเข้าที่เข้าทาง พอถึงยามที่เยี่ยหลีสบายใจขึ้นจริงๆ ฤกษ์แต่งงานระหว่างสวีชิงเจ๋อและฉินเจิงก็มาถึงพอดี
ถึงแม้สวีชิงเจ๋อจะเป็นคนแรกของตระกูลสวีในรุ่นนี้ที่แต่งงาน แต่คนในตระกูลสวี ตั้งแต่ท่านชิงอวิ๋นไปจนถึงสวีชิงเจ๋อและฉินเจิงเอง ต่างยืนยันที่จะจัดงานต่างงานอย่างเรียบง่าย
ฉินเจิงทำการคารวะแม่ทัพจางฉี่หลันเป็นบิดาบุญธรรม และแต่งงานออกไปจากจวนแม่ทัพจาง
เพื่องานแต่งงานของฉินเจิง มู่หรงถิงที่เดิมอยู่ไกลถึงต้าฉู่ ถึงกับทิ้งเหลิ่งเฮ่าอวี่และเร่งรีบเดินทาง จนมาทันวันที่ฉินเจิงจะออกเรือนอย่างพอดิบพอดี
ภายในจวนแม่ทัพจาง ในห้องของหญิงสาวที่จัดเตรียมไว้ให้ฉินเจิงโดยเฉพาะ เยี่ยหลีและมู่หรงถิงกำลังมองดูฉินเจิงที่เพิ่งเปลี่ยนมาอยู่ชุดเจ้าสาวสีแดงสด ซึ่งยิ่งขับให้นางดูงดงามขึ้นมากเป็นพิเศษ
มู่หรงถิงจับมือฉินเจิงขึ้นมาพร้อมเอ่ยชื่นชมว่า “โชคดีจริงที่ข้ามาทัน มิเช่นนั้นคงพลาดโอกาสได้เห็นฉินเจิงในยามที่งดงามจับจิตจับใจเช่นนี้ แม้แต่ข้าเองยังใจสั่นเลย เกรงว่าตาคุณชายรองตระกูลสวีที่แสนจะแข็งทื่อนั้น หากได้เห็นคงตะลึงอึ้งไปเป็นแน่”
“มู่หรง…” ฉินเจิงเขินอายจนหน้าแดงไปหมด ถลึงตาใส่มู่หรงถิงที่กำลังทำหน้าพร่ำเพ้อ
ชุดแต่งงานสีแดงเพลิงยิ่งทำให้นางดูน่าทะนุถนอมยิ่งกว่าดอกไม้
เพื่องานแต่งงานของสวีชิงเจ๋อและฉินเจิง เยี่ยหลีที่มักใส่ชุดสีเรียบอยู่เป็นนิจ ก็เปลี่ยนมาอยู่ในชุดสีเหลืองสด ปักลายดอกฝูหรง นางยืนอยู่ตรงหน้าฉินเจิน เอียงคอพินิจมองไปพลางก็ยิ้มไปพลาง เอ่ยว่า “มู่หรงพูดได้ถูกต้อง ช่างน่าทะนุถนอมเสียยิ่งกว่าดอกไม้จริงๆ การได้แต่งงานกับพี่เจิงเอ๋อร์ ช่างเป็นวาสนาอันดีของพี่รองจริงๆ”
ฉินเจิงมองทั้งสองด้วยความจนใจ เอ่ยอย่างไม่เผลอไผลไปตามว่า “หลีเอ๋อร์ แม้แต่เจ้าก็ยังมาหยอกล้อข้า…”
เยี่ยหลีรีบปิดปากหัวเราะ เอ่ยว่า “ข้าไม่กล้าหรอก ผ่านพ้นวันนี้ไป เจิงเอ๋อร์ก็จะเป็นพี่สะใภ้รองของข้าแล้ว ข้าจะกล้าหยอกล้อพี่สะใภ้รองได้อย่างไร…จริงหรือไม่ล่ะ พี่สะใภ้…”
ภายในห้องของสตรีสาวมีเสียงหัวเราะก้องขึ้น
มู่หรงถิงหมุนตัวไปค้นของในสัมภาระของตน ก่อนหยิบกล่องไม้ขนาดไม่เล็กนักอันหนึ่งขึ้นมาส่งให้ฉินเจิง
ฉินเจิงมองนางด้วยความฉงนสงสัย “สิ่งนี้คือ?”
มู่หรงถิงเอ่ยว่า “ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางมานี้ ฉินฮูหยินให้คนนำสิ่งนี้มาให้ บอกว่าคราแรก เจ้าออกเดินทางมาด้วยความรีบร้อน และไม่สามารถทำอันใดได้มาก แม้แต่สินเดิมก็มิได้เตรียมให้เจ้า พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฉินฮูหยินและใต้เท้าฉินไปจัดการมาด้วยตนเอง บอกว่าให้ไว้เป็นสินเดิมของเจ้า”
บรรยากาศแห่งความยินดีภายในห้องของสตรีสาวค่อยๆ หายไป พอฉินเจิงรับกล่องมา น้ำตาก็ร่วงหล่นลงทันที
มู่หรงถิงถึงกับทำอันใดไม่ถูก รีบดึงผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาเช็ดน้ำตาให้กับฉินเจิง “นี่อันใดกัน…วันนี้เป็นวันดีของเจ้า จะมาร้องไห้ได้อย่างไร ข้า…ข้าไม่อยากทำให้เจ้าร้องไห้นะ…อาหลี…”
เมื่อปลอบฉินเจิงไม่สำเร็จ มู่หรงถิงจึงได้แต่มองไปทางเยี่ยหลีอย่างทำอันใดไม่ถูก นางมิได้คิดอยากทำให้ฉินเจิงร้องไห้เลยจริงๆ แต่สินเดิมที่ตระกูลฉินให้มา อย่างไรก็ต้องให้กับมือฉินเจิงก่อนที่จะเข้าพิธี
เยี่ยหลีเดินไปนั่งลงข้างฉินเจิง ตบบ่านางเบาๆ พลางเอ่ยปลอบเสียงอ่อนว่า “พี่เจิงเอ๋อร์ อย่าร้องไห้จนแป้งที่ทาไว้หายไปหมดเสียเล่า ที่ใต้เท้าฉินกับฉินฮูหยินอยากให้มู่หรงเดินทางไกลมาเพื่อนำสินเดิมมาให้ ก็ด้วยเพราะความรักของพวกท่าน เจ้าควรยินดีถึงจะถูกนะ”
ฉินเจิงพยักหน้าติดๆ กัน แต่เจ้าน้ำตาไฉนเลยจะบอกให้หยุดก็หยุดได้ทันที
เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ ตบบ่าฉินเจิงแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เอาล่ะ อยากร้องก็ร้องออกมาเสียให้เต็มที่เถิด ร้องเสร็จแล้วพวกเราค่อยแต่งหน้าเจ้าให้สวยยิ่งกว่าเดิมก็แล้วกัน แต่อย่าร้องไห้จนตาบวมเสียหมดเล่า หากทำให้พี่รองข้าตกใจจะไม่ดีนะ…”
“พรืด…” เมื่อได้ยินคำปลอบโยนของเยี่ยหลี มู่หรงถิงก็ถึงกับหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หันไปถลึงตาใส่เยี่ยหลีพลางเอ่ยว่า “อาหลี นี่เจ้ากำลังปลอบเจิงเอ๋อร์หรือกำลังพูดเรื่องตลกกันแน่เนี่ย”
แม้แต่เจิงเอ๋อร์ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ใบหน้าที่งดงามดูมีความขัดเขินขึ้นหลายส่วน
ฉินเจิงเปิดกล่องที่เป็นตัวแทนของน้ำใจบิดามารดาด้วยความระมัดระวังต่อหน้าเยี่ยหลีและมู่หรงถิง ใต้เท้าฉินและฉินฮูหยินดูจะคิดเอาไว้อย่างรอบคอบ จุดสำคัญก็คือ เส้นการเดินทางอันยาวไกล มู่หรงถิงมิอาจนำสิ่งของติดไปมากเกินไปนัก ดังนั้นของที่อยู่ในกล่องโดยมากจึงเป็นตั๋วเงิน นอกจากตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงจำนวนสองฉบับแล้ว ยังมีตั๋วเงินและเศษเงินอีกเกือบหนึ่งพันตำลึง นอกจากนี้ยังมีกล่องเล็กๆ อีกสามกล่อง ที่ภายในมีอัญมณีและเครื่องประดับบรรจุอยู่เต็มกล่อง เมื่อมีสิ่งของเหล่านี้แล้ว ต่อให้ฉินเจิงไม่ทำอันใด ก็สามารถกินอยู่หลับนอนได้อย่างสบาย ไร้กังวลไปตลอดชีวิตแล้ว
ฉินเจิงกอดกล่องนั้นไว้ ในดวงตาที่สุกใสเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ เอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อท่านแม่ทำเพื่อข้ามากมายเช่นนี้ น่าเสียดายที่ข้ากลับเป็นคนไม่กตัญญู…แม้แต่แต่งงานก็ยัง…”
“เหลวไหล ขอเพียงเจ้ามีชีวิตที่ดี ท่านลุงฉินกับท่านป้าฉินก็วางใจแล้ว จะต้องมีสักวันที่พวกเจ้าจะได้พร้อมหน้ากันอีกอย่างแน่นอน” เยี่ยหลีเอ่ย
มู่หรงถิงพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว พอเสร็จพิธีแต่งงานเจ้า ข้าก็ยังต้องกลับเมืองหลวง ถึงยามนั้น เจ้าเขียนจดหมายให้ข้านำกลับไปให้ท่านลุงฉินกับท่านป้าฉินก็แล้วกัน เจ้าวางใจเถิด พวกข้าอยู่ที่เมืองหลวง ย่อมต้องดูแลท่านทั้งสองให้ดี”
ฉินเจิงพยักหน้า เช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยด้วยความเขินอายว่า “ขอบคุณพวกเจ้ามาก หลีเอ๋อร์ มู่หรง”
มู่หรงถิงเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงใส “ขอบคุณอันใดกัน พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “เอาล่ะ จอมยุทธ์หญิงมู่หรง สหายของเจ้าใกล้จะออกเรือนเต็มทีแล้ว รีบไปนำของเหล่านี้ใส่เข้าไปในในรายการสินเดิมเถิด บอกว่าเป็นของที่บิดามารดาของเจิงเอ๋อร์ให้ติดตัวไว้ยามแต่งงานก็แล้วกัน”
สินเดิมของฉินเจิงเป็นของที่จวนแม่ทัพจัดเตรียมให้ เยี่ยหลีและตำหนักติ้งอ๋องก็เพิ่มเข้าไปให้อีกไม่น้อย เดิมทีก็ถือว่ามีจำนวนไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็มีความหมายไม่เหมือนกับสินเดิมที่บิดามารดาเป็นผู้จัดหามาให้
มู่หรงถิงที่เมื่อครู่เพิ่งทำฉินเจิงร้องไห้ จึงอยากให้ตนเองมีอันใดให้ไปทำเสียนานแล้ว เมื่อรับรายการที่เยี่ยหลีส่งมา ก็รีบหมุนตัวออกไปจัดการทันที
ทั้งสองอมยิ้มมองมู่หรงถิงที่เดินออกไปด้วยความดีใจ แล้วก็อดหันมาหัวเราะให้กันไม่ได้ ความโศกเศร้าเมื่อครู่จึงหายไปมากทีเดียว
“เจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวแล้ว เจ้าสาวออกมาได้…” ด้านนอกประตูมีน้ำเสียงยินดีอย่างในงานมงคลของแม่สื่อดังขึ้นที่ด้านนอกประตู
เยี่ยหลีก้มลงสำรวจการแต่งงานของฉินเจิงเล็กน้อย ก่อนจับผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงลงมาปิดใบหน้าของฉินเจิงด้วยตนเอง “เจิงเอ๋อร์ ขอให้เจ้ามีความสุขนะ”
“ขอบใจเจ้ามาก” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเบา