สุดท้ายเรื่องของเหลยเถิงเฟิง ก็จบลงอย่างสวยงามด้วยความประนีประนอมของเจิ้นหนานอ๋อง ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงเรื่องที่ว่า ซีหลิงกับกองทัพตระกูลม่อทำข้อตกลงพักรบกันเป็นเวลาห้าปี เรื่องการค้าระหว่างซีหลิงและซีเป่ย ทั้งยังได้สร้างเส้นทางการค้าที่ยิงตรงถึงพื้นที่ทางตะวันออกอีกด้วย รวมถึงว่า ซีหลิงจะต้องขายเหมืองทองแดงและเหมืองเหล็กให้กับซีเป่ยในปริมาณที่แน่นอนและในราคาถูก ถือเป็นการชดเชยกับการกระทำที่เหลยเถิงเฟิงทำไว้ในซีเป่ย เป็นต้น
การมาซีเป่ยครานี้ เจิ้นหนานอ๋องเรียกได้ว่าไม่ได้ประโยชน์อันใดแม้แต่น้อย เช้าวันต่อมาก็พาเหลยเถิงเฟิงเดินทองออกจากเมืองหลีกลับซีหลิงทันที เพียงแต่กองทหารที่ยามมามาอย่างยิ่งใหญ่ แต่ยามกลับกลับเหลือจำนวนเพียงไม่ถึงครึ่ง
ส่วนรัชทายาทและองค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรง รวมถึงหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ จะเจรจากันเช่นไรนั้น เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาต่างมิได้เอ่ยถาม แต่มอบหมายให้สวีชิงเฉินและสวีหงอวี่ไปจัดการ เยี่ยหลีและม่อซิวเหยามีความมั่นใจในความสามารถของทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยม ย่อมไม่ต้องเป็นกังวลว่าพวกเขาจะทำให้กองทัพตระกูลม่อเสียประโยชน์
หลังจากเจิ้นหนานอ๋องกลับไปแล้ว พี่น้องหลิงเถี่ยหานทั้งสามคนที่พักอาศัยอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องเป็นการชั่วคราวก็ขอตัวลากลับเช่นกัน ถึงแม้บัณฑิตขี้โรคที่ป่วยเรื้อรังมานานจะยังมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ฟังจากเสียงหายใจของเขาแล้ว ดูจะดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากทีเดียว ท่าทีระหว่างหลิงเถี่ยหานและเหลิ่งหลิวเย่ว์ยังมีความแข็งขืนไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอันใดกับเยี่ยหลี
ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน สวีชิงเฉินและสวีหงองี่ก็จัดการสามสี่คนที่เหลือจนเรียบร้อย ครานี้กองทัพตระกูลม่อได้รับประโยชน์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงไปจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งยิ่งทำให้ผู้มีอิทธิพลของแต่ละแคว้นเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่งว่า ถึงแม้ยามนี้กองทัพตระกูลม่อจะยึดครองพื้นที่อยู่ไม่ถึงหนึ่งในหกของต้าฉู่ แต่ก็ยังคงมิใช่คนที่จะล่วงเกินด้วยได้ง่ายๆ ตั้งแต่ม่อซิวเหยาประกาศตนแยกตัวออกจากต้าฉู่เป็นต้นมา การถ่วงดุลระหว่างแต่ละแว่นแคว้นที่สั่นคลอนแทบจะล้มลงก็กลับมารักษาความสมดุลได้อย่างประหลาด
“เรียนพระชายา หลีอ๋องกับชายาหลีอ๋องต้องการมาขอตัวลาเดินทางกลับเพคะ” เมื่อส่งคนกลุ่มใหญ่ที่จัดการยากไปกันหมดแล้ว เยี่ยหลีที่เริ่มมีเวลาว่างก็มาเย้าแหย่ม่อตัวน้อยเล่น ม่อตัวน้อยที่อายุใกล้ครบสองเดือนแล้วยิ่งดูขาวผ่องราวหิมะและน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก ใบหน้าเล็กที่ทั้งขาวและอวบอ้วน มีดวงตาดำขลับกลมใสฝังอยู่ประหนึ่งผลึกแก้วสีดำ ทุกครายามที่ดวงตาวาวใสคู่นั้นมองมายังเยี่ยหลี ก็ทำให้อดอุ้มขึ้นมาหอมแล้วหอมอีกไม่ได้
แต่เมื่อได้ยินชิงหลวนเอ่ยรายงาน เยี่ยหลีถึงได้นั่งตัวตรงขึ้น เลิกคิ้วเรียวพร้อมเอ่ยถามว่า “ขอตัวลาเดินทางกลับกับข้า?”
เหตุใดนางถึงไม่รู้ว่าในสายตาของคนนอก คนที่เป็นชายาติ้งอ๋องอย่างนาง มีความสำคัญกว่าติ้งอ๋องแล้วอย่างนั้นหรือ หากว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเยี่ยอิ๋ง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางกับเยี่ยอิ๋งไม่เคยเป็นคู่พี่น้องที่มีความรักใคร่ใกล้ชิดกัน
ชิงหลวนพยักหน้า “ชายาหลีอ๋องกล่าวเช่นนี้จริงๆ เพคะ ท่านอ๋องออกนอกเมืองไปพร้อมคุณชายสองตระกูลสวีตั้งแต่เช้าแล้ว คาดว่าน่าจะกลับมาไม่ทันส่งหลีอ๋องเดินทางกลับเพคะ”
เยี่ยหลีคลี่ยิ้ม ม่อซิวเหยารู้แต่แรกแล้วว่าม่อจิ่งหลีจะเดินทางกลับวันนี้ หากมีใจคิดจะส่งเขากลับจริงๆ คงไม่ออกนอกเมืองไปแต่แรก
เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย ก่อนโบกมือเอ่ยว่า “เอาเถิด เชิญหลีอ๋องกับพระชายาให้ไปนั่งรอที่โถงดอกไม้สักครู่ก็แล้วกัน”
ชิงหลวนรับคำสั่งออกไป เยี่ยหลีเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนหมุนตัวเดินออกไป แต่เดินยังไม่ทันพ้นจากห้องด้านหลัง ม่อตัวน้อยก็ส่งเสียงอ้อแอ้ๆ เรียกเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังร้องเรียกอันใด เมื่อได้ยินเสียง เยี่ยหลีจึงหันกลับไปมอง เจ้าก้อนเนื้อตัวน้อยที่กำลังนอนอยู่ในห่อผ้า ยื่นมือน้อยมาพร้อมส่งยิ้มอย่างน่ารักน่าเอ็นดูให้เยี่ยหลี ปากเล็กๆ ยังส่งเสียงร้องแหลมเล็กที่คนอื่นฟังไม่เข้าใจไม่หยุดอีกด้วย
หลินหมัวมัวเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดูท่าซื่อจื่อน้อยคงไม่อยากให้พระชายาไปนะเพคะ”
เยี่ยหลีมองเด็กน้อยที่มองตาแป๋วมาที่ตน ในใจให้รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ลูกน้อยคลอดออกมาได้เกือบสองเดือนแล้ว เวลาที่นางอยู่กับลูกนั้นไม่มากนักจริงๆ ถึงขั้นบางครั้งไม่ได้พบหน้าเขาเลยเป็นวันๆ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกครั้งยามที่ม่อตัวน้อยพบนาง ก็ยังหัวเราะยิ้มแย้มให้นางอย่างใกล้ชิดเช่นนี้เสมอ
นางค่อยๆ อุ้มลูกขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยความอ่อนโยนว่า “เด็กดี ออกไปกับแม่ดีหรือไม่”
ถึงแม้ยามนี้เพิ่งจะเข้าเดือนแปด แต่อากาศในซีเป่ยก็เริ่มเย็นขึ้นมาแล้ว หลินหมัวมัวเมื่อได้ยินว่าเยี่ยหลีจะอุ้มลูกออกไปด้วย ก็รีบเรียกให้คนเอาผ้าห่มอ่อนนุ่มผืนเล็กมาทันที พร้อมเอ่ยกำชับว่าอย่าให้ซื่อจื่อน้อยโดนลมเย็นจนเป็นหวัดเข้า
เยี่ยหลีรับคำแล้วถึงอุ้มม่อตัวน้อยเดินออกไป
เยี่ยหลีอุ้มม่อตัวน้อยเข้าไปในโถงดอกไม้ กลับเห็นเพียงม่อจิ่งหลีที่นั่งใจลอยอยู่ในโถงดอกไม้ ไม่รู้ว่าเยี่ยอิ๋งไปอยู่เสียที่ใด เยี่ยหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ เรียกสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูมาเอ่ยถามว่า “ชายาหลีอ๋องไปอยู่ไหนเสียเล่า”
สาวใช้ตอบด้วยท่าทีเคารพนบนอบว่า “เรียนพระชายา เมื่อครู่ชายาหลีอ๋องบอกว่าอยากออกไปเดินเล่นสักหน่อย จึงออกไปทางสวนดอกไม้แล้วเพคะ ให้บ่าวไปเชิญมาไหมเจ้าคะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า ก็ได้ยินเสียงม่อจิ่งหลีลุกขึ้นเรียกเอาไว้เสียก่อน “ช้าก่อน ไม่ต้องไปเรียกอิ๋งเอ๋อร์หรอก เยี่ยหลี ข้ามีเรื่องอยากพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
เยี่ยหลีหมุนตัวไปมองบุรุษที่ยังคงอยู่ในสีหน้าเรียบเฉย และกำลังมองนางอย่างถือดี ในใจก็ให้รู้สึกน่าขันยิ่งนัก นางโบกมือให้สาวใช้ถอยออกไป เยี่ยหลีก้าวเข้าไปกลางโถงดอกไม้ เอ่ยถามว่า “หลีอ๋องมีเรื่องอันใดอยากพูดคุยกับข้าหรือ”
ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วมองม่อตัวน้อยในอ้อมแขนของเยี่ยหลี กับเว่ยลิ่นและชิงอวี้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังนาง เขาเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ข้าอยากพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
เยี่ยหลีมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “ยามนี้มิได้มีใครอื่น มีอันใดก็พูดมาตรงๆ เถิด”
ม่อจิ่งหลีเข้าใจดีว่า เยี่ยหลีไม่มีทางอยู่กับเขาสองต่อสอง จึงได้แต่ข่มความโกรธไว้แล้วกลับนั่งลงอีกครั้ง
เยี่ยหลีนั่งลงที่ตำแหน่งประธาน วางม่อตัวน้อยในอ้อมแขนลงด้วยความระมัดระวัง จับมือเล็กๆ ของเขาขึ้นโบกไปมาเล็กน้อย หยอกให้ม่อตัวน้อยหัวเราะกว้างโชว์เหงือกที่ยังไม่มีฟันขึ้น
ภาพความอบอุ่นระหว่างแม่ลูกนี้ กลับขัดลูกหูลูกตาม่อจิ่งหลียิ่งนัก เขาส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนเอ่ยกัยเยี่ยหลีว่า “เดิมทีเรื่องการถอนหมั้นเป็นเพราะข้าทำไม่ถูกเอง ข้าขอโทษเจ้าไว้ด้วย”
เยี่ยหลีอึ้งไป มองใบหน้าเคร่งขรึมของม่อจิ่งหลีด้วยความฉงนสงสัย ก่อนหันไปมองเว่ยลิ่นกับชิงอวี้ประหนึ่งจะถามว่า สมองของม่อจิ่งหลีคงมิได้เลอะเลือนไปกระมัง
เว่ยลิ่นและชิงอวี้เองก็ทำหน้าประหนึ่งเห็นผี พวกเขามิได้เพิ่งรู้จักหลีอ๋องเป็นครั้งแรก หากจะบอกว่าเขาสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใด พวกเขายังพอเชื่อ แต่หากจะบอกว่าเขารู้จักเอ่ยขอโทษผู้อื่นต่อหน้าด้วยตนเอง ยังไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อนเลยจิรงๆ
สีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อของทั้งสามคน ทำให้สีหน้าม่อจิ่งหลียิ่งดูย่ำแย่หนักเข้าไปอีก
เยี่ยหลีเองก็ไม่มีกระจิตกระใจจะท้าวความหลังเหล่านี้กับเขา เพียงคิดอยากไล่เขาไปเร็วๆ เท่านั้น จึงระบายยิ้มน้อยๆ พร้อมพยักหน้า “เรื่องมันผ่านไปแล้ว หลีอ๋องมิต้องสนใจหรอก”
ม่อจิ่งหลีจับจ้องนางด้วยสีหน้าจริงจัง “จะไม่ให้สนใจได้อย่างไร เรื่องเหล่านั้นข้าไปสืบมาโดยละเอียดแล้ว เยี่ยอิ๋งทำให้ชื่อเสียงเจ้าต้องเสียหาย ก็เพราะต้องการเข้ามาอยู่ในตำหนักหลีอ๋อง หากมิใช่เช่นนั้น ยามนี้เจ้าต่างหากที่ควรเป็นชายาหลีอ๋อง”
เยี่ยหลีรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมาในทันใด ในขณะเดียวกันก็คิดว่า สองปีกว่าที่ผ่านมานี้ เรื่องราวที่เขาต้องผ่านมามีมากมาย ความโง่เขลาของม่อจิ่งหลีคงมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้างแล้ว
“หลีอ๋อง ข้าคิดว่า มีคำถามหนึ่งที่ท่านไม่เคยคิดถึงมาก่อน หากยามนั้นข้าไม่ยอมให้มีการถอนหมั้น…ท่านคิดจริงๆ หรือว่าการหมั้นหมายในครานั้นจะถอนหมั้นกันได้ง่ายๆ เช่นนั้น”
นั่นเป็นงานสมรสที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานไว้ให้ยามที่ยังทรงมีพระชนย์ชีพอยู่เชียวนะ จะถอนหมั้นกันง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร
“เจ้าหมายความเช่นไร” ม่อจิ่งหลีมองเยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ จากคำพูดของเยี่ยหลี เขาย่อมฟังความหมายแห่งการดูแคลนที่มีต่อตนออก
เยี่ยหลีอุ้มม่อตัวน้อยขึ้นอย่างเบามือ เอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “มิได้หมายความเช่นไร ข้าแค่เพียงอยากบอกท่านหลีอ๋องว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ในโลกนี้ไม่มีคำว่าหากว่า และไม่มีอันใดที่ควรจะ หากหลีอ๋องไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ก็เชิญกลับไปเสียเถิด วันนี้ท่านอ๋องออกไปปฏิบัติงานที่นอกเมือง คงมิได้ส่งหลีอ๋องและชายาหลีอ๋องแล้ว”
ม่อจิ่งหลีจ้องเยี่ยหลีอย่างไม่ยอมแพ้ “เดิมทีเจ้าเป็นชายาของข้า!”
เยี่ยหลีเหลือบตาขึ้นมองเขาเรียบๆ “เช่นนั้นท่านอ๋องคิดอยากทำเช่นไร”
“เจ้าไปกับข้า ข้ารับประกันว่าเจ้าจะได้เป็นชายาเอกแห่งหลีอ๋อง!” ม่อจิ่งหลีเอ่ย
เยี่ยหลีมองสำรวจม่อจิ่งหลีนิ่งอยู่เป็นนาน แล้วถึงได้พ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างดูแคลน
เมื่อรับรู้ได้ถึงความดูแคลนในเสียงหัวเราะของเยี่ยหลี ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาจนม่อจิ่งหลีเอ่ยว่า “เจ้าหัวเราะอันใด”
เยี่ยหลีหุบยิ้มลง เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “ท่านหลีอ๋อง ท่านกล้าเอาตัวข้าไปจากเมืองหลีหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าม่อจิ่งหลีก็เปลี่ยนไป เหลือบมองเว่ยลิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีทีหนึ่ง แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวมิได้หยุด
เยี่ยหลีเอนตัวพิงสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ อุ้มม่อตัวน้อยไว้พร้อมเย้าแหย่เขา พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ที่หลีอ๋องเอ่ยมาทั้งหมดนี้ หมายความเช่นไรกันแน่ หรือจะบอกว่า ความกล้าหาญและชาญชัยของหลีอ๋องมีมากถึงขั้นกล้าชิงตัวชายาติ้งอ๋องไปจากซีเป่ยแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง คงทำให้ข้าต้องตั้งตารอแล้ว เพียงแต่…ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่จะมีเหตุอันใดให้ข้าไปกับท่านด้วย ชายาเอกแห่งหลีอ๋อง มีค่ามากถึงขั้นทำให้ข้าปราถนาได้เชียวหรือ”
ม่อจิ่งหลีกำมือสองข้างที่วางอยู่ข้างตัวแน่น จ้องเขม็งไปที่เยี่ยหลี “ม่อซิวเหยาดีกับเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ เจ้าถึงได้ยอมติดตามมันจนไม่สนอันใดทั้งสิ้นเช่นนี้ มันก็แค่กำลังหลอกใช้เจ้าเท่านั้น!”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมอมยิ้มเล็กน้อย “แน่นอนว่าซิวเหยาย่อมดีต่อข้า ในใต้หล้ามีผู้ใดไม่รู้บ้าง ข้าเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของเขา ได้ครอบครองอำนาจครึ่งหนึ่งภายในตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อ และในมือยังมีหน่วยกิเลนที่เก่งกาจและลึกลับที่สุดอีก สิ่งเหล่านี้…ท่านให้ข้าได้หรือ ท่านกล้าให้ข้าหรือ หรือว่าหลีอ๋องมิได้คิดที่จะหลอกใช้ข้า มิได้ต้องการตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจวที่คอยสนับสนุนข้า และมิได้ต้องการหน่วยกิเลนในมือข้า”
เมื่อถูกเปิดเผยเจตนาของตนออกมาอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ สีหน้าม่อจิ่งหลีก็ดูไม่ได้ขึ้นมาทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “กองทัพตระกูลม่อเรียกได้ว่ามีศัตรูอยู่กว่าครึ่งใต้หล้า เยี่ยหลี ที่ข้าทำก็เพื่อเจ้า เจ้าอย่าทำเป็นอวดดีนักเลย”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ความหวังดีของหลีอ๋อง ข้าขอรับไว้ด้วยใจ ชายาหลีอ๋องก็รอมานานแล้ว ทั้งสองรีบออกเดินทางกันเถิด ข้าคงไม่ส่งแล้ว”
ทุกคนพากันหันสายตาไปทางปากประตู ไม่รู้ว่าเยี่ยอิ๋งมายืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังมองพวกเขาด้วยสีหน้าประหลาด
ม่อจิ่งหลีดูอึดอัดเล็กน้อย ลุกขึ้นเอ่ยว่า “อิ๋งเอ๋อร์ เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใด”
เยี่ยอิ๋งมองเขานิ่งอยู่เป็นนาน ถึงได้เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “เพิ่งมาเมื่อครู่เพคะ ท่านอ๋อง หากท่านบอกลากับพี่สามเสร็จแล้ว พวกเขาก็ควรออกเดินทางกันได้แล้วกระมัง”
ม่อจิ่งหลีหันกลับไปมองเยี่ยหลีอย่างไม่ยอมแพ้ แต่กลับเห็นว่าเยี่ยหลีกำลังหยอกล้อกับบุตรตัวน้อยในอกอยู่ จึงได้แต่พยักหน้า เอ่ยว่า “ไปเถิด”
เขาไม่แม้แต่จะหันไปบอกลาเยี่ยหลี เดินผ่านเยี่ยอิ๋งออกไปก่อนทันที
เยี่ยอิ๋งหันกลับมามองเยี่ยหลี เอ่ยด้วยสีหน้าหลากหลายว่า “พี่สาม ข้าลาก่อน”
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยอย่างนิ่งขรึมว่า “ไม่ส่ง”
เมื่อเยี่ยอิ๋งเดินออกไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก