“หลิงเถี่ยหานประมือกับผู้ใดก็ล้วนดุดันเช่นนี้หรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยถาม เมื่อคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยากับหลิงเถี่ยหานได้ตกลงกันไว้ว่าจะนัดประลองยุทธ นางก็อดนึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
ม่อซิวเหยาระบายยิ้ม ยื่นมาไปดึงนางเข้ามากอดโดยไม่สนใจสายตาผู้คนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ เขาหัวเราะเสียงต่ำๆ พร้อมเอ่ยว่า “หลิงเถี่ยหานมิใช่คนโง่ หากเขาสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับข้าจริง ต่อให้สภาพข้าจะย่ำแย่กว่าเขา แต่เขาก็คงมิได้ดีไปกว่าข้าสักเท่าไร”
ความสามารถของพวกเขายังมิได้ห่างกันขนาดที่หลิงเถี่ยหานจะสามารถเอาชนะเขาอย่างขาดลอยได้ หากเขาเกิดแสดงฝีมือได้ดีผิดธรรมดาขึ้นมา ผู้ใดจะแพ้ผู้ใดจะชนะก็ยังมิอาจรู้ หากหลิงเถี่ยหานสู้กับเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเข้าจริงๆ คงจะมีแต่บาดเจ็บสาหัสด้วยกันทั้งคู่
“อีกอย่าง…เจ้าอย่าดูแต่ว่าพวกเขาสู้กันอย่างดุเดือด หลิงเถี่ยหานยังไม่ได้เต็มที่ด้วยซ้ำ เหลยเจิ้นถิงเองก็ยังมีส่วนที่เก็บไว้เช่นกัน”
เยี่ยหลีชี้นิ้วไปทางเจิ้นหนานอ๋องที่ว่ายังมีส่วนที่เก็บไว้ แต่เมื่อครู่เพิ่งถูกฝ่ามือหนึ่งเข้าไปจนความเคลื่อนไหวเริ่มช้าลง นางเอ่ยถามว่า “ท่านกำลังจะบอกข้าเป็นนัยๆ ว่า หลิงเถี่ยหานกับเหลยเจิ้นถิงมีความแค้นส่วนตัวกันอย่างนั้นหรือ”
ม่อซิวเหยาอมยิ้มไม่ตอบ หลิงเถี่ยหานหมดความสนใจในวิทยายุทธของเหลยเจิ้นถิงแล้ว หากไม่มีความแค้นส่วนตัว แค่เพียงได้ยินว่าเขามาที่ตำหนักติ้งอ๋อง จะพุ่งตรงมาหาเรื่องเขาทันทีอย่างนี้หรือ
เมื่อดูละครกันไปพอสมควรและคิดแล้วว่าอย่างไรก็ไม่ควรให้แขกของตำหนักติ้งอ๋องมาถูกทำร้ายจนเสียชีวิตที่ตำหนัก ม่อซิวเหยาถึงได้เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “เจิ้นหนานอ๋อง เจ้าสำนักหลิง แลกวิชากันมาพอประมาณแล้ว ทุกคนพักผ่อนกันเสียก่อนดีหรือไม่”
หลิงเถี่ยหานปรายตามองมาที่เขา แล้วจึงกระโดดลอยตัวถอยหลังขึ้นไปบนกำแพง ยืนนิ่งอยู่ทางด้านบนพร้อมกดสายตาลงมองเจิ้นหนานอ๋อง เมื่อเทียบกับท่าทางสบายๆ ของหลิงเถี่ยหานแล้ว เจิ้นหนานอ๋องดูจะอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าอย่างเห็นได้ชัด มุมปากมีรอยเลือดไหลออกมา มือหนึ่งจับหน้าอกที่ปวดหนึบเล็กน้อยบริเวณที่โดนฝ่ามือของหลิงเถี่ยหานเข้าไป สีหน้าหนิ่งขรึมประหนึ่งผืนน้ำ
เขาหมุนตัวหันกลับมามองเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ แล้วเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋อง นี่พวกท่านหมายความเช่นไรกัน”
เยี่ยหลีก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เจิ้นหนานอ๋องขออภัยด้วย ช่วงนี้เจ้าสำนักหลิงมาเป็นแขกของที่ตำหนัก หากเสียมารยาทไปก็ขอได้โปรดอภัยด้วย เจ้าสำนักหลิง ไม่ลงมาดื่มชาด้วยกันหรือ”
หลิงเถี่ยหานประสานหมัดให้เยี่ยหลี เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “เมื่อครู่ผ่านมาที่นี่ บังเอิญพบเจิ้นหนานอ๋องเดินเข้ามาพอดี จึงเกิดคันมืออยากประลองยุทธขึ้นมาเล็กน้อย ขอพระชายาได้โปรดอภัยด้วย ข้าน้อยยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เจ้าสำนักหลิงค่อยๆ ไป”
หลิงเถี่ยหานหันไปพยักหน้าให้ม่อซิวเหยาเล็กน้อย ก่อนกระโดดลอยตัวหายไปจากเรือนหน้า
เมื่อเชิญเจิ้นหนานอ๋องเข้าไปนั่งลงที่โถงใหญ่แล้ว เยี่ยหลีก็หันไปเอ่ยถามเจิ้นหนานอ๋องที่มีสีหน้าย่ำแย่ว่า “ท่านอ๋อง ต้องการให้ท่านหมอมาตรวจดูสักหน่อยหรือไม่”
เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึเบาๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก “ขอบคุณพระชายามาก บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
เยี่ยหลีพยักหน้า ก็ดูจะมิได้บาดเจ็บหนักอันใด ถึงแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ หลิงเถี่ยหานถึงได้เกิดไปมีเรื่องแค้นใจกับเจิ้นหนานอ๋องเข้า แต่เยี่ยก็มิได้ไม่ชอบใจกับผลลัพธ์ที่เป็นเช่นนี้ เจิ้นหนานอ๋องที่ได้รับบาดเจ็บภายใน ดูจะสมประโยชน์นางมากกว่าเจิ้นหนานอ๋องที่สภาพร่างกายสมบูรณ์พร้อม
เมื่อให้สาวใช้ที่ยกน้ำชาเข้ามาออกไปแล้ว เจิ้นหนานอ๋องก็หันมองม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี เอ่ยถามเข้าประเด็นทันทีว่า “ได้ยินว่าลูกชายข้าเป็นแขกอยู่ที่ตำหนัก ไม่รู้ว่าจะให้เขาออกมาพบหน้าสักหน่อยได้หรือไม่”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เส้นผมที่ขาวโพลนทำให้รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งดูเย็นเยียบและไร้ความรู้สึก “เป็นแขก? อาหลี เจ้าเชิญเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อมาเป็นแขกที่ตำหนักหรอกหรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ “วันก่อนข้าออกนอกเมืองไปลาดตระเวนดูจุดที่หน่วยกิเลนประจำการอยู่ เช้าวันนี้ถึงได้กลับเข้ามา จะเชิญเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อมาเป็นแขกได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจิ้นหนานอ๋องก็ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที และก็เข้าใจทันทีว่า ทั้งๆ ที่เหลยเถิงเฟิงพาคนไปด้วยจำนวนมากเช่นนั้น แต่เหตุใดถึงได้ตกไปอยู่ในมือชายาติ้งอ๋องอย่างไร้ซุ่มเสียงเสียได้ หน่วยกิเลน…หน่วยรบหัวกะทิอันดับหนึ่งภายใต้การบัญชาการของชายาติ้งอ๋อง แต่กลับไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นร่องรอยของพวกเขามาก่อน สิ่งที่รู้มีเพียงผลการรบอันห้าวหาญของพวกเขาที่ไม่เคยผิดพลาดเลยเท่านั้น
เจิ้นหนานอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบเทียบเชิญออกมาเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น เทียบเชิญของท่านอ๋องกับพระชายานี้หมายความเช่นไรกัน ไม่รู้ว่าที่เชิญข้ามาที่ตำหนักนี้ ด้วยเพราะมีอันใดสำคัญหรือ”
ม่อซิวเหยาเอนข้างลงพิงที่เท้าแขน ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ก็มิได้มีเรื่องใหญ่อันใด อีกสักสามสี่วัน ข้ากับพระชายาจะไปลาดตระเวนพื้นที่ต่างๆ ในซีเป่ย จะไม่อยู่ในเมืองหลี ดังนั้นจึงอยากบอกท่านอ๋องให้ทราบไว้เสียก่อน เผื่อถึงเวลานั้นจะมีสิ่งใดที่ดูแลไม่ทั่วถึง”
เจิ้นหนานอ๋องหลุบตาลง คิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง อันที่จริงข้ากับบุตรชายก็จากซีหลิงมาได้นานเกือบสองเดือนแล้ว ในแคว้นยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก จริงๆ ตั้งใจจะขอตัวลากลับเสียนานแล้ว เพียงแต่…วานนี้บุตรชายของข้าออกไปข้างนอกยังไม่กลับมา เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านอ๋องและพระชายาช่วยดูแลสักหน่อยแล้ว”
ม่อซิวเหยาตอบรับอย่างใจกว้าง “เรื่องนี้เจิ้นหนานอ๋องวางใจได้เลย ขอเพียงซื่อจื่อยังอยู่ในเขตซีเป่ย ต่อให้หลบเข้าไปอยู่ในถ้ำใต้ดิน ข้าก็จะต้องหาตัวเขาให้พบให้จงได้”
เจิ้นหนานอ๋องใจฝ่อลงเล็กน้อย พูดกันมาตั้งนาน ม่อซิวเหยาที่ดูเหมือนจะรับปาก แต่เอาเข้าจริงกลับไม่รับปากอันใดทั้งสิ้น บุตรชายเขาถูกม่อซิวเหยาจับตัวไป เป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีแก่ใจ แต่ขอเพียงม่อซิวเหยาไม่ยอมรับ ก็ไม่มีผู้ใดทำอันใดเขาได้ อีกอย่างที่เขารับปากคือจะหาตัวกลับมาให้ได้ จะสิบวันหรือครึ่งเดือนก็คือหา จะสามปีห้าปีก็คือหาเช่นเดียวกัน ตำหนักติ้งอ๋องยอมเสียเวลาเช่นนี้ได้ แต่ซีหลิงและตำหนักเจิ้นหนานอ๋องกลับเสียเวลาเช่นนั้นไม่ได้ ถึงแม้เถิงเฟิงจะมิใช่บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา แต่ก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่มีความสามารถโดดเด่น ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เขาตกอยู่ในมือม่อซิวเหยาไม่ได้
เจิ้นหนานอ๋องเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงขรึมว่า “บุตรข้าไม่รู้ความ หากเขากระทำการใดล่วงเกินท่านอ๋องและพระชายาไป ข้าก็ขอโทษแทนเขาด้วย หวังว่าติ้งอ๋องจะใจกว้าง” เมื่อพูดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขายอมอ่อนให้แล้ว
ดวงตาม่อซิวเหยาเป็นประกายเล็กน้อย เอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องพูดเช่นนี้ดูจะเกินไปสักหน่อย ข้าเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่า…เมื่อวานที่อาหลีออกนอกเมืองไป บังเอิญพบกลุ่มคนที่จู่ๆ ก็มาทำเรื่องลับๆ ล่อๆ อยู่ในซีเป่ยเข้า ดังนั้นจึงได้ให้คนจับคนเหล่านั้นกลับมา อาหลี?”
เยี่ยหลีคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน พยักหน้าเอ่ยว่า “เมื่อวานจับคนมาได้ไม่น้อยจริงๆ เพคะ จั๋วจิ้ง?”
จั๋วจิ้งทำท่าคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “มีคนหนึ่งที่อ้างว่าตนเองเป็นเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ดูจะไม่เหมือนเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อสักทีเดียว อีกอย่างเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อก็อยู่ที่ที่พักคณะทูต จะหายไปอยู่แถวหงโจวได้อย่างไร ข้าน้อยจึงนึกมั่นใจว่าเป็นพวกหลอกลวง จึงสั่งให้คนจับขังไว้ด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดที่ฟังดูไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เมื่อพูดด้วยสีหน้านิ่งขรึมจริงจังของจั๋วจิ้งแล้ว ยิ่งทำให้ดูประหนึ่งเป็นเรื่องจริงขึ้นมากระนั้น
คนที่อยู่ ณ ที่นั้น มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่นักแสดงละครฝีมือดี ม่อซิวเหยายืดตัวขึ้น เอ่ยต่อว่าเสียงเบาว่า “เรื่องใหญ่อย่างเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อเช่นนี้ จะคิดเองเออเองมั่วซั่วได้อย่างไร ยังไม่รีบไปตรวจสอบดูอีก รีบไปรีบมาล่ะ”
จั๋วจิ้งรับคำ รีบออกไปตรวจสอบดูทันที
เมื่อเห็นแผ่นหลังของจั๋วจิ้งหายไปจากปากประตูแล้ว ม่อซิวเหยาถึงได้ยกน้ำชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง ก่อนหันไปยิ้มให้เจิ้นหนานอ๋อง “ท่านอ๋องไม่ต้องร้อนใจไป จั๋วจิ้งเป็นคนข้างกายของอาหลี ปกติจัดการเรื่องอันใดก็ไว้ใจได้ ครานี้คงเกิดพลั้งเผลอไปชั่วขณะ เชื่อว่าน่าจะรู้เรื่องตั้งแต่ต้นจนจบโดยละเอียดได้อย่างรวดเร็ว”
เหตุใดเจิ้นหนานอ๋องจะมองไม่ออกว่าม่อซิวเหยากำลังเล่นละคร แต่บุตรชายของตนอยู่ในมืออีกฝ่าย อีกฝ่ายว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น จึงยิ้มเรียบๆ พร้อมหัวเราะออกมาทีหนึ่ง “เช่นนั้นก็ลำบากท่านอ๋องแล้ว”
แล้วจั๋วจิ้งก็รีบไปรีบมาจริงๆ ไปกลับใช้เวลาไปเพียงไม่ถึงหนึ่งถ้วยน้ำชาเท่านั้น แล้วจั๋วจิ้งก็กลับมาปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
เมื่อก้าวเข้ามาให้ห้องโถง จั๋วจิ้งก็เดินขึ้นหน้ามาทำความเคารพเยี่ยหลีและม่อซิวเหยา เอ่ยปากขออภัยว่า “ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ เมื่อครู่ข้าน้อยเข้าไปสำรวจดูในคุกแล้ว นั่น…เป็นเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงไม่เชิญซื่อจื่อออกมาเล่า”
จั๋วจิ้งเอ่ยด้วยความลำบากใจว่า “เรื่องนี้…”
“มีอันใดก็พูดออกมา” เยี่ยหลีเอ่ย
จั๋วจิ้งตอบว่า “คนเหล่านั้นพอจับกลับมาได้ก็ส่งต่อให้คุณชายเฟิ่งซาน คุณชายเฟิ่งซานบอกว่า ในชีวิตนี้สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือพวกที่ขุดสุสานขโมยของ คุณชายเฟิ่งซานบอกว่า ตามกฎแล้ว คนที่ขุดสุสานขโมยของ จะต้องถูกโบยหนึ่งร้อยที และนำตัวไปปล่อยที่ชายแดน หากขโมยของในสุสานหลวงตามกฎจะต้องประหารชีวิต ผู้เป็นอ๋องเมื่อผิด ก็ต้องรับโทษเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ดังนั้น…คุณชายเฟิ่งซานจึงไม่ยอมมอบตัวคนที่ทำผิดให้ข้าน้อยขอรับ ข้าน้อยจัดการงานไม่ได้ความ พระชายาได้โปรดอภัยด้วย”
เยี่ยหลีหันมองเจิ้นหนานอ๋องที่เริ่มหน้าเขียว ก็หันไปยิ้มอย่างขอลุแก่โทษ เอ่ยว่า “เฟิ่งซานทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง มีส่วนร่วมในการบัญญัติกฎหมายของเมืองหลีและซีเป่ย ว่ากันว่า ขุนนางใหม่รักษาหน้าที่กันอย่างเคร่งครัดนัก คงจะมีบ้างที่หัวไม่แล่น ขอท่านอ๋องได้โปรดอภัยด้วย”
แล้วจึงหันไปเอ่ยกับจั๋วจิ้งว่า “เชิญเฟิ่งซานมาที”
“ไม่ต้องเชิญแล้ว ข้าน้อยเฟิ่งซาน คารวะท่านอ๋องและพระชายา” เยี่ยหลีพูดยังไม่ทันจบ เสียงของเฟิ่งซานก็ดังลอยเข้ามาจากนอกประตูทันที
คุณชายเฟิ่งซานยังคงอยู่ในชุดสีแดงทั้งตัว เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม เคร่งขรึมอย่างคุณชายจากตระกูลชนชั้นสูง
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “เฟิ่งซาน เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่ออยู่กับเจ้าหรือ”
เฟิ่งจือเหยาเชิดคางขึ้นยิ้ม โบกพัดในมือไปมาด้วยท่าทีสบายๆ “เรียนพระชายา ในมือข้าน้อยไม่มีซื่อจื่ออันใดทั้งสิ้น จะมีก็เพียงโจรปล้นสุสานเท่านั้น ข้าน้อยมาที่นี่ก็เพื่อมารายงานเรื่องนี้ต่อท่านอ๋องและพระชายา ตามความเห็นของข้าน้อย คนพวกนี้ใจกล้ากระทำการก้าวล่วงบุกปล้นสุสานหลวง มีโทษถึงประหาร ข้าน้อยเห็นว่าควรจับตัวคนเหล่านี้ไปสอบสวนและประหารต่อหน้าสาธารณชน พร้อมทั้งป่าวประกาศความผิดของพวกมันให้คนทั้งใต้หล้าได้รับรู้พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าเจิ้นหนานอ๋องดูย่ำแย่ถึงขีดสุด หากเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยโทษปล้นสุสานแล้ว เช่นนี้เกียรติยศของตำหนักเจิ้นหนานอ๋องและซีหลิงก็คงสูญสิ้นไปทั้งใต้หล้า หนำซ้ำเฟิ่งจือเหยาก็ยังพูดเหตุผลใหญ่โตเสียจนมิอาจปฏิเสธ ด้วยเพราะไม่ว่าจะที่ซีหลิงหรือต้าฉู่ การปล้นสุสานเช่นนี้ล้วนมีความผิด แต่จะว่ากันตามจริง ความผิดเช่นนี้เอาเข้าจริงก็มีไว้เพื่อจัดการกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไปและโจรปล้นสุสานเท่านั้น หากเป็นเชื้อพระวงศ์ ต่อให้มีการขุดสุสานของราชวงศ์ก่อน จะมีผู้ใดทำอันใดพวกเขาได้ แต่ยามนี้เหลยเถิงเฟิงตกไปอยู่ในมือของม่อซิวเหยา ความผิดข้อนี้จึงทำให้เขาไม่รู้จะทำเช่นไรดี
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยต่ออย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ว่า “ซีเป่ยเพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน กฎหมายยังไม่ครอบคลุม จึงยิ่งควรต้องลงโทษสถานหนักเพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง อีกอย่างการขุดสุสานขโมยสิ่งของนั้น ถือเป็นการไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ของคน รบกวนดวงวิญญาณที่ดับสูญไปแล้ว ถือเป็นโทษหนัก ถึงแม้จะเป็นสุสานหลวงของราชวงศ์ก่อน แต่หากไม่จัดการลงโทษสถานหนัก คนในใต้หล้าจะต้องเห็นว่าพวกเรา คนซีเป่ย ไม่มีคุณธรรมเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ ขอท่านอ๋องช่วยไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ในใจเจิ้นหนานอ๋องถอนหายใจยาว เข้าใจดีว่าวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงหนีความผิดไม่พ้น จึงลุกยืนขึ้นประสานมือให้เยี่ยหลีและม่อซิวเหยา “บุตรชายข้ากระทำการตามใจชอบ ขาดการไตร่ตรอง จนทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ขึ้น หวังว่าท่านอ๋องและพระชายาจะยอมผ่อนปรนให้สักเล็กน้อย ข้า ซีหลิงและตำหนักติ้งอ๋องยินดีชดใช้ความเสียหายให้กับตำหนักติ้งอ๋องและซีเป่ยอย่างเต็มความสามารถ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็หันไปสบตากับม่อซิวเหยา ยิ้มอย่างเข้าใจกันดี รู้จักยอมแพ้ ก็ถือเป็นเรื่องดี