ม่อตัวน้อยเก็บข้าวของสัมภาระที่ตนใช้จนเคยชิน ออกเดินทางไปอยู่กับท่านตาทวดที่รักใคร่เป็นตนเป็นที่สุด ถึงแม้การต่อสู้แย่งชิงมารดาในครั้งนี้เขาจะพ่ายแพ้ลงอีกครั้ง แต่ม่อตัวน้อยคิดอย่างมั่นใจว่า ทั้งหมดนี้ด้วยเพราะเขายังเด็กเกินไป จนผู้เป็นบิดาใช้อำนาจที่แข็งแกร่งในการกดขี่ตนได้ อีกทั้งเขายังลอบตั้งมั่นอยู่ในใจลึกๆ ว่า ในเมื่อคนแก่อย่างเขาใช้อำนาจของผู้ใหญ่ข่มเหงผู้น้อยโดยไม่ละอายเช่นนี้ได้ เช่นนั้นเมื่อเขาโตขึ้นก็จะไม่คิดอันใดหากตนจะเป็นเด็กที่รังแกคนแก่เสียบ้าง
เมื่อนำม่อตัวน้อยมาส่งให้ท่านชิงอวิ๋นยังสำนักศึกษาหลีซานที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลีไปไม่ไกลแล้ว เยี่ยหลีก็มองบุตรชายที่ยืนอยู่ข้างกายท่านชิงอวิ๋นที่มองมายังตนด้วยสีหน้าน่าสงสาร ก็ให้รู้สึกทรมานใจไม่น้อย จะว่าไป ตัวนางที่เป็นมารดาก็มิได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่นักเลยจริงๆ โชคดีที่ตัวน้อยใกล้ชิดสนิทสนมกับนางมาตั้งแต่เล็กๆ เยี่ยหลีจึงคิดวางแผนในใจว่า ต่อไปทางที่ดีจะมาหาบุตรชายของตนทุกวัน และทำขนมที่เขาชื่นชอบมาส่งให้จะดีกว่า ไว้รอให้ตัวน้อยโตขึ้นอีกหน่อยก็คงไม่ต้องกังวลหากเขาจะต้องเดินทางไปกลับทุกวันอีกแล้ว ให้เขากลับไปพักที่ตำหนักติ้งอ๋องทุกวันก็แล้วกัน อย่างไรการที่บุตรไม่ได้พบหน้าบิดามารดาก็มิใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
“อาหลี มิได้บอกว่าจะมาหาตัวน้อยทุกวันเว้นวันหรอกหรือ ท่านชิงอวิ๋นจะต้องอบรมสั่งสอนเขาอย่างดีเป็นแน่ ไม่ต้องกังวลไปหรอก” ม่อซิวเหยาโอบกอดเยี่ยหลีไว้ พร้อมเอ่ยปลอบโยนเสียงเบา “ข้าจะให้เพิ่มองครักษ์ลับที่สำนักศึกษาหลีซานอีกหนึ่งเท่าตัว แล้วยังมีหน่วยกิเลนย่อยอีกหนึ่งหน่วยที่ประจำการอยู่บริเวณใกล้เคียงอีก ไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวน้อยหรอก”
เยี่ยหลีทำได้เพียงถอนใจ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ม่อซิวเหยาเอาความคิดเห็นที่มีต่อม่อตัวน้อยมากมายเช่นนี้มาจากที่ใด ทุกคราที่เห็นเจ้าตัวน้อยคลุกคลีอยู่กับนาง กลับไปก็จะต้องหาเรื่องทรมานลูกทุกครั้งไป ถึงแม้จะรู้ดีว่าอันใดควรไม่ควร และไม่มีทางทำร้ายเจ้าตัวน้อยเข้าให้จริงๆ แต่ทุกครั้งยามได้เห็นใบหน้าน้อยๆ นั้นโดนรังแกจนแดงก่ำอย่างน่าสงสาร เยี่ยหลีก็ถึงกับพูดไม่ออก “ซิวเหยา ท่านรังเกียจเฉินเอ๋อร์เพียงนั้นจริงๆ หรือ”
ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าใสซื่อ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าตัวน้อยเป็นบุตรของข้า ข้าจะรังเกียจเขาได้อย่างไรกัน อาหลี ข้าเองก็ทำเพื่ออนาคตที่ดีของเจ้าตัวน้อยนะ ทุกคนต่างก็บอกกันว่า อาจารย์ที่เคร่งครัด จะสร้างลูกศิษย์ที่เก่งกาจ การลงไม้เรียว จะสร้างบุตรที่กตัญญู หากไม่เข้มงวดกับเจ้าตัวน้อยสักหน่อย ต่อไปเขาโตมากลายเป็นคนอย่างสองพี่น้องม่อจิ่งฉีกับม่อจิ่งหลีนั่น เจ้าจะไม่เป็นทุกข์ตายหรือ”
เยี่ยหลีมองเขานิ่งอย่างพูดไม่ออก ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยว่า “ท่านอ๋องก็ถูกเสด็จพ่อกับพี่ใหญ่ตีเล่นมาจนโตอย่างนั้นหรือเพคะ”
ม่อซิวเหยาอมยิ้มไม่ตอบ เสด็จพ่อของเขาในยามนั้นยุ่งจนหัวหมุนไปหมด จะมีเวลามาสนใจพวกเขาเมื่อใดกัน ส่วนพี่ชายก็เข้มงวดกับตนมากจริงๆ หากเทียบกันแล้ว ม่อซิวเหยาไม่คิดว่าตนเข้มงวดกับม่อตัวน้อยเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับเขาในยามห้าขวบ ที่ต้องตื่นมาฝึกซ้อมวิทยายทุธตั้งแต่เช้าตรู่ในฤดูหนาวที่หนาวจัดแล้ว ม่อตัวน้อย เจ้าควรรู้จักพอใจได้แล้ว อ้อ…นี่ที่แท้ข้าก็เป็นบิดาที่มีเมตตาหรือนี่ เมื่อมีข้อเปรียบเทียบ ติ้งอ๋องก็สบายใจที่คิดได้ว่าตน มีความรักใคร่เมตตาต่อบุตรชายมากเป็นพิเศษแล้วจริงๆ เป็นอาหลีต่างหากที่ใจอ่อนกับบุตรเกินไป ถึงได้คิดเห็นเช่นนั้น การปล่อยให้เด็กโตในบ้านเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
ทั้งสองที่กำลังเดินเคียงคู่กันลงจากภูเขา ก็บังเอิญพบกับสวีชิงเฉินที่กำลังเดินขึ้นเขามาพอดี คุณชายชิงเฉินที่อายุใกล้ล่วงเข้าเลขสามเต็มที อยู่ในชุดสีขาวอันพลิ้วไหว เมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว ดูมีความสุขุมและลอยอยู่เหนือพื้นดินขึ้นหลายส่วน
หลายปีนี้ถึงแม้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะได้อุ้มหลานแล้ว แต่กลับร้อนใจเรื่องการแต่งงานของพี่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม แต่กระนั้นพี่ใหญ่ก็ทำประหนึ่งไม่ใส่เลยแม้แต่น้อย และก็ไม่เคยได้ยินข่าวว่าเขาไปชอบพอแม่นางคนใดเข้า การไม่ยินดีที่จะมีครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นเรื่องปกติ ในตระกูลสวี นอกจากสวีชิงเจ๋อที่มีการหมั้นหมายไว้ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว คนอื่นๆ ก็ยังไม่มีผู้ใดแต่งงาน แต่การที่ไม่มีใจให้กับผู้ใดเลยนั้นก็ดูจะประหลาดอยู่สักหน่อย บางคราแม้แต่เยี่ยหลียังคิดสงสัยว่า พี่ใหญ่ที่เพียบพร้อมเก่งกาจไปเสียทุกด้านของตนผู้นี้ เตรียมตัวจะขึ้นไปเป็นเทพแล้วหรืออย่างไร
“พี่ใหญ่ นี่ท่านจะขึ้นไปคารวะท่านปู่หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามทักทายขึ้นก่อน
สวีชิงเฉินเมื่อเห็นทั้งสองเดินจูงมือกันอยู่ มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างล้อเลียน น่าเสียดายที่ใบหน้าของม่อซิวเหยาหนากว่าที่เขาคิดจินตนาการเอาไว้มากนัก จึงจับมือเยี่ยหลีมั่นไว้ไม่ยอมปล่อยโดยสีหน้าเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
สวีชิงเฉินได้แต่สายหน้า ยกมือขึ้นชูฎีกาในมือสีม่วงทองปักลายดอกไม้ซับซ้อนขึ้นเอ่ยว่า “มีธุระ ได้ยินว่าวันสองวันนี้ท่านอ๋องกับพระชายามีธุระ ยังไม่กลับเมือง ข้าจึงจำต้องมาด้วยตนเอง โชคดีที่เจอเข้าที่นี่ก่อนพอดี”
เยี่ยหลีผินหน้ามองม่อซิวเหยาด้วยความสงสัย เหตุใดนางถึงไม่รู้ว่าพวกเขามีธุระจะยังไม่กลับเมือง
ม่อซิวเหยามองฎีกาในมือสวีชิงเฉินด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จากหนานจ้าวหรือ”
“ท่านรู้ได้อย่างไร” เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความสงสัย
ม่อซิวเหยาชี้ไปยังลวดลายอันซับซ้อนบนฎีกา “นั่นเป็นลวดลายที่เชื้อพระวงศ์หนานจ้าวใช้กันโดยเฉพาะ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วนึกย้อนไป ก็พอจำได้ว่าเคยเห็นลวดลายเช่นนี้ที่หนานจ้าวมาก่อน ก็อดนึกเขินอายในความรู้อันอ่อนด้อยของตนไม่ได้
เยี่ยหลีรับฎีกามาเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่จะลงเขาไปพร้อมกับพวกเรา หรือจะขึ้นไปคารวะท่านตาก่อนเจ้าคะ”
สวีชิงเฉินส่ายหน้า ถอนใจเอ่ยว่า “เมื่อวานข้าเพิ่งพบท่านปู่ไป ท่านปู่กำลังโกรธไม่อยากพบหน้าข้าอยู่น่ะสิ ลงเขาไปพร้อมกันก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีรู้สึกตกใจเล็กน้อย พี่ใหญ่เป็นถึงหลานชายที่เป็นเลิศที่สุดของตระกูลสวีเชียวนะ และได้ยินว่าเป็นหลายชายที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของท่านตา ท่านตาจะโกรธจนถึงขั้นไม่ยอมพบหน้าเชียวหรือ
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มพร้อมส่งเสียงจึ๊ๆ “เกรงว่าคงด้วยเพราะคุณชายใหญ่ตระกูลสวีเลือกมากเรื่องการแต่งงานเกินไปกระมัง ในที่สุดก็เป็นที่โกรธเคืองกันไปทั่วหล้าจนได้ แม้แต่ท่านชิงอวิ๋นที่ฝึกจิตใจมาอย่างดี ยังทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วกระมัง”
สวีชิงเฉินปรายตามองม่อซิวเหยาเรียบๆ หากพูดถึงเรื่องโกรธเคืองกันไปทั่วหล้า ยังจะมีผู้ใดที่เกินกว่าติ้งอ๋องอีกหรือ เรื่องที่ควรทำไม่ทำ แต่เรื่องที่ไม่ควรทำ ดันจะต้องทำเสียให้ได้ จับบุตรชายมาโยนให้ท่านปู่นั่นก็แล้วไปเถิด แต่นี่ถึงขั้นคิดจะขโมยตัวเยี่ยหลีหนีไปอีก หากมิใช่เพราะเขาได้รับข่าวไว ป่านนี้ไม่รู้จะมีผู้ใดพาตัวเยี่ยหลีหลบหนีไปไกลถึงไหนแล้ว
“จะว่าไปพี่ใหญ่ก็ควรแต่งงานได้แล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่พูดเรื่องนี้กับข้าหลายครั้งแล้ว น่าเสียดายที่คุณหนูตระกูลใหญ่ในซีเป่ยล้วนไม่เข้าตาพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าท่านทำให้จิตใจของสาวน้อยในเรือนอกหักกันไปเท่าไร…เอ๋?” เยี่ยหลีเอ่ยล้อเขาไปพลาง มือก็เปิดจดหมายสีม่วงทองในมือไปพลาง แล้วก็อดส่งเสียงร้องด้วยความตกใจออกมาไม่ได้
“มีอันใดหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เยี่ยหลียกจดหมายขึ้น ตวัดสายตาไปทางสวีชิงเฉิน “องค์หญิงอันซีจะแต่งงาน เชิญพวกเราไปร่วมพิธีแต่งงานที่หนานจ้าว”
ม่อซิวเหยาไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย “องค์หญิงอันซีอายุได้ยี่สิบสี่ปีแล้วกระมัง ต่อให้เป็นที่หนานเจียงก็ควรแต่งงานได้แล้ว มีอันใดประหลาดหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน ที่องค์หญิงอันซีมาพักอยู่ที่เมืองหลีช่วงหนึ่ง ก่อนจะกลับไปด้วยความเศร้าสร้อย เยี่ยหลีก็รู้ดีว่า นางกับสวีชิงเฉินคงจะไม่มีหวังจริงๆ เสียแล้ว เยี่ยหลียังจำได้ดีถึงวันนั้นที่นางไปส่งองค์หญิงอันซีออกจากเมืองหลีด้วยตนเอง เมื่อเห็นแผ่นหลังขององค์หญิงอันซีที่จากไปด้วยความเศร้าสร้อย เยี่ยหลีก็แทบอยากจะตีสวีชิงเฉินให้สักที แต่จะว่าไป นางก็เข้าใจว่าเรื่องนี้จะโทษสวีชิงเฉินก็คงไม่ได้ เรื่องความรักความรู้สึกนี้ ไม่เคยมีอันใดที่ได้อย่างใจ
ม่อซิวเหยารับจดหมายมาพลิกอ่าน แล้วก็เห็นว่าเป็นหนังสือทางการของหนานจ้าวจริงๆ “ยังอีกตั้งนาน วันแต่งงานกำหนดไว้ที่เดือนเจ็ด หากเดินทางได้รวดเร็วสักหน่อย ออกเดินทางสักต้นเดือนเจ็ดก็ยังทัน”
เมื่ออ่านจบแล้ว เขาก็มิได้สนใจอีก ยื่นจดหมายคืนให้สวีชิงเจ๋อ พร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องเหล่านี้คงต้องรบกวนให้พี่ใหญ่ช่วยจัดการสักหน่อยแล้ว อาหลี หลายวันก่อนชิงป๋อกับชิงเหยียนมีจดหมายมา บอกว่าปีนี้ข้าวสาลีทางตอนเหนือปลูกได้ขึ้นดีนัก ยามนี้เป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวพอดี พวกเราไปดูกันสักหน่อยดีหรือไม่”
เยี่ยหลีจึงเข้าใจขึ้นทันที มิน่าเมื่อครู่พี่ใหญ่ถึงได้บอกว่า หากมาช้าไปก้าวหนึ่ง เกรงว่าคงจะไม่ทันได้พบ ที่แท้ที่ม่อซิวเหยาส่งเจ้าตัวน้อยให้มาอยู่กับท่านตา ก็คงเพราะอยากพานางออกไปด้วยกันนี่เอง
สวีชิงเฉินพับจดหมายเก็บอย่างเดิม ก่อนเอ่ยกับม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ท่านอ๋อง ภายในเวลาอันสั้นนี้ เกรงว่าท่านจะเดินทางไกลไม่ได้”
“เพราะเหตุใด” ม่อซิวเหยาไม่พอใจ ผมสีขาวราวหิมะปลิวไสวน้อยๆ กลางแรงลมอ่อนๆ “ข้าตรากตรำมาตั้งหลายปี กว่าจะเลี้ยงม่อตัวน้อยมาจนโต กว่าจะจัดการเรื่องในซีเป่ยจนเรียบร้อย จะพักผ่อนสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีกับสวีชิงเฉินก็หันมองเขากันเป็นตาเดียว ในแววตาเต็มไปด้วยความดูแคลน เขาถึงกับกล้าพูดว่าตนเลี้ยงดูม่อตัวน้อยมาจนโตเชียวหรือ เกรงว่าหากไม่มีเขาคอยทรมานทรกรรมม่อตัวน้อย เขาคงเติบใหญ่อย่างแข็งแรงได้ดีกว่านี้มากกว่ากระมัง
สวีชิงเฉินเอ่ยยิ้มเรียบๆ ว่า “เรียนท่านอ๋อง อีกสิบวันก็จะเป็นวันคัดเลือกผู้มีความสามารถครั้งแรกของซีเป่ย พวกเราเตรียมการกันมาสี่ปีเต็มๆ อย่างไรท่านอ๋องจะไม่อยู่ตั้งแต่ครั้งแรกก็คงจะไม่ดีกระมัง ถึงเวลาผู้คนอาจจะคิดว่าท่านไม่เห็นบัณฑิตของใต้หล้าอยู่ในสายตา หรือท่านอ๋องมั่นใจว่าภายในเวลาสิบวัน จะเดินทางกลับมาจากน้องสี่ทัน อีกอย่าง ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ หลายวันก่อนรายงานที่ท่านพ่อส่งมาเรื่องการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีของซีเป่ย ท่านพ่อก็พูดกับข้าหลายคราแล้ว ให้ข้าเอ่ยถามท่านอ๋องว่ามีตรงใดที่ขาดตกบกพร่องไปหรือไม่ ถึงทำให้ท่านอ๋องตอบกลับล่าช้าเช่นนี้ แล้วก็มี…การประชุมการค้าประจำปีที่จัดขึ้นปีละครั้งที่เมืองหลีก็จะเริ่มขึ้นแล้ว พ่อค้าวานิชจากแต่ละแคว้นก็เริ่มทยอยเดินทางมาถึงเมืองหลีกันแล้ว ท่านอ๋อง…”
ม่อซิวเหยาตาโตอ้าปากค้างมองสวีชิงเฉินที่เอ่ยอย่างไหลลื่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วก็อดมันเขี้ยว อยากกระชากคอเสื้อสวีชิงเฉินขึ้นมาเขย่าแรงๆ ไม่ได้ ข้ามิได้มอบหมายภารกิจต่างๆ ภายในซีเป่ายให้พวกเจ้าจัดการแล้วหรืออย่างไร เหตุใด เหตุใดถึงมีเรื่องอีกมากมายเช่นนี้ที่ต้องให้ข้าไปสอบถามด้วยตนเองอีก!
เมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองอย่างพ่ายแพ้ของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีก็อดยกมือขึ้นปิดปากลอบหัวเราะไม่ได้ ก่อนส่งสายตาจนใจไปให้ม่อซิวเหยา มิใช่ว่าข้าไม่ยอมออกไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนท่าน แต่เป็นเพราะท่านเองต่างหากที่ไม่มีเวลาว่างออกไปเที่ยวเล่น
อันที่จริงเหตุที่ทำให้มีเรื่องมากมายเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสวีชิงเฉินตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ บางทีอาจด้วยเพราะได้รับบทเรียนจากการขี่หลังเสือแล้วลงยากของตระกูลสวีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนในตระกูลสวีถึงแม้จะได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากม่อซิวเหยา แต่เมื่อเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจแล้ว กลับพยายามหลีกเลี่ยงด้วยความระมัดระวัง
คนในตระกูลสวี นอกจากสวีชิงเฟิงที่ประหลาดกว่าเพื่อนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่เคยเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องการทหารของกองทัพตระกูลม่อ ตามปกติเรื่องการบริหาร ถึงแม้จะพึ่งพาสวีหงเยี่ยน สวีหงอวี่และสวีชิงเฉินอย่างมากแล้ว แต่หากเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยชื่อเสียงแล้ว ก็น้อยนักที่พวกเขาจะเข้าร่วมด้วย หรือไม่พวกเขาก็จะดึงม่อซิวเหยาออกมาเป็นฉากบังหน้า ผลงานและชื่อเสียงทั้งหมดล้วนยกให้ท่านอ๋องม่อซิวเหยา
สวีหงอวี่ถึงขั้นขอให้ท่านชิงอวิ๋นตั้งกฎตระกูลขึ้นใหม่อีกข้อหนึ่ง ต่อไปหากบุตรหลานตระกูลสวีไปรับราชการ อย่างมากอายุไม่เกินห้าสิบแปดปี จะต้องเกษียณอายุตนเองออกมา และเพื่อไม่ให้สำนักศึกษาหลีซานเป็นสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว สองปีมานี้ สวีหงเยี่ยนจึงสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้จัดตั้งสำนักศึกษาแห่งใหม่ขึ้นที่ซีเป่ยอีกหลายแห่ง และถือเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของซีเป่ยเมื่อในอดีต ที่ไม่มีสำนักศึกษาดีๆ อยู่เลยสักสำนักอีกด้วย
สิ่งที่ตระกูลสวีพยายามทำเหล่านี้ เป็นการแสดงออกถึงท่าทีของพวกเขาอย่างชัดเจน ซึ่งเยี่ยหลีก็ทำได้เพียงทอดถอนใจเบาๆ อยู่ในใจ ยอมรับในการตัดสินใจของพวกเขา