ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 232-1 ได้พบองค์หญิงฉางเล่ออีกครั้ง

ตอนที่ 232-1 ได้พบองค์หญิงฉางเล่ออีกครั้ง

สวีชิงเฉินหยุดรอพวกเขาที่หย่งหลินตามที่คาดเอาไว้

ยามที่พวกเขาเดินทางไปถึงเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินนั้น สวีชิงเฉินกำลังนั่งสบายๆ เปล่งรัศมีอยู่ในโรงน้ำชาที่ดีที่สุดในเมืองหย่งหลิน

เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา สวีชิงเฉินก็ยิ้มน้อยๆ “ข้ารอพวกท่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว นี่ให้คนไปเหมาโรงเตี๊ยมเอาไว้แล้ว พวกเราพักกันที่หย่งหลินสักคืนหนึ่งแล้วค่อยข้ามด่านไปดีหรือไม่”

เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พี่ใหญ่วางแผนได้รอบคอบนัก ข้ากับซิวเหยาเองก็คิดเช่นนี้เช่นกัน”

เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว สวีชิงเฉินยิ้มพร้อมเลิกคิ้ว “ดูท่าระหว่างทางทุกคนคงยังไม่หนำใจสินะ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าเฟิ่งจือเหยาก็ดู หัวเสียขึ้นทันที เอ่ยบ่นขึ้นว่า “ก็ใช่น่ะสิ คุณชายชิงเฉิน ท่านไม่รู้อะไร พวกเราเดินทางไปก็รอไป จนข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันมาแล้ว ก็ยังไม่เห็นเจ้าพวกขี้ขลาดนั้นตามมา ปล่อยให้ข้ารอเสียได้!”

หลายปีมานี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสงบจนเกินไป ที่ซีเป่ยแม้แต่เรื่องปราบโจรก็ถูกคนแย่งไปเสียแล้ว ทำให้ในเขตซีเป่ยยามนี้ แม้แต่โจรเร่ร่อนก็ยังไม่มี ช่างทำให้…คันไม้คันมือเสียจริง”

“ที่ม่อจิ่งฉีทำครานี้ไม่สนุกเอาเสียเลยจริงๆ หากเขาออกราชโองออกมาอย่างเป็นทางการให้ฆ่าพวกเราเสีย พวกผู้บัญชาการทหารเหล่านั้นจะกล้าไม่ปฏิบัติตามได้อย่างไร ข้าจะได้สัมผัสความรู้สึกของการฝ่าวงล้อมทหารนับหมื่นที่ไล่ตามมาเสียหน่อย ดูยามนี้สิ เจ้าพวกคนข้างล่างทำงานกันลวกๆ…หากม่อจิ่งฉีรู้เข้าว่าพวกเราออกจากด่านซุ่ยเสวี่ยไปได้โดยไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าจะมีน้ำโหตายไปเลยหรือไม่!”

สวีชิงเฉินยิ้มพลางส่ายหน้า “เฟิ่งซานคิดมากเกินไปแล้ว ม่อจิ่งฉีไม่มีทางออกราชโองการที่เป็นทางการออกมาหรอก เมื่อใดที่เขาออกราชโองการป่าวประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ ก็เท่ากับว่าเขาประกาศเปิดศึกกับกองทัพตระกูลม่ออย่างเป็นทางการ เกรงว่าคงรอให้เขามาฆ่าพวกเราไม่ไหว กองทัพตระกูลม่อก็คงยกทัพบุกด่านเฟยหงเสียแล้ว หากทุ่มหมดหน้าตักแล้วสามารถสังหารท่านอ๋องได้จริงก็ดีไป แต่หากให้ท่านอ๋องกลับถึงซีเป่ยได้…”

ไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวของกองทัพตระกูลม่อกับติ้งอ๋อง มิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็สามารถรับมือได้

เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของสวีชิงเฉิน เฟิ่งจือเหยาก็ทำได้เพียงเสียใจในความใจเสาะของม่อจิ่งฉี

“เรียนท่านอ๋อง ด้านล่างมีทูตจากต้าฉู่ขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นายหนึ่งขึ้นมารายงาน

“ทูตจากต้าฉู่?” เฟิ่งจือเหยารู้สึกประหลาดใจ หันไปถามม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีว่า “ในสถานการณ์เช่นนี้ ทูตจากต้าฉู่ยังจะมาขอพบท่านอ๋องอีกหรือ?”

สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ “เฟิ่งซานลองเดาดูสิว่าทูกจากต้าฉู่ผู้นี้เป็นใคร”

เฟิ่งจือเหยาหันไปตอบเขาว่า “หรือว่าคุณชายชิงเฉินได้พบเขาแล้ว?”

สวีชิงเฉินส่ายหน้า “พบนั้นยังไม่ได้พบ แต่ก็พอคาดเดาไว้ในใจแล้ว หนานจ้าวออกหนังสือจากแคว้น เชื้อเชิญให้ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์และชนชั้นสูงจากทุกแว่นแคว้นไปร่วมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี ต้าฉู่ไม่มีทางส่งขุนนางทูตที่มียศต่ำเกินไปมาร่วมงาน เพียงแต่…ด้วยนิสัยของม่อจิ่งฉี เขาไม่มีทางเดินทางมาร่วมงานด้วยตนเองแน่นอน”

ในชีวิตของม่อจิ่งฉี เขาให้ความสำคัญกับฐานะของตนเป็นที่สุด และระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เดินทางเป็นพันลี้มาที่หนานจ้าวเลย ในชีวิตเขา แค่ห่างจากเมืองหลวงไปหนึ่งร้อยลี้ก็ยังไม่เคยไป ตามปกติหากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ เขาไม่มีทางจะก้าวออกจากวังหลวงที่มีองครักษ์รายล้อมอารักขาอยู่หนาแน่นอย่างแน่นอน

“เรื่องที่หลีอ๋องมีความเกี่ยวข้องกับหนานเจียงนั้น ม่อจิ่งฉีรู้มานานแล้ว ดังนั้นครานี้ ไม่มีทางให้หลีอ๋องชิงเดินทางมาอย่างแน่นอน ทั่วทั้งเมืองหลวง คนที่ม่อจิ่งฉีไว้ใจและสามารถเป็นหน้าเป็นตาได้ ก็มีเพียงตระกูลหลิ่วเท่านั้น” สวีชิงเฉินเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ เพียงแต่ในรอยยิ้มนั้นกลับมีไอเย็นแฝงอยู่หลายส่วน

เดิมทีที่จู่ๆ ม่อจิ่งฉีก็ตัดสินใจจะลงดาบกับตระกูลสวีนั้น หนึ่งในผู้ที่ยุยง ก็ขาดตระกูลหลิ่วไปไม่ได้

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “หลิ่วฉุนเฟิง?”

เฟิ่งจือเหยากะพริบตา “หลิ่วฉุนเฟิงคือผู้ใดกัน”

จั๋วจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “คุณชายเฟิ่งซาน หลิ่วฉุนเฟิงก็คือเสนาบดีหลิ่ว บิดาของหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างไรขอรับ”

ก็ไม่แปลกหากเฟิ่งจือเหยาจะไม่รู้จัก ถึงแม้หลิ่วกุ้ยเฟยจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับม่อซิวเหยา แต่ตัวหลิ่วฉุนเฟิงนั้น เอาเข้าจริงอายุอานามกลับต่างกับฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าอยู่เพียงสองปี ในความทรงจำของเฟิ่งจือเหยา ยามที่เขาเริ่มรู้จักคนผู้นี้ เขาก็เป็นเสนาบดีหลิ่วอยู่ก่อนแล้ว จึงย่อมจำชื่อเสียงเรียงนามจริงๆ ของเขาไม่ได้

สวีชิงเฉินพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าเดาว่าทูตจากต้าฉู่ก็คือหลิ่วฉุนเฟิง”

เยี่ยหลีย่นคิ้วเล็กน้อย ผินหน้ามองม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างตน “หรือว่าท่านอ๋องกับเสนาบดีหลิ่วผู้นี้ยังมีมิตรสัมพันธ์อันใดกันอยู่”

ม่อซิวเหยาพ่นลมหายใจออกทางจมูก “ตำหนักติ้งอ๋องกับตระกูลหลิ่ว ไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร จะมีมิตรสัมพันธ์กันได้อย่างไร”

สมัยนั้นยามที่ม่อหลิวฟางอายุยังน้อย ผู้นำตระกูลหลิ่วมิใช่เสนาบดีหลิ่วเช่นในปัจจุบัน แต่เป็นนายท่านผู้เฒ่าหลิ่วที่เสียชีวิตไปแล้ว กว่านายท่านผู้เฒ่าหลิ่วจะได้ขึ้นตำแหน่งเป็นเสนาบดี ก็มีอายุกว่าหกสิบปี แต่เหนือเขายังมีม่อหลิวฟางที่เป็นผู้สำเร็จราชการที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีกดอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้คนใจคอคับแคบอย่างนายท่านผู้เฒ่าหลิ่วอดรนทนไหวได้อย่างไร ช่วงหลายปีนั้นเขาคอยหาเรื่องม่อหลิวฟางไว้ไม่น้อย ดังนั้นตำหนักติ้งอ๋องกับตระกูลหลิ่วจึงไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก่อน ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดในสมัยที่หลิ่วกุ้ยเฟยรักใคร่ใหลหลงม่อซิวเหยาจนหัวปักปัวปำ แต่ไม่เพียงม่อซิวเหยาที่ไม่คิดมีใจให้นาง แม้แต่คนในตระกูลหลิ่วเองก็ไม่มีผู้ใดเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ และเป็นเหตุให้จับนางส่งเข้าวังไปโดยไม่ลังเล

“ให้เขาเข้ามาเถิด ข้าก็อยากรู้ว่าเขามีเรื่องอันใดถึงได้ขอพบข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยสั่งการขึ้นเรียบๆ

ไม่นาน ก็มีคนเดินนำเขาขึ้นมาด้านบนของโรงน้ำชา แล้วก็เป็นเสนาบดีหลิ่วที่ผมเผ้าและหนวดเคราเป็นสีดอกเลาไปแล้วจริงๆ ดังคาด

ถึงแม้หลิ่วฉุนเฟิงจะอายุมากแล้ว แต่สุขภาพร่างกายและจิตใจดูจะยังไม่เลว ดวงตาคู่ที่เริ่มพล่ามัวยังคงมีประกายแห่งความหลักแหลมแฝงอยู่ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา กลับทำให้ทุกคนต่างพากันอึ้งไป

คนที่ยืนอยู่ข้างกายเสนาบดีหลิ่วเป็นสตรีสองนาง คนที่อายุมากกว่าอยู่ในชุดสีขาวสะอาดราวหิมะ บนใบหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มมีแววเฉยชาจางๆ ซ่อนอยู่ จะเป็นผู้ใดไปได้ หากมิใช่หลิ่วกุ้ยเฟย ถึงแม้ยามนี้ หลิ่วกุ้ยเฟยจะอายุล่วงเลยสามสิบปีมาแล้ว แต่ดูเหมือนเวลาจะรักใคร่ชอบพอนางเป็นพิเศษ มองดูแล้วจึงมิได้มีความเปลี่ยนแปลงจากเมื่อห้าหกปีก่อนมากนัก

ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างหลิ่วกุ้ยเฟย กลับเป็นเด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปีผู้หนึ่ง เด็กสาวผู้นั้นอยู่ในชุดหลัวสีเหลืองไข่นกกระทา ปักลายดอกฝูงหรง ใบหน้าที่เติบโตขึ้นดูมีความงดงามและสง่างามแฝงให้เห็นอยู่หลายส่วน สามารถคาดเดาได้ว่า หากผ่านไปอีกสักสองปี ความงามของเด็กสาวผู้นี้ไม่มีทางยิ่งหย่อนไปกว่าหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน ในดวงตาที่ดูซุกซนและมีประกายคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความใสซื่อบริสุทธ์และฉลาดหลักแหลมอย่างที่หลิ่วกุ้ยเฟยไม่มีทางมี

เมื่อเห็นเยี่ยหลี บนใบหน้าเด็กสาวก็ดูยินดีขึ้นมาทันที รีบก้าวออกมาเอ่ยเสียงเบาว่า “ชายาติ้งอ๋อง…”

เยี่ยหลีอึ้งไปเล็กน้อย แต่เมื่อได้พิศมองใบหน้าที่มีส่วนละม้ายคล้ายฮว่าฮองเฮาและฮว่าเทียนเซียงแล้วก็ถึงกับตกใจ “องค์หญิงฉางเล่อ…”

เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีจำตนเองได้ องค์หญิงฉางเล่อก็พยักหน้าติดๆ กันด้วยความยินดี เตรียมจะก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเยี่ยหลี

แต่หลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านหลังกระแอมไอขึ้นเบาๆ แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์หญิง ท่านเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้น ควรระวังกิริยามารยาท อย่าได้เสียมารยาทจนทำให้ฝ่าบาทต้องทรงขายพระพักตร์”

องค์หญิงฉางเล่อหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปยิ้มจนตาหยีให้หลิ่วกุ้ยเฟย “ขอบคุณสนมกุ้ยเฟยมากที่เอ่ยเตือน เพียงแต่เมื่อครู่ข้ามิได้เป็นคนอยากขึ้นมา แต่เป็นสนมกุ้ยเฟยที่เสนอให้ขึ้นมามิใช่หรือ ข้าเพียงอยากเอ่ยถึงเรื่องในอดีตกับชายาติ้งอ๋องเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าที่สนมกุ้ยเฟยเสนอให้ขึ้นมานี้ เพราะอยากเอ่ยท้าวความหลังกับผู้ใด”

หลิ่วกุ้ยเฟยหน้าเปลี่ยนสีทันที จ้องเขม็งไปยังองค์หญิงฉางเล่อ

องค์หญิงฉางเล่อก็มิได้เกรงกลัว จ้องกลับไปอย่างไม่ลดละ ครู่ใหญ่ถึงได้ยินหลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยว่า “แน่นอนว่าข้าก็อยากท้าวความหลังกับชายาติ้งอ๋องเช่นกัน”

เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “การได้พบสหายเก่าที่เมืองเล็กๆ ในชายแดนนั้นช่างยากนัก ในเมื่อทั้งกุ้ยเฟยและองค์หญิงอยากท้าวความหลังกับข้า เช่นนั้นพวกเราเปลี่ยนที่คุยกันดีหรือไม่ จะได้ไม่…ทำให้กุ้ยเฟยเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย”

องค์หญิงฉางเล่อยิ้ม จับมือเยี่ยหลีไว้ด้วยความยินดี “ชายาติ้งอ๋อง ไม่ได้พบกันเสียนาน ข้ายังคิดว่าพวกเราจะมิได้พบกันแล้วเสียอีก พวกเราไปคุยกันที่อื่นเถิด”

พูดจบก็จูงเยี่ยหลีเดินออกไปทางห้องด้านข้างทันที

บริเวณด้านบนของโรงน้ำชา ถูกสวีชิงเฉินเหมาเอาไว้หมดแล้ว จึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าพวกนางจะเดินไปเจอกับคนในห้องอื่น

เมื่อจูงเยี่ยหลีเดินออกไปได้สองก้าว องค์หญิงฉางเล่อก็หันกลับไปมองหลิ่วกุ้ยเฟยที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ หรี่ดวงตาโค้งลงพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หลิ่วกุ้ยเฟย ท่านยังไม่ไปหรือ ต่อให้ชื่อเสียงข้าเสียหายไปสักเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรหรอก บุตรสาวของฮ่องเต้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้แต่งงานนี่นะ เพียงแต่หลิ่วกุ้ยเฟย หากว่า…หึหึ…ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะทรงพอพระทัยหรือไม่หากได้ยินคนเอ่ยว่ามีดอกหลีฮวายื่นออกไปนอกกำแพง”

“ท่านพูดเหลวไหลอันใด!” หลิ่วกุ้ยเฟยหน้าแดงก่ำ เหลือบมองบุรุษผมขาวในชุดสีม่วงที่อยู่หลังตนทีหนึ่ง ก่อนรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อพากันเดินออกไปแล้ว เฟิ่งจือเหยาถึงเพิ่งตั้งสติได้ ชี้นิ้วไปทางที่องค์หญิงฉางเล่อเดินที่หายไป เอ่ยเหมือนคนลิ้นไก่สั้นว่า “เด็สาวนั่นคือองค์หญิงฉางเล่อ?”

ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้นมองเขา ก่อนหลุบตาลงจิบชา “เจ้ามีความเห็นเช่นไรหรือ”

เฟิ่งจือเหยาถึงกับพูดไม่ออก เขาจะมีความเห็นอันใดได้ ถึงแม้เขาจะเคยพบหน้าองค์หญิงฉางเล่อเพียงแค่ครั้งสองครั้ง แต่ยังจำได้ดีถึงท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์และน่ารักขององค์หญิงตัวน้อยที่พี่ฮว่ารักใคร่และคอยปกป้องดูแลได้เป็นอย่างดี เขาถึงขั้นเคยนึกอิจฉาองค์หญิงน้อยผู้นี้ด้วยซ้ำ ด้วยเพราะนางได้รับความรักและความใส่ใจปกป้องทั้งหมดของคนผู้นั้นไป เพียงแต่นี่หรือที่เรียกว่า สตรีเมื่อโตเป็นสาวอันใดๆ ก็เปลี่ยนไป? องค์หญิงตัวน้อยที่แสนจะน่ารักไร้เดียงสาผู้นั้น ถึงขั้นเอ่ยวาจาแดกดันเผ็ดร้อนออกมาได้อย่างคล่องปากเพียงนี้แล้ว

สวีชิงเฉินหลุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ยามนี้องค์หญิงฉางเล่อก็คงใช้ชีวิตอยู่ในวังได้ไม่ดีเท่าไรนักกระมัง”

เฟิ่งจือเหยานิ่งเงียบไม่ตอบ แต่สีหน้ากลับค่อยๆ บึ้งตึงลง

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

Status: Ongoing

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า!

การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน

แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท