ม่อซิวเหยาเอ่ยอธิบายอย่างไม่รีบร้อนว่า ตระกูลมู่หรงก็เช่นเดียบกับตระกูลสวี ต่างก็เป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปี แต่พวกเขาต่างกับตระกูลสวี ตระกูลสวีเป็นตระกูลใหญ่แห่งบัณฑิต แต่ตระกูลมู่หรงเป็นตระกูลใหญ่ที่ทำการค้า ดังนั้นชื่อเสียงและฐานะจึงสู้ตระกูลสวีไม่ได้ ในอดีตยามที่ซีหลิงยังเป็นส่วนหนึ่งของต้าฉู่ ตระกูลมู่หรงก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของใต้หล้าแล้ว ว่ากันว่าพวกเขามีเหมืองทองลึกลับถึงสามเหมืองอยู่ในครอบครอง หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ของซีหลิง หรือแม้กระทั่งต้าฉู่ หนานจ้าวและเป่ยหรง ล้วนอยากได้เหมืองเหล่านี้มาไว้เป็นของตน แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดทำสำเร็จมาก่อน
ร่ำรวยประหนึ่งแคว้น…การที่ตระกูลมู่หรงสามารถยืนหยัดอยู่ในซีหลิงมาได้ยาวนานเพียงนี้ เชื่อว่าพวกเขาจะต้องมีคนที่คอยสนับสนุน? เยี่ยหลีเอ่ย
ถึงแม้ในบรรดา บัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้า ฐานะของพ่อค้าจะถือว่าต่ำที่สุด แต่ทว่า ไม่ว่าจะเรื่องการกินอยู่ เสื้อผ้าอาภรณ์ เดินทาง เงินทอง อาหาร น้ำมัน เกลือ มีอันใดบ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับพ่อค้า ตั้งแต่โบราณกาลมา มีคนที่ร่ำรวยประหนึ่งแคว้นสักกี่คนที่มีจุดจบที่ดี
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า ยามที่ซีหลิงเพิ่งก่อตั้งแคว้นใหม่ๆ ตระกูลมู่หรงเคยให้ความช่วยเหลือไว้มากมาย เมื่อซีหลิงสถาปนาแคว้นขึ้นได้แล้ว ตระกูลมู่หรงย่อมได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ด้านการค้า ซีหลิงรุ่งเรืองสู้ต้าฉู่ไม่ได้มาโดยตลอด สาเหตุหนึ่งในนั้นก็คือ ว่ากันว่าตระกูลมู่หรงเป็นเจ้าของร้านค้าในซีหลิงไปถึงเกือบหกส่วน
เยี่ยหลีพยักหน้า ตระกูลหนึ่งสามารถเป็นเจ้าของการค้าภายในแคว้นแคว้นหนึ่งได้กว่าหกส่วน เมื่อมีการผูกขาดเช่นนี้ ก็ไม่แปลกหากซีหลิงจะเป็นแคว้นที่ไม่น่ามาทำการค้า เมื่อไม่น่ามาค้าขายที่นี่ การค้าก็ยากที่จะพัฒนาไปได้
เยี่ยหลีคิดแล้วก็ยิ้ม เอ่ยว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ราชวงศ์ซีหลิงก็ไม่พอใจตระกูลมู่หรงมานานแล้วอย่างนั้นสิ
ม่อซิวเหยาพยักหน้าชื่นชม ยิ้มเอ่ยว่า ถูกต้อง เพียงแต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่ราชวงศ์ซีหลิงก็มิกล้าบุ่มบ่ามลงมือทำอันใดตระกูลมู่หรง ที่ผ่านมา พ่อค้าของตระกูลหรงมิได้เหมือนกับตำหนักติ้งอ๋อง หากบีบบังคับพวกเขามากเกินไป ไม่ว่าพวกเขาจะไปเข้ากับแคว้นใด ก็ล้วนจะส่งผลกับซีหลิงถึงชีวิตทั้งสิ้น อีกอย่าง ว่ากันว่าตระกูลมู่หรงมียอดฝีมือชั้นเลิศที่เก่งกาจมากอยู่คนหนึ่ง แต่กระนั้นยอดฝีมือผู้นี้กลับไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน หากทำให้พวกเขาร้อนรนจนจัดการทุกคนจนหมดแล้วล่ะก็…ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้แห่งซีหลิงหรือเจิ้นหนานอ๋อง ต่างก็มีชีวิตเดียวกันทั้งสิ้น
แม้แต่เจิ้นหนานอ๋องก็มิใช่คู่ต่อสู้หรือ เยี่ยหลีรู้สึกตกใจ
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงยิ้มให้นาง ถึงแม้ในยุทธภพจะมีการประลองยุทธกันจนได้ตำแหน่งสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้า แต่ยอดฝีมือที่แท้จริงในโลกนี้ ล้วนไม่เปิดเผยตัวตนทั้งสิ้น ทั้งยังมียอดฝีมืออาวุโสรุ่นก่อนจำนวนมาก ที่ถอนตัวจากยุทธภพไปอยู่ในป่าเขากันแล้ว แต่หากได้แสดงฝีมือเข้าจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงวรยุทธ์ แค่เพียงประสบการณ์และสิ่งที่ได้พบเห็นผ่านมา ก็หาใช่คนที่จอมยุทธรุ่นหลังเหล่านี้จะสามารถเทียบเคียงได้ ตระกูลมู่หรงเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า แต่ต่อให้ผ่านไปกี่ปี กลับไม่เคยมีผู้ใดกล้าเข้าไปหาเรื่องหรือขโมยของบ้านตระกูลมู่หรงมาก่อน ดังนั้นที่ว่ามียอดฝีมือคอยดูแลอยู่นั้น จึงดูน่าเชื่อถืออยู่หลายส่วน
ท่านอ๋องสนใจยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นมากหรือ เมื่อนางเห็นว่า ดวงตาของม่อซิวเหยาเป็นประกายมากขึ้นถึงสองส่วน จึงเอ่ยถามขึ้น
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า จะบอกว่าสนใจหรือไม่สนใจก็คงไม่ได้ แต่หากบังเอิญได้พบเข้า ย่อมอยากออกลวดไม้ลายมือกันสักหน่อย แต่หากมิได้พบ ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอันใด
หากเป็นม่อซิวเหยาในยามเด็ก ถ้าได้รู้ว่ามียอดฝีมือลึกลับเช่นนี้อยู่ ย่อมต้องไปขอท้าประลองถึงที่อย่างแน่นอน แต่ม่อซิวเหยาในยามนี้กลับจะไม่ทำเช่นนั้น เขามีฐานะเป็นประมุขแห่งซีเป่ย ตัวเขาต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของทหารกองทัพตระกูลม่อหลายแสนชีวิตและชาวบ้านทั้งหลายในซีเป่ย เขาเป็นสามีของอาหลีและเป็นบิดาของม่อตัวน้อย เขาต้องปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา มอบบ้านที่สงบสุขและปลอดภัยให้กับพวกเขา หากเกิดบังเอิญไปพบยอดฝีมือที่ลึกลับเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ย่อมทำได้เพียงมุ่งหน้าต่อสู้อย่างสุดความสามารถ แต่หากมิได้พบ ก็คงไม่พาตนเองไปหาเรื่องใส่ตัวอย่างแน่นอน เขามิได้มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะแสวงหาเส้นทางยุทธภพอย่างหลิงเถี่ยหาน
ในตระกูลมู่หรงยามนี้ยังมีผู้ใดอยู่อีกบ้างหรือ ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในซีหลิงมีคนแซ่มู่หรงที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษ ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจเรื่องในยุทธภพ แต่เยี่ยก็พอรู้เรื่องในซีหลิงอยู่พอสมควร ว่าตามหลักการแล้ว ตระกูลที่มีชื่อเสียงเช่นตระกูลมู่หรงนี้ ไม่ควรหลงหูหลงตานางไปได้ถึงจะถูก
ม่อซิวเหยายิ้ม เอ่ยเรียบๆ ว่า ร่ำรวยมหาศาล ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของความโศกเศร้า ตระกูลมู่หรงร่ำรวยมาหลายร้อยปี ทั้งยังมิได้พยายามปิดบังชื่อเสียงของตนเองและอดทนอดกลั้นเช่นตระกูลสวี ย่อมต้องมีสิ่งที่ต้องสละไป ประมุขตระกูลมู่หรงรุ่นก่อนเดิมทีมีบุตรชายสามคน บุตรสาวสี่คน บุตรชายคนหนึ่งกับบุตรสาวคนหนึ่งของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย บุตรชายสองคนที่มีชีวิตรอดมา คนที่มีความสามารถมากกว่า นามว่า มู่หรงเจี๋ย กลับมาเสียชีวิตอย่างประหลาดเมื่ออายุได้เพียงยี่สิบสามปี ส่วนบุตรชายอีกคนหนึ่งก็ขี้โรคมาตั้งแต่เด็กๆ มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงอายุสามสิบก็เสียชีวิต ทิ้งบุตรสชายกับบุตรสาวไว้อย่างละหนึ่งคน น่าเสียดาย…บุตรชายคนนั้นกลับปัญญาอ่อนมาตั้งแต่เกิด ประมุลตระกูลมู่หรงเป็นห่วงว่าพี่น้องสายรองของตนจะแย่งชิงทรัพย์สมบัติและตำแหน่งประมุขของหลานชายตนไป ถึงได้ตัดใจสังหารพี่น้องและลูกหลานสายรองทั้งหมดจนไม่มีเหลือหลอ ผู้ใดเลยจะรู้ว่า หลานชายปัญญาอ่อนของเขาผู้นั้น กลับตกน้ำเสียชีวิตตั้งแต่อายุได้เพียงเก้าปี ด้วยเรื่องนี้ ทำให้ชีพจรหลักของประมุขตระกูลมู่หรงได้รับความเสียหายอย่างหนัก ว่ากันว่าเขาไม่พบหน้าคนนอกมาหลายปีแล้ว อาหลีจะไม่รู้เรื่องก็เป็นเรื่องธรรมดา
เยี่ยหลีใจหล่นวูบ เอ่ยถามว่า เช่นนั้นมิได้หมายความว่า ต่อไปกิจการทั้งหมดของตระกูลมู่หรงก็จะเป็นของคุณหนูมู่หรงที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวคนนั้นหรือ คุณหนูมู่หรงผู้นั้นปีนี้อายุเท่าไรแล้ว
ม่อซิวเหยาอึ้งไป คิดเล็กน้อยเอ่ยว่า ว่ากันว่าหลานสาวผู้นั้นของประมุขตระกูลมู่หรงเด็กกว่าหลานชายปัญญาอ่อนที่เสียชีวิตไปอยู่สามปี ปีนี้ก็น่าจะอายุสิบเจ็ดปีได้แล้วกระมัง
เยี่ยหลีแย้มยิ้ม หันกลับไปเอ่ยกลั้วหัวเราะกับม่อซิวเหยาว่า ไม่รู้เพราะเหตุใด…ข้าถึงได้รู้สึกว่า การชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพอันใดนั่น น่าจะเกี่ยวข้องกับคุณหนูมู่หรงผู้นั้นอยู่หลายส่วน
ม่อซิวเหยาก้มเอาใบหน้าลงชนกับหน้าผากของเยี่ยหลี หัวเราะออกมาเบาๆ ต่อให้เกี่ยวข้องกับนาง แต่ก็มิได้เกี่ยวอันใดกับพวกเรา อาหลีว่าจริงหรือไม่
เยี่ยหลีกะพริบตา ตระกูลมู่หรงร่ำรวยประหนึ่งแคว้น ท่านอ๋องไม่สนใจเลยจริงๆ หรือ
ม่อซิวเหยาถอนใจออกมาอย่างจนใจ ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้ข้าแต่งงานกับพระชายาที่ถึงแม้จะมิได้ร่ำรวยประหนึ่งแคว้น แต่กลับล้ำค่าเสียยิ่งกว่าภูเขาทองคำและแม่น้ำเงินอีกเล่า ดังนั้นตระกูลมู่หรงที่มากล้นด้วยทรัพย์สินเงินทองนั่น ข้าคงไม่มีวาสนาได้ใกล้ชิดหรอก
เยี่ยหลีหรี่ตาที่มองเขาอยู่ลง คิดอยากแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยว แต่ก็อยากหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ท่านอ๋องเสียดายมากหรือ
ม่อซิวเหยาส่ายหน้าดิก อาหลีกับเงินทองมิอาจเทียบกันได้ ข้ามีแต่จะยอมสละเงินทองเพื่อได้แต่งงานกับอาหลี หากเป็นตามที่อาหลีว่านี้จริง การชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพครานี้คงคึกคักไม่น้อย พวกเรารีบไปร่วมชมความสนุกนี่กันเถิด เพียงแต่…หากตระกูลมู่หรงต้องการเลือกเขยให้หลานสาวจริง เหตุใดถึงต้องเลือกในการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพด้วยเล่า ตระกูลชนชั้นสูงทั่วไปคงไม่ไปร่วมงานนี้กันหรอกกระมัง หรือว่าตระกูลมู่หรงต้องการคัดเลือกเพียงคนที่มีวรยุทธสูงส่ง
ผู้ใดจะรู้ได้ ลองไปดูเดี๋ยวก็รู้เองมิใช่หรือ
ม้าป่าที่จับมาได้จากหนานจ้าว มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าม้าดีๆ แพงๆ เลยแม้แต่น้อย ระยะทางสองร้อยกว่าลี้ บรรทุกคนถึงสองคน แต่ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งวันก็เดินทางมาถึงแล้ว
ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีตรงเข้าเมืองอันโดยทันที เมืองอันเป็นหนึ่งในสี่เมืองใหญ่ของซีหลิง ทั้งสองย่อมไม่จำเป็นต้องทรมานตนเอง จึงหาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดภายในเมืองเข้าไปพักอยู่
การชุมนุมครั้งใหญ่แห่งยุทธภพในครานี้แตกต่างจากคราก่อนๆ อย่างสิ้นเชิงจริงๆ เสียด้วย ถึงแม้จะยังไม่ถึงกำหนด แต่โรงเตี๊ยมต่างๆ ภายในเมืองกลับมีคนพักอยู่เต็มจนหมด มิใช่เพียงแค่คนในยุทธภพเท่านั้น ยังมีพ่อค้าจำนวนมาก และแม้กระทั่งชนชั้นสูงเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย โรงเตี๊ยมที่เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาจะเข้าพัก ห้องพักที่ดีที่สุดก็มีคนจับจองจนเต็มหมดแล้ว ทั้งสองจึงจำต้องพักห้องตัวเลขชั้นรองลงมา
เดิมทีด้วยฐานะอย่างม่อซิวเหยา ไม่จำเป็นต้องไปเบียดเสียดอยู่ที่โรงเตี๊ยมกับคนอื่นๆ ตลอดเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินทางท่องเที่ยวไปนี้ มักไปยังเมืองและเส้นทางเล็กๆ ที่ห่างไกล จึงไม่รู้ข่าว ว่าตั้งแต่เมื่อกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตระกูลมู่หรงได้ส่งเทียบเชิญออกไปจนทั่ว เชื้อเชิญให้ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นมาร่วมงานชุมนุมครั้งใหญ่แห่งยุทธภพ ด้วยฐานะติ้งอ๋องอย่างม่อซิวเหยา ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น แต่เทียบเชิญนั้นถูกส่งไปยังเมืองหลีแห่งซีเป่ย หากเป็นคนที่ได้รับเทียบเชิญ ตระกูลมู่หรงย่อมจัดการเรื่องที่พักให้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ ตระกูลมู่หรงจึงได้สร้างบ้านพักขึ้นแห่งหนึ่งเพื่อให้ผู้มีความสามารถโดดเด่นทั้งหลายได้พักอาศัยกันเป็นการชั่วคราว ม่อซิวเหยามิได้ตั้งใจที่จะมาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพครานี้ ย่อมไม่มีไปทางเปิดเผยฐานะของตนกับตระกูลมู่หรง จึงจำต้องพาเยี่ยหลีเข้าไปพักที่โรงเตี๊ยมแทน
โรงเตี๊ยมชิงหยวนในเมืองอัน เป็นหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเมือง คนที่จะมาพักอยู่ที่นี่ได้ ย่อมเป็นบุคคลที่ร่ำรวยหรือไม่ก็ชนชั้นสูง และในบรรดาคนเหล่านั้นยังมีลูกศิษย์ที่โดดเด่นจากสำนักใหญ่ๆ จำนวนหนึ่งรวมอยู่ด้วย
เยี่ยหลีมองแขกเหรื่อในชุดหรูหราที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยความฉงนสงสัย ผินหน้าไปเอ่ยถามม่อซิวเหยาที่นั่งดื่มชาสบายๆ อยู่ว่า การชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพทุกครั้งล้วนเป็นทางการเช่นนี้หรือ
ม่อซิวเหยาเบ้ปาก จะเป็นแช่นนั้นได้อย่างไร โดยมากการชุมนุมครั้งก่อนๆ ยอดฝีมือจำนวนหนึ่งจะนัดแนะสถานที่ประลองยุทธกันไว้ เมื่อข่าวถูกกระจายออกไป คนในยุทธภพย่อมตามไปร่วมชมด้วย คราที่ข้าไปร่วมด้วยนั่นค่อนข้างพิเศษ หลิงเถี่ยหานไปเพื่อท้าประลองกับเจิ้นหนานอ๋อง พอดีข้าเที่ยวเล่นอยู่แถวนั้น จึงเข้าไปร่วมชมด้วยแต่ไม่ทันระวังจึงกลายเป็นเข้าไปร่วมประลองกับเขาเสีย จะว่าไปคนที่ไปเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพจริงๆ ก็มีเพียงมู่ฉิงชังคนเดียวเท่านั้น
การชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพที่ว่านั่น จัดงานกันง่ายๆ เพียงนี้เชียว เยี่ยหลีคิดว่าตนออกจะจินตนาการไกลเกินไปสักหน่อย แต่การที่เป็นเช่นนี้ อีกด้านหนึ่งก็เป็นการพิสูจน์ว่า ตระกูลมู่หรงมีแรงดึงดูดต่อคนในใต้หล้ามากเพียงใด
ด้านล่าง ชายหนุ่มหน้าตาดีกลุ่มหนึ่งเกิดพูดจาไม่ถูกหูกันจนลงไม้ลงมือเข้า ทางด้านล่างจึงยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นทันที
เยี่ยหลีปรายตาเรียบเย็นลงมองกลุ่มคนที่แลกอาวุธเข้าใส่กันอย่างคิดเอาอีกฝ่ายให้ถึงตายเงียบๆ มิได้คิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวแม้แต่น้อย
ไม่นานก็ได้รู้ผลแพ้ชนะ ฝ่ายที่แพ้ถูกสับแขนจนหัก จนมิอาจฝึกวิชาดาบต่อไปได้อีก ส่วนอีกฝ่ายที่ชนะย่อมได้ใจ ยิ้มพร้อมเอ่ยอย่างดูแคลนว่า ไม่ดูตนเองเสียเลยว่ามีฝีมืออยู่สักเท่าไร ยังกล้าคิดหวังในตัวคุณหนูมู่หรง
คำพูดของเขา เป็นที่ชัดเจนว่า คนเหล่านี้มิได้มาเพื่อร่วมงานชุมนุมใหญ่ยุทธภพอันใดนั่น แต่มาเพื่อคุณหนูมู่หรงผู้นั้น หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ มาเพื่อตระกูลมู่หรง
เขายังดีใจไม่ทันเสร็จ ก็มีอาวุธลับดอกหนึ่งพุ่งเข้าเสียบเข้าที่อกเขา ชายหนุ่มที่เมื่อครู่ยังได้ใจอย่างเต็มเปี่ยมก็ล้มตึงลงทันที
ตระกูลใดที่ปล่อยคนโง่เช่นนี้ออกมาทำร้ายผู้อื่นและตนเองกัน เยี่ยหลีขมวดคิ้วพลางเอ่ยเสียงเบา การต่อสู้ที่ด้านล่างเมื่อครู่ เกิดขึ้นเพราะชายหนุ่มคนที่โดนอาวุธลับเป็นคนท้าทาย เขาทำให้ผู้อื่นแขนใช้การไม่ได้ไปข้างหนึ่ง แต่ตนเองกลับต้องเอาชีวิตมาทิ้ง
ท่านนั้นเป็นบุตรชายคนโตสายหลักของตระกูลซุนที่มีชื่อเสียงด้านเพลงดาบของต้าฉู่ เสียงนุ่มกลั้วหัวเราะอย่างบัณฑิตดังขึ้นจากด้านหลัง
เยี่ยหลีหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นเหรินฉีหนิงกำลังยืนอมยิ้มอยู่ที่ปากบันได มองตรงมายังพวกเขาทั้งสองที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง