เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “อัจฉริยะบุคคลแห่งยุคหรือ อาจเป็นได้กระมัง…” หากเพียงทิ้งรูปภาพที่วาดเหล่านี้ไว้เช่นนี้ย่อมไม่ถือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคล แต่อันที่จริงในสายตาของเยี่ยหลี ภาพที่อยู่บนกระดาษเหล่านั้น เรียกไม่ได้ว่าเป็นมืออาชีพเสียด้วยซ้ำ อย่างมากก็เพียงอยู่ในมาตรฐานของคนที่ชื่นชอบเรื่องอาวุธยุทโธปกรเป็นงานอดิเรกเท่านั้น แต่การเป็นคนที่ข้ามภพมาใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่มีแต่สงครามความวุ่นวายแล้วยังสามารถรวบรวมใต้หล้าไว้ได้ ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ ต้องบอกก่อนว่าแม้แต่ปฐมฮ่องเต้ผู้สถาปนาแคว้นของต้าฉู่ ก็ยังไม่อาจถือว่าเป็นผู้ที่รวบรวมการปกครองในใต้หล้าไว้ได้อย่างแท้จริง เพราะถึงอย่างไรเดิมทีซีหลิงกับต้าฉู่ก็เคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เยี่ยหลีเองก็ถือว่าเป็นคนที่ข้ามภพข้ามชาติหรือจะเรียกอีกอย่างว่าเป็นคนที่มาเกิดใหม่ ย่อมเข้าใจดีว่าคนเช่นพวกเขา ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าได้รับความเมตตาจากสวรรค์หรือไม่ แน่นอนว่าพวกเขาได้โอกาสในการมีชีวิตอยู่มากขึ้นอีกหนึ่งชีวิต แต่หากคิดอยากจะมีชีวิตที่สุดโต่ง เป็นเด็กหนุ่มที่รายล้อมไปด้วยสาวงามอย่างเช่นในนิยายจำนวนมาก คงไม่ง่ายเช่นนั้น สิ่งแวดล้อมของนางถือว่าไม่เลวร้ายเท่าไรนัก แต่กระนั้นก็ยังต้องผ่านเรื่องราวมามากมายนัก นางก็พอจินตนาการได้ว่ารุ่นพี่ท่านนั้นจะต้องผ่านความยากลำบากและต้องพยายามมากมายเพียงใดถึงสามารถขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หนึ่งได้
“อาหลีคุ้นเคยกับเขามากหรือ” ม่อซิวเหยาวางม่อตัวน้อยลงบนโต๊ะข้างๆ ก่อนหันไปเอ่ยถามเยี่ยหลี
ม่อตัวน้อยประหนึ่งรับรู้ได้ว่าบิดามารดากำลังพูดคุยเรื่องสำคัญมากๆ กันอยู่ จึงมิได้เอ่ยแทรกอันใด นั่งเล่นของเล่นในมือตนต่อไปอย่างว่าง่าย
เมื่อครู่เยี่ยหลีถอดสลักออกรวดเร็วเกินไป เจ้าเด็กน้อยคนนี้จึงยังไม่ทันรู้ตัวว่าปืนในมือของตนมีอันใดหายไป เขาจึงนึกสงสัยเป็นยิ่งนักว่าเหตุใด ตนถึงไม่สามารถยิงของที่ร้ายกาจออกมาได้อย่างที่มารดาของตนทำบ้าง
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอามือลูบตัวอักษรมังกรดำเนินหงส์เริงระบำบนหนังสือเล่มนั้นด้วยความคิดถึง คนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ยังได้เซ็นชื่อเป็นตัวเขียนภาษาอังกฤษไว้อย่างเปิดเผย คนในยุคนี้คงจะเห็นตัวอักษรเหล่านั้นเป็นเพียงลวดลายอย่างหนึ่งเท่านั้น
เยี่ยหลีนิ่งอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้าพอคุ้นเคยกับปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนองค์นี้อยู่บ้างจริงๆ บางทีในโลกนี้อาจไม่มีผู้ใดคุ้นเคยกับเขาไปมากกว่าข้าแล้ว”
ม่อซิวเหยานิ่งเงียบไป
เยี่ยหลีเอ่ยถามเขาพลางส่งยิ้มให้ว่า “ท่านไม่สงสัยว่าข้ามีความสัมพันธ์อันใดกับเขาหรือ”
ม่อซิวเหยาตอบว่า “อาหลีเป็นหลานสาวของตระกูลสวี” สายเลือดของตระกูลสวีไม่มีทางมีความเกี่ยวข้องอันใดกับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนไปได้
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ ก่อนเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นท่านไม่มีสิ่งใดที่คิดอยากถามหรือ”
ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “อาหลี…มาจากที่เดียวกับเขาใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีอึ้งไป นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าม่อซิวเหยาจะคาดเดาอันใดที่ใกล้เคียงเช่นนี้ออกมา…ไม่สิ นี่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง
สายตาของม่อซิวเหยาอ่อนโยนยิ่งนักยามที่มองนาง เอ่ยถามพร้อมยิ้มน้อยๆ ว่า “อาหลีไม่เคยคิดปิดบังข้ามิใช่หรือ ทั้งๆ ที่เจ้าเกิดในตระกูลบัณฑิต ทั้งๆ ที่เจ้าไม่เคยคลุกคลีกับคนภายนอก แต่กลับมีความสามารถที่น่าแปลกใจเช่นนี้ แล้วอาหลียังดูมีความคุ้นเคยกับสนามรบอีก…อีกทั้งบางครั้งอาหลียังมีความคิดที่ถึงแม้จะแปลกประหลาดแต่ก็เป็นความคิดที่แปลกใหม่ ตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษที่ซ่อนสมบัติลับไว้นั้นอีก แม้แต่คนจากราชวงศ์ก่อนก็ยังไม่รู้จัก แต่อาหลีกลับดูคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง อีกอย่างข้ารู้สึกว่า…อดีตปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนพระองค์นั้น มีความคล้ายคลึงกับอาหลีอยู่หลายด้านจริงๆ”
อาหลีได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ “ที่แท้ข้าก็เผยข้อที่น่าสงสัยออกไปมากมายเพียงนั้นเชียวหรือ”
ม่อซิวเหยายกมือขึ้นไล้แก้มของเยี่ยหลีเบาๆ พลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อาหลีไม่เคยคิดปิดบังเลยต่างหาก”
เยี่ยหลียอมรับ นอกจากช่วงแรกที่อยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยา นางไม่เคยคิดที่จะปิดบังม่อซิวเหยามาก่อนเลยจริงๆ มิใช่เพียงเพราะม่อซิวเหยาเป็นคนช่างสังเกตจนเกินไป การตั้งใจปกปิดกลับจะยิ่งทำให้ดูน่าสงสัย ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ม่อซิวเหยาเป็นคนสำคัญที่สุดของนางในชาตินี้ หากเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วยังต้องปิดบัง สู้เป็นสตรีชั้นสูงที่เรียบร้อยตามขนบประเพณีไปเสียตั้งแต่แรกเลยยังจะดีเสียกว่า แต่อย่างนั้นคงเหนื่อยเกินไป…
เยี่ยหลีมองสังเกตม่อซิวเหยาด้วยความสนใจใคร่รู้ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ซิวเหยาคิดอย่างไรกับข้า”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “พุทธศาสนาล้วนมีการกล่าวถึงเรื่องภพชาติ อาหลีเกิดมาก็มีความทรงจำมาจากชาติที่แล้วอยู่แล้ว?”
อันที่จริงอุปนิสัยตั้งแต่เล็กจนโตของเยี่ยหลีมิได้มีอันใดเปลี่ยนไปมากนัก อีกทั้งเรื่องความทรงจำก็ดูมิได้มีปัญหาอันใด ถึงแม้จะเป็นเรื่องสมัยตั้งแต่นางยังเด็กมากๆ นางก็ยังจดจำได้โดยละเอียด แล้วยังเรื่องความผูกพันกับคนในตระกูลสวีอีก ซึ่งก็เป็นไปอย่างสนิทชิดเชื้อ ย่อมมิได้เป็นเรื่องแปลกพิสดารอย่างการเอาวิญญาณมาอาศัยร่างเช่นที่เขียนอยู่ในหนังสือ เช่นนั้นก็คงมีเพียงเรื่องภพชาติเท่านั้นที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้
เยี่ยหลีพยักหน้า ยิ้มตาหยีให้ม่อซิวเหยาพลางเอ่ยว่า “หากลองนับดูแล้ว อันที่จริงปีนี้ข้าก็อายุได้ห้าสิบกว่าปีแล้ว ข้าแก่กว่าท่านมากทีเดียวนะ”
ดวงตาม่อซิวเหยาหรี่ลงด้วยความไม่สบอารมณ์ มองจ้องเยี่ยหลีด้วยสายตาตักเตือน พร้อมส่งยิ้มเจือแววได้ใจ หากม่อตัวน้อยไม่ได้นั่งอยู่บนโต๊ะ และกำลังมองตาแป๋วมายังพวกเขาทั้งสอง ไม่แน่ว่าม่อซิวเหยาคงไม่เกรงใจเช่นนี้
ม่อซิวเหยากวาดตามองเจ้าลูกชายตัวอ้วนที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้วยความรังเกียจ เด็กเล็กๆ นี่เป็นกว้างขวางคอชั้นดีจริงๆ
เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาไม่พูดอันใด สายตาเยี่ยหลีก็เปลี่ยนไป ก่อนเอ่ยว่า “อันที่จริง…ชาติที่แล้วข้าเป็นบุรุษ ท่านไม่นึกรังเกียจจริงๆ หรือ”
“บุรุษ?” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึม
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถูกต้อง ชาติก่อนข้าเป็นทหาร พอเรียกได้ว่าเป็นการสละชีพเพื่อชาติกระมัง มิเช่นนี้แล้ว ท่านคิดว่าข้าจะแต่งตัวเป็นชายได้คล้ายคลึงมากเช่นนั้นหรือ”
ในความเข้าใจของคนยุคนี้ ทหาร ย่อมต้องเป็นบุรุษ
นางมองม่อซิวเหยาด้วยความใคร่รู้พลางเอ่ยถามว่า “ซิวเหยา ท่านไม่นึกรังเกียจจริงๆ หรือ” จู่ๆ นางก็รู้สึกอยากแกล้งคนขึ้นมา เยี่ยหลียิ้มจนตาเป็นสระอิ มองบุรุษที่หน้านิ่งประหนึ่งผิวน้ำ
ม่อซิวเหยาก้มลงจ้องเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ แล้วจู่ๆ เขาก็จับตัวเยี่ยหลีเข้ามาจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากงามได้รูปนั้นทันที
ไฟร้อนวูบขึ้นบนใบหน้าของนางในทันใด เยี่ยหลีรีบออกแรงผลักอกม่อซิวเหยาออก นางมองม่อซิวเหยาที่เอาแต่จับจ้องมายังริมฝีปากของตนประหนึ่งยังไม่หนำใจ เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงถลึงตาดุๆ ใส่เขา ในใจก็รู้สึกเสียใจยิ่งนักที่คิดหยอกเย้าม่อซิวเหยา
ต่อหน้าเด็กอายุห้าขวบ…เยี่ยหลีรู้สึกว่าตลอดชีวิตทั้งสองชาติของตนรวมกัน ตนก็ยังไม่เคยขายหน้าเช่นนี้มาก่อน หวังเพียงว่าม่อตัวน้อยของนางจะยังเด็กเกินไป และจะลืมเลือนเรื่องนี้ไปในเวลาอันรวดเร็ว มิเช่นนั้นแล้ว…นางคงไม่มีหน้าจะไปเจอบุตรชายของตนแล้ว
“ยามนี้เจ้ารู้แล้วหรือยังว่าข้ารังเกียจหรือไม่รังเกียจ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา พร้อมอมยิ้มมองใบหน้าที่โกรธจัดและแดงน้อยๆ ของนาง
เยี่ยหลีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “จิตใจแห่งการยอมรับของท่านช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก”
ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ มองเยี่ยหลีที่ยังคงหัวเสียแล้วได้แต่คิดว่า ช่างเป็นเด็กสาวที่ใสซื่อจริงๆ อาหลีที่ยามปกติเรียบร้อยอ่อนหวาน กิริยาท่วงท่าทุกอย่างเป็นไปอย่างสง่างาม อดีตชาติจะเป็นบุรุษไปได้อย่างไรกัน
“เสด็จพ่อ ท่านแม่…” ม่อตัวน้อยกะพริบตากลมโตอันใสซื่อ มองบิดามารดาของตน พลางเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “เสด็จพ่อกับท่านแม่กำลังเล่นจุ๊บปากกันหรือ ตัวน้อยก็อยากเล่นด้วย ท่านแม่จุ๊บๆ…”
เพื่อเป็นการบอกว่าตนกำลังรออยู่ ม่อตัวน้อยยังได้ยกมืออวบอ้วนของตนขึ้นชี้ริมฝีปากเล็กๆ ตุ่ยๆ ของตนด้วย
เยี่ยหลีหน้าถอดสีด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่ง “เฉินเอ๋อร์ ผู้ใดบอกเจ้ากันว่าแม่กับ…กำลังเล่นจุ๊บๆ กัน”
บุตรชายของนางเพิ่งอายุได้ห้าขวบ จำเป็นต้องแก่แดดเช่นนี้หรือ นางจำได้ว่า พวกนางไม่เคยทำอันใดที่เกินงามต่อหน้าม่อตัวน้อยมาก่อน หรือเป็นเพราะตนมักจุ๊บม่อตัวน้อยบ่อยๆ?
ม่อตัวน้อยใช้ความคิดอย่างหนัก “ก็เสด็จพ่อไง คราก่อนข้าเห็นเสด็จพ่อแอบจุ๊บท่านแม่ตอนที่ท่านแม่หลับ เสด็จพ่อบอกว่ามีเพียงคนที่รักใคร่กันเท่านั้น ถึงจะเล่นจุ๊บๆ กันได้ ตัวน้อยก็รักท่านแม่ ตัวน้อยอยากได้จุ๊บๆ…”
“ม่อซิวเหยา!” เยี่ยหลีโกรธจัด ถลึงตาดุใส่ม่อซิวเหยา “เดือนนี้ท่านไปนอนที่ห้องหนังสือเลยนะ!” พูดจบก็ไม่รอให้ม่อซิวเหยาอธิบาย สะบัดแขนหมุนตัวเดินออกไปทันที
ม่อซิวเหยามองม่อตัวน้อยที่นั่งอยู่บนโต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ม่อตัวน้อยมองตอบเสด็จพ่อของเขาด้วยด้วงตากลมโตอย่างไร้เดียงสา “เสด็จพ่อ เหตุใดท่านแม่ถึงได้โกรธหรือ เหตุใดท่านแม่ถึงไม่จุ๊บตัวน้อย เสด็จแม่ไม่รักตัวน้อยแล้วหรือ”
“อย่าคิดว่าแสร้งทำเป็นใสซื่อแล้วจะรอดพ้นความผิดนี้ไปได้เชียว! ข้าไปลักหลับแม่เจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ต่อให้เขาลักหลับจริง จะถูกเจ้าลูกชายตัวแสบที่อายุห้าขวบจับได้ได้อย่างไร ตัวเขา ม่อซิวเหยาที่กวาดล้างดินแดนมาแล้วทั่วใต้หล้า กลับถูกบุตรชายของตนเองเล่นให้เสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาจะเข้ามาขย้ำตน ม่อตัวน้อยก็รีบปีนขึ้นโต๊ะหันก้นให้พ่อของเขา ก่อนร้องไห้จ้าออกมาทันที “ฮือฮือ…ท่านแม่ไม่รักตัวน้อยแล้ว ตัวน้อยเป็นเด็กที่ท่านแม่ไม่รัก…”
เมื่อเห็นบุตรชายที่ยืนตูดยื่นร้องไห้อย่างดูปลอมเป็นพิเศษเช่นนั้น ม่อซิวเหยาก็บังเกิดความรู้สึกไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เจ้าเด็กคนนี้ โตขึ้นจะต้องเป็นหายนะอย่างแน่นอน!