ตอนที่ 80 กักบริเวณเขา
เมื่อหัวโจกเห็นบรรยากาศที่ผิดไปเช่นนี้จึงรีบพูดเพื่อขอ ความเมตตา “ใหญ่ ล่วงเกินไปแล้ว ล่วงเกินไปแล้ว แต่นี่ ไม่ใช่ความคิดของเรา มีคนสั่งพวกเรามาอีกที อย่าโทษพวก
เราเลย”
มีคนสั่งมา?
จันวิภาและนวาระนั่นแน่ๆ ตอนที่อยู่ร้านก็เลยซื้อเจ้าพวก อันธพาลกลุ่มนี้
แต่ทว่าพัชรีก็เธอหัวเราะเยาะ ออกมาแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้สำนึกผิดได้ ก็สายไปแล้ว”
หลังจากพูดจบพัชรีจึงได้ใช้สายตาส่งซิกแก่สมาชิกแก็งค์ รถซึ่งคนหนึ่ง ชายคนนั้นพยักหน้า จากนั้นแก็งค์รถซึ่งจึงถอด หมวกกันน็อคแล้วเอาวางไว้บนก่อนที่จะเดินไป วิวาทกับกลุ่มอันธพาลพวกนั้น
จันวิภาเห็นว่าสถานการณ์จะไปกันใหญ่ เธอจึงดึงพัชรี เอาไว้แล้วพูดขึ้นมา “ทำอย่างนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยหรอ ถ้า เรื่องใหญ่เกินไปมันจะไม่ดีเอานะ”
พัชรีจ้องมองวิภา แล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เธอนี่จริงๆ ไม่ว่าข้างหน้าจะเป็นสุมิตรหรือพวกขยะเปียกพวกนี้ พวกมันก็ควรที่จะถูกลงโทษเพราะการก ระทำของตัวเอง จะมาโทษพวกเราไม่ได้หรอก”
จันวิภาอดไม่ได้ที่จะพูดออกไปว่า “ยังดีที่พวกเราไม่ได้ เป็นอะไร และเราต้องจับหัวโจกของโจรสิถึงจะถูก หัวโจกที่แท้ จริงก็คือนางผู้หญิงคนนั้น นวาระ”
ความโกรธในใจของพัชรีร้อนลุ่ม แต่ทว่าไม่ได้ที่จะ พาลใส่จันวิภา และพูดกับลูกน้องออกไป “สอนบทเรียนให้พวก มันเล็กๆน้อยๆ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
ต่อมาอันธพาลกลุ่มนั้นก็ได้ร้องโหยหวนขึ้นมาอย่างน่า เวทนา ฟังแล้วทำให้รู้สึกขมขื่น
แต่ทว่าจันวิภารู้ดี นี่เป็นสิ่งที่พัชรียอมอ่อนข้อให้ที่สุดแล้ว หากไม่ใช่ว่าเธออยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ เกรงว่าเจ้าอันธพาลพวกนี้อาจ จะแย่ยิ่งกว่านี้เสียอีก
แต่ทว่า ความโกรธเกรี้ยวภายในใจของจันวิภาที่มีต่อ นวาระนั้นกลับเผาไหม้อยู่ตลอด
หลังจากกลับถึงบ้าน จันวิภาก็ได้เดินไปที่ห้องของนวาระ
นวาระกำลังฮัมเพลงอยู่ในขณะที่พูดคุยและหัวเราะกับ สาวใช้ไปด้วย เธอแต่งตัวอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง และมัก จะมีสาวใช้มาประจบประแจงอยู่ข้างกายเสมอ พอจันวิภาเดิน เข้ามาก็ได้ยินสาวใช้พูดขึ้นว่า คุณนวาระสวยกว่าจันวิภาตั้งเยอะ ผิวก็คือย่างนี้ มิน่าล่ะเจ้านายสุมิตรถึงดิดใจคุณ”
นวาระทำท่าทางเป็นธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น และ
เขียนคิ้วอย่างประเสริฐ
เธอเห็นจันวิภาเดินเข้ามาจากในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง อดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่เล็กน้อย เพราะว่าเธอเห็นจันวิภายังคงถือ กระเป๋าเอาไว้อยู่ในมือ เสื้อผ้าก็ไม่หลุดลุ่ย ท่าทางเหมือนไม่ได้ โดนรังแกเลยแม้แต่น้อย?
นวาระชาปแช่งอันธพาลกลุ่มนั้นที่ไม่ได้ทำงานให้สำเร็จ อยู่ในใจ ทำให้ตนเองเสียเงินเปล่า
จันวิภายืนอยู่ด้านหลังของนวาระ ตระโกนพูดออกไป “นวาระ คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะใช้วิธีที่สกปรกเช่นนี้ และถ้ามี เรื่องอะไรก็มาหาฉัน อย่ามาทำให้เพื่อนของฉันเหนื่อย”
“ยังจะวางมาดเป็นคุณหญิงอยู่อีก เป็นเพียงแค่ตั๊กแตน หลังหลังจากฤดูใบไม้ร่วง ฉันจะคอยดูว่าเธอจะกระโดดไปได้ สักกี่วัน หี”
เดิมทีจันวิภาก็ไม่ได้สนใจที่เธอหยอกล้อฐานะนายหญิง ของเธออยู่แล้ว เพียงแค่พูดออกไปด้วยความโกรธ “นวาระ แผนการชั่วที่เธอวางเอาไว้ล้มเหลวเสียแล้ว แต่ว่านะ ถ้าหากมี ครั้งหน้าอีกล่ะก็ ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ ฉันจะไม่จบ กับเธอแน่”
นวาระหันหน้ากลับมา แสร้งทำเป็นไร้เดียวสา กระพริบตา แล้วพูด “คุณหญิง ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูดตั้งแต่ต้นจนจบกรุณาอย่ามาปรักปร่าฉันนะ”
“ที่นี่ไม่มีคนอื่น ทำไมเธอต้องทำท่าที่น่าสะอิดสะเอียน ออกมาด้วย ถ้าหากมีครั้งหน้าอีกล่ะก็ นวาระ ฉันจันวิภาคนนี้ ไม่ใช่คนที่เธอคิดจะรังแกก็รังแกได้ เมื่อถึงตอนนั้นอย่ามาหาว่า ฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน” หัวใจของจันวิภาใต้ถูกความโกรธ ครอบงำเอาไว้โดยสมบูรณ์
“เจ้านายสุมิตร ท่านกลับมาแล้ว..”
ตอนที่นวาระกำลังจะพูดอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของ สาวใช้ดังขึ้นมาจากทางบันได ตามด้วยเสียงฝีเท้าของสุมิตร ดังลอยมา
ดวงตาของนวาระกระพริบลงเล็กน้อย ราวกับคิดอะไรบาง อย่างอยู่ ริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างเยาะเย้ย จากนั้นจึงตบเข้าไป ที่หน้าของตนเอง!
“นวาระ แก! 4
จันวิภายังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร สุมิตรก็ได้ปรากฏตัวออก มาอยู่ตรงประตูเสียแล้ว จึงเห็นฉากที่จันวิภาขี้หน้าต่านวาระไป โดยปริยาย
สุมิตรขมวดคิ้ว พูดตระโกนออกมา “จันวิภา เธอจะทำ
อะไร?”
เมื่อสิ้นเสียงลง สุมิตรก็ได้รีบเดินไปหานวาระที่อยู่ทาง ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วประคองเธอเข้ามาสู่อ้อมกอดของตนเองจนแน่น
นวาระคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของสุมิตร ราวกับ กระต่ายน้อยที่น่าเวทนาอย่างไรอย่างนั้น ตัวสั่นเทาพร้อมกับ พูดขึ้นว่า “เธอ ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆเธอก็ลงมือ..ตบหน้า
ฉัน…..
ใจของจันวิภาร้อนรน แล้วพูดอธิบาย “มันไม่ใช่อย่างนั้น
เธอ…..*
จันวิภายังไม่ทันที่จะพูดจบ ก็ถูกฝ่ามือของสุมิตรผลักออก ไป จนไปชนเข้ากับกำแพงที่ทั้งเย็นเฉียบและแข็งกระด้าง เธอ รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในทั้งหมดสั่นสะเทือน ความเจ็บปวดอัน รุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาทำให้เธอต้องพิงกำแพงเอาไว้ และรู้สึก ลำบากเมื่อขยับ
สุมิตรกอดนวาระแน่นยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเขาเห็นรอยนิ้วทั้ง ห้าประทับอยู่บนหน้าของนวาระ ทั้งยังดวงตาที่แดงก่ำและ เปียกชื้นอยู่เล็กน้อย จึงพูดกับจันวิภาอย่างโหดเหี้ยมขึ้นมา ทันที “ยังมีอะไรจะพูดอีก? ทางที่ดีเธอควรจะรีบขอโทษซะ”
เขาไม่เชื่อเธอ!
จันวิภารู้สึกทุกข์ระทมขึ้นมาทันที และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เยาะออกมา
เมื่อเห็นเธอที่เป็นอย่างนี้ ภายในใจของสุมิตรกลับยิ่ง โกรธขึ้นไปอีก “จันวิภา นี่เธอรนหาที่เองนะ”
สุมิตรยิ่งมองจันวิภาก็ยิ่งโกรธ หลังจากพูดจบจึงง้างมือ ขึ้นมา ตบลงไปที่ใบหน้าของจันวิภา
ดูเหมือนว่าจันวิภาจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ เธอ ท้อแท้เสียแล้ว มองดูหน้าที่กำลังถูกตบ เธอไม่หลบแล้วแม้แต่ น้อย ทำเพียงแค่หลับตา แล้วชูหน้าออกมาอย่างดื้อรั้น ให้สุ มิตรตบเธอได้ตามสบาย
สุมิตรคาดไม่ถึงว่าจันวิภาจะมีท่าทีเช่นนี้ จึงตกตะลึง และ มือก็ได้หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วจึงไม่ได้ตบลงไป
นวาระยืนอยู่ทางด้านหลังของสุมิตรแล้วยิ้มอย่างทะนงตน เขาเฝ้ารอคอยให้สุมิตรตบหน้าจันวิภาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ดัง นั้นเมื่อสุมิตรไม่ใจแข็งพอที่จะตบลงไป นี่จึงทำให้เธอรู้สึก เสียใจอยู่เล็กน้อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นวาระก็ได้เก็บเอารอยยิ้มอันแสนจะทะนง ตนของเธอกลับคืนมา และเริ่มที่จะร้องไห้ออกมาเบาๆ มือทั้ง สองปิดไปที่หน้าของตนเองที่บวมเป่งอยู่เล็กน้อย
เมื่อสุมิตรได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความน้อยใจของนวาระ ภายในใจก็เกิดความรู้สึกปวดใจไปโดยปริยาย เขาสวมกอด นวาระแล้วพูดด้วยคำพูดที่ราบเรียบอันแสนจะอ่อนโยน “ไม่งั้น จะให้ลงโทษอย่างไง เธอพูดมาก็พอ นวาระ”
นวาระครุ่นคิด แล้วพูดด้วยเสียงที่อ่อนแอ “ฉันก็ไม่อยาก ให้คุณตบเธอ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ทำเกินไปจริงๆ ฉันไม่อยากเห็น เขาอีก”
สุมิตรตาพยักหน้า เรียกสาวใช้และบอดี้การ์ดที่อยู่นอกประตู แล้วพูดกับพวกเขา “ส่งคุณหญิงกลับเข้าไปไว้ในห้อง ถ้าไม่มี ค่าส่งจากฉันไม่อนุญาตให้เธอเดินออกจากห้องแม้แต่ก้าว เดียว
จันวิภายังคงหัวเราะเยาะอยู่ ถูกลูกสมุนของสุมิตรพวกนั้น ลากเข้าไปในห้องนอน กังบริเวณ? ที่!
ในขณะเดียวกัน ลูกสมุนของสุมิตรก็ได้ยืนคุ้มกันอยู่นอก ประตูห้องของจันวิภา เธอในตอนนี้เป็นเพียงแค่นักโทษเท่านั้น หรือชั่วชีวิตนี้อาจจะต้องเป็นนักโทษของสุมิตรตลอดไป
จันวิภารู้สึกไร้พลัง รู้สึกว่าตนเองได้เสียจิตวิญญาณไป เธอเอนตัวลงบนเตียง ภายในห้องที่มืดมิต กลับสู้สึกถึงแต่ เพียงความชินชา