ตอนที่ 99 สุพจน์ ช่วยฉันด้วย
เบาะแสสูญหายไปเสียแล้ว สุมิตรรีบกลับมาที่โรง พยาบาลอย่างรวดเร็ว เพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของธน ภาค โชคดีหลังจากกลับมาถึงห้องคนไข้ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไร เกิดขึ้นอีก
และในเวลานี้ ธนภาคก็ได้ฟื้นตื่นขึ้นมา ไหล่ของเขาได้ถูก พันไว้ด้วยผ้าพันแผล
จันวิภายังคงเอนตัวพิงเตียงอยู่ และใบหน้าก็ยังคงขาวซีด อยู่เช่นเดียวกัน
สุมิตรสั่งให้คนคอยคุ้มกันอยู่นอกห้อง และพูดกับธนภาค ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ฉันอยู่ดูแลจันวิภาอยู่ที่นี่ ในช่วงกลางดึกก็มีนักฆ่าชุดดำ คนนั้นพุ่งพรวดเข้ามา พวกเราประมือกันอยู่นาน เกาะติดฉันอยู่ ไม่ยอมปล่อยหมายจะเอาชีวิต ฉันคิดว่าเป้าหมายของมันคือ ฉัน! แต่บางทีมันแจจะเป็นองค์กร ! ”
“อย่างนี้นี่เอง?” หลังจากสุมิตรหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วจึง เอยปากถาม “แต่ว่านะธนภาค ทำไมนายถึงต้องมาคอย ปกป้องจันวิภา?”
น้ำเสียงของสุมิตรเย็นเฉียบ ราวกับจะตำหนิธนภาค อย่างไรอย่างนั้น
ธนภาคยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “เฮ้ย สุมิตร ฉันบาดเจ็บ อย่างนี้นายยังทำใบหน้าเหม็นๆนี่ใส่ฉันอีก”
“นายหุบปากไปเลย! ” สุมิตรไร้ซึ่งความอดทน “เพื่อนาง แพศยาคนนี้อีกนิดตัวเองก็จะตายอยู่แล้ว? จันวิภามีค่าพอที่จะ ให้นายทุ่มชีวิตเพื่อปกป้องงั้นหรอ?”
ไม่รู้ว่าทำไม สุมิตรถึงได้โกรธเป็นอย่างมาก ชี้ไปทางด้าน
ของจันวิภาแล้วเอ่ยถามธนภาค
จันวิภาถูกสุมิตรด่าว่า “นางแพศยา” ต่อหน้าคนอื่นอย่าง
อึดอัด
ธนภาครับรู้ได้ถึงความอึดอัดของจันวิภา จึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดออกไป “นายล้อเล่นอะไรน่ะ ฉันช่วยภรรยานายมันเป็น เรื่องที่ไม่สมควรงั้นหรอ? และฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่?”
สุมิตรกัดฟัน “ฉันไม่เคยเห็นเธอเป็นภรรยา นายนี่ยังไม่ ชัดเจนกว่าคนอื่นอีกหรอ? และนี่มันเป็นเรื่องของครอบครัวฉัน ฉันไม่ต้องการให้นายมาทำเป็นคนดีที่นี่”
ธนภาคยืนขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ฉันเห็นจันวิภาเป็น เพื่อนของฉัน ก็เลยดูแลเธอ ไม่ได้หรือไง?”
แต่ทว่าสุมิรกลับหลี่ตามองอย่างแปลกประหลาด มันน้อย ครั้งมากที่เขาจะเห็นธนภาคโกรธ แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะโกรธเพื่อจันวิภา!
สุมิตรไม่พูดออกมาอีก ภายในใจมีความโกรธที่พูดออก มาไม่ได้..ความอิจฉา? |
จะเป็นไปได้อย่างไง! สุมิตรครุ่นคิดเหลือบตามองไปทาง ธนภาคแล้วพูดขึ้น “ตามใจ แต่ในเมื่อนายได้รับบาดเจ็บสาหัส อยู่ในตอนนี้ ก็พักฟื้นให้ดีๆ ฉันไปก่อนล่ะ”
พูดจบ เขาก็เดินออกจากที่นี่ไป
และในตอนนี้ นวาระก็ได้เดินไปมาอย่างกังวลใจอยู่นอก ห้อง แม้ว่าสุพจน์จะรับปากว่าจะฆ่ามือสังหารเพื่อปิดปากให้ แล้ว แต่เวลาในตอนนี้ก็ผ่านไปนานมากแล้ว ตนเองยังไม่ได้รับ ข่าวคราวเลย
ทำไงดี ทำไงดี ถ้าหากถูกสุมิตรรู้ความจริงของเรื่องนี้เข้า ผลที่ตามมาก็ไม่อยากจะคิด!
นวาระเครียดเสียจนท้องไส้ปั่นป่วนไม่สนใจอะไร แม้แต่สุ มิตรที่กำลังเดินเข้ามาในห้องคนไข้ก็ยังไม่รู้ตัว
“แมวป่าตัวน้อย?” สุมิตรตระโกนเรียกนวาระครั้งหนึ่ง แต่ เธอไม่ได้ยิน
เมื่อเห็นเช่นนี้ สุมิตรจึงไม่พอใจอยู่เล็กน้อย เดินเข้าไปจับ
ไหล่ของเธอ แล้วเอ่ยถามอย่างอดทน “เธอเป็นไรไป?”
“อ๊ะ! ”
จ่าก็ถูกคนมาจับ นวาระจึงส่งเสียงอุทานเล็กๆขึ้นมาทันทีเป็นสุมิตรนั่นเอง เธอที่สีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดกำลังอยู่ใน อ้อมแขนที่แข็งแกร่งของสุมิตร จับไปที่คอของตนเองแล้ว ร้องไห้ออกมา “สุมิตร มันดีจริงๆ ที่เห็นคุณไม่เป็นไร คุณรู้มั้ย เมื่อกี้นี้ฉันเครียดจริงๆ…ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรกับคุณล่ะก็ ฉัน จะทำอย่างไง”
เมื่อเห็นนวาระคิดกับเขาอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ สุมิตรจึง ใจอ่อนลง แล้วสลัดความไม่พอใจทั้งหมดทิ้งไป จากนั้นจึง นึกถึงผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ขึ้นมา ทำไมเธอจึงไม่เป็น ห่วงตนเองบ้าง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้
ที่ นางแพศยานั่น วันๆคิดแต่จะเกี่ยวผู้ชาย จะไปนึกถึง สามีที่ชอบธรรมของตนเองได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกไม่พอใจของสุมิตรราวกับ ขุนเขาที่ถล่มลงมาและน้ำทะเลที่เชี่ยวกราด เขากวาดสายตา มองเข้าไปในห้องผู้ป่วยอย่างเย็นชา ภายในใจคิดว่าเมื่อใดที่ ผู้หญิงคนนี้จะเรียนรู้ที่จะว่านอนสอนง่าย!
หลังจากสุมิตรและนวาระจากไป ธนภาคมองแผ่นหลังของ นวาระอย่างครุ่นคิด เมื่อครู่นี้ค่าพูดและการกระทำของเธอ ทั้งหมดถูกธนภาคเห็นเข้าหมดเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าทำไม ธนภาคจึงรู้สึกว่านวาระคนนี้มีความแปลก อยู่นิดหน่อย การแสดงออกของเธอมันไม่เหมือนกับว่าเครียด ว่าสุมิตรจะเกิดเรื่องขึ้น แต่เหมือนกับว่ากำลังเป็นห่วงเรื่องอื่น อยู่
มันเหมือนกับ กังวลว่าตนเองจะไม่มีอนาคตในวันพรุ่งนี้ อย่างไรอย่างนั้น ความเครียดที่ไม่สงบ ความวิตกกังวล และ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ปีนป่ายอยู่บนเส้นทางนี้มานานขนาดนี้ ตวงตาที่เห็นแก่ ตัวนั่นธนภาครู้จักมันดี
นวาระคนนี้ จะต้องมีปัญหาอยู่แน่ๆ
ไม่ได้รับข่าวคราวจากสุพจน์เลย ท่าทีของสุมิตรก็เอาแน่ เอานอนไม่ได้ นี่จึงทำให้นวาระกลัวยิ่งขึ้นไปอีก
เช้าตรู่วันต่อมา นวาระนอนไม่หลับแต่โทรหาสุพจน์ตลอด
คืน ต้องการให้เขาออกมาเจอหน้า
พึ่งจะเข้าประตูของสถานที่ที่นัดกันไว้ นวาระก็ถูกถุงดำ คลุมหัวจากทางด้านหลัง ก่อนที่เธอจะมีท่าทีตอบสนองก็ได้ถูก อุดปากเอาไว้จนทำให้เธอไม่สามารถกรีดร้องออกมาได้
วินาทีต่อมา มือและเท้าก็ได้ถูกมัดเอาไว้ จากนั้นจึงได้ถูก ผักเข้าไปในห้องๆหนึ่ง
คนๆนั้นมัดเธอติดไว้กับหลังเก้าอี้ แล้วจึงถอยออกไป
เมื่อสิ้นเสียงปิดประตู นวาระก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาออกมา เป็นใครกัน! ใครกันที่มัดเธอเอาไว้
สิ่งที่ทำให้นวาระรู้สึกตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ เธอรู้สึกได้ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ แต่กลับไม่มีเลย สักคนที่เอ่ยปากพูดออกมา
ผ่านไปอยู่หลายนาที ประตูค่อยๆถูกเปิดออก ถุงดำที่คลุม ศีรษะของเธออยู่ก็ค่อยๆถูกเปิดออกเช่นเดียวกัน
วินาทีต่อมา ฝ่ามือซึ่งมาพร้อมกับเสียงของลมได้ตบ เข้าไปที่ใบหน้าอย่างรุนแรง
เสียง “เพี้ยะ-” ใบหน้าที่ขาวราวกับหิมะของนวาระ ปรากฏรอยนิ้วมีสีแดงออกมา!
ในหูได้ยินเสียงของสุพจน์ที่เยือกเย็นจนเสียดแทงเข้าถึง กระดูก “ขยะอย่างแกยังกล้ามีหน้ามาเจอฉันอีกหรอ?”
“ฉันพูดว่าจะไม่ยอมให้แกแตะจันวิภาแม้แต่ปลายผม แต่ แกก็ยังกล้าขัดคำสั่งของฉัน? ช่างกล้า? หีนี นวาระ ใครกันที่ คอยสนับสนุนเธออยู่เบื้องหลัง หม?” ในสายตาของสุพจน์ เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร ถ้าไม่ใช่เพราะนวาระยังมีประโยชน์อยู่ นิดหน่อยล่ะก็ เขาคงจะฆ่าเธอไปนานแล้ว
นวาระถูกจบจนศีรษะมีนงง สายตาเห็นดวงดาว
แทบจะไม่อยากคิดเลย นวาระถูกมัดติดกับเก้าอี้ คุกเข่า ลงให้สุพจน์ คุกเข่าร้องโหยหวนต่อเขาที่อยู่ด้านหน้า “สุพจน์ ช่วยฉันด้วย! เรื่องนักฆ่าเมื่อวาน สุมิตรกับธนภาคดูเหมือนว่า จะสงสัยฉันแล้ว! ฉันของร้องคุณแล้ว! ช่วยฉันด้วยนะ! ”
“ที่ ถ้าแกยังไม่เชื่อฟังอย่างนี้อีก ก็สมควรที่จะตายแล้ว”
สุพจน์ถอยออกไปก้าวหนึ่ง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับนวาระ ใบหน้าของเขาอึมครึม คำพูดที่พ่นออกมายังคงทำให้สั่นเทาเหมือนเช่นเคย “นวาระ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับจันวิภา วันนี้ เธอคงตายไปแล้ว ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น นวาระจึงตัวสั้นเทา ตอนนี้เธอเกลียดจัน วิภามากยิ่งขึ้นไปอีก ตั้งแต่เล็กจนโตท่าไมเธอจึงต้องเจ็บปวด เช่นนี้ด้วย? และไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องคุกเข่าให้คนอื่น!
นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความเครียดแค้น ตอนที่แหงนหน้า ขึ้นมองสุพจน์ กลับแปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้ที่เปื้อนหยาดน้ำฝน น้ำเสียงน่าเวทนา “จันวิภาไม่ได้เป็นไร เธอไม่ได้เป็นไรเลยสัก นิด! เดียวสุพจน์ ขอร้องคุณล่ะ ฉันรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ที่ฉันส่ง นักฆ่าออกไปโดยไม่ฟังคุณ! ได้โปรดให้โอกาสฉันอีกสักครั้ง เถอะนะ! นะขอร้องล่ะ..”