ตอนที่ 32 พูดดีๆไม่เอา
หลายคนรู้ว่าในห้องกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงหลีก เลี่ยงที่จะเข้าไปในลานบ้าน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลา อาหารเย็น แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน
ช่วงเวลาการกอดรัดฟัดเหวี่ยงได้จบลง หลินซีน เยียนนอนแผ่อยู่บนเตียง ความเจ็บแสบจากด้านหลัง ที่ส่งผ่านมา เธอไม่ต้องดูก็พอจะรู้ว่าด้านหลังของตน
เองมีร่องรอยที่น่ากลัวอะไรอยู่
โม่จื่อฟงไม่ได้เห็นเธอเป็นสตรีมีชาติตระกูล จึงได้ ทำกับเธออย่างโหดเหี้ยม บางครั้ง หลินซีนเยี่ยนก็ อดคิดไม่ได้ว่า หากเปลี่ยนให้มีฐานะเท่ากับฐานะของ เชียวฉางเยว่ สตรีที่สูงศักดิ์เช่นนั้น เขาจะอ่อนโยน ลงบ้างไหม?
“ลุกได้แล้ว วันนี้จะพาเจ้าไปทานอาหารที่ร้าน อาหารดีที่สุดของเมือง”ราวกับเสร็จเรื่องนั้นแล้วก็ มอบรางวัลให้ โม่จื่อฟงเอ่ยประโยคนี้อย่างอยู่เหนือ ทุกสิ่ง
หลินซีนเยียนกัดฟัน ไม่ได้ส่งสายตาเย็นชาไปทางเขา เธอรู้ว่าเขาไม่ชอบ ดังนั้นจึงซ่อนไม่ให้เขา เห็น”อืม”เธอตอบเสียงหนึ่งแล้วลุกขึ้นจากเตียง หยิบ เสื้อผ้าที่หล่นอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมใส่
“เสื้อตัวนี้ของเจ้าดูไม่เลวเลย แต่คุณภาพขนสัตว์ ไม่ค่อยดี รอกลับไปเมืองหลวงก่อน ข้าจะพาเจ้าไป สนามล่าสัตว์ พอถึงตอนนั้นจะ หาขนสุนัขจิ้งจอกให้ เจ้าเปลี่ยน”โม่จื่อฟงเห็นว่าหลินซีนเยียนแต่งตัวเสร็จ ก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป
“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”เขาคิดจะ พาเธอกลับเมืองหลวงรึ? นี่เห็นเป็นสาวใช้อุ่นเตียง จริงๆ เหรอ?
ตรงลานทางเดินของโรงเตี้ยมได้จุดโคมไฟตลอด ทาง ถึงจะเป็นเวลาที่กลางคืนแล้ว เหล่าทหารที่ยืนเฝ้า เวรยามก็ยังมีอยู่ประปราย
รถม้าคันหนึ่งรออยู่หน้าประตูของโรงเตี้ยม จินมู่ เห็นโม่จื่อฟงเดินออกมาก็รีบให้คนเอาเก้าอี้เหยียบขึ้น รถม้ามาตั้ง พอเห็นหลินซีนเยี่ยนตามออกมาด้วย จินมู่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
หลินซีนเยียนเดินตามเกือบจะขึ้นไปบนรถม้า ในโรงเตี้ยมมีคน 2 คนเดินตามออกมา ไม่ใช่ใครอื่น เป็นพี่น้องเซียวฉางเยว่
“ท่านอ๋อง ท่านไม่ยุติธรรมเลย เตรียมจะออกไป ทานอาหารดีๆ กลับไม่พาพวกเราสองพี่น้องไป ด้วย”เซียวอวิ๋นฉินใช้ความที่ยังอายุน้อย พูดขึ้นมา อย่างเอาแต่ใจ ดูไม่ออกเลยว่าความเอาแต่ใจนี้มัน ซ่อนแผนการอะไรอยู่
ม่านในรถม้ายังไม่ปิด สามารถมองเห็นโม่จื่อฟงที่ นั่งอยู่ทำท่าทางครุ่นคิด”คุณหนูรองเชียวรู้เรื่องเร็ว จริงๆ แม้แต่การเคลื่อนไหวของข้ายังไปถามมาได้ ในเมื่อมาแล้วก็ไปด้วยกันก็ได้ จินมู่ เตรียมรถม้าให้ แม่นางตระกูลเซียวด้วย”
พอพูดจบ โม่จือฟงก็ปิดม่านลง หลินซีนเยียนลังเล ไปสักพัก จากนั้นก็เดินขึ้นรถม้าของโม่จื่อฟงไป
จินมู่รีบไปหารถม้าอีกคันมา ไม่สนใจสีหน้าของ คนตระกูลเชียว หลังจากสั่งคนบังคับรถม้าเสร็จก็ขี่ ม้านำทางไป
สองพี่น้องเชียวฉางเยว่ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ส่ง สายตาดุร้ายไปยังผู้หญิงคนนั้นที่เดินขึ้นรถม้าของอ๋องอู่เสวียนไป!
เมืองในช่วงเวลากลางคืนดูเงียบสงบอยู่มาก ไม่มี ร้านขายของริมทาง มีแต่แสงเทียนที่พริ้วไหวไปมา อย่างงดงาม ถนนตะวันออกที่เจริญที่สุดของเมือง เพราะมีร้านอาหารที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งของ เมืองอยู่ เวลานี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี ทำให้ดูครึ กครื้นเป็นอย่างมาก
ตอนที่กลุ่มคนของโม่จื่อฟงเข้ามาในร้านอาหาร ย่อมดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก โม่จื่อฟงไม่ เชั่น สนใจสายตาพวกนั้น เพียงนำกลุ่มคนเดินขึ้นชั้น 2 ไปยังห้องส่วนตัว
ตอนที่พวกเขาเข้าไปในห้องส่วนตัว ในช่วงเวลานั้น ห้องที่อยู่ตรงทางเดินอีกฝั่งก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา เบาๆ
“นายท่าน พวกเขามากันแล้ว”ซานป่ายผลักหน้า ต่างออก เมื่อมองจากทางหน้าห้องส่วนตัวของพวก เขาก็สามารถเห็นเหตุการณ์ในห้องโถงใหญ่ได้ ทั้งหมด
อินฉีพยักหน้า ดื่มน้ำชาอย่างสบายใจ อาหารบนaโต๊ะยังไม่ได้แตะเลยสักนิด”พวกเรามารอดูละครกัน
เถิด”
พอเขาเพิ่งจะเอ่ยก็เห็นกลุ่มคนที่เดินเข้ามาในร้าน อาหาร ตอนที่กลุ่มคนเดินเข้ามาก็เป็นจุดสนใจของผู้ คนจำนวนมาก ไม่ใช่เพราะคนที่มามีชื่อเสียงแต่อย่าง ใด เพียงเห็นสาวงามสะคราญ 2 นางที่เป็นฝาแฝด ถึงจะคลุมเสื้อสีขาว แต่ก็ปรากฏเพียงใบหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือ รูปร่างหน้าตาสง่างามมาก ผิวพรรณ ผุดผ่อง โดยเฉพาะดวงตาที่สดใสคู่นั้นได้สะกด วิญญาณของผู้คนเอาไว้
สาวงามเช่นนี้เป็นที่ต้องใจของชายในใต้หล้านี้ ดังนั้น เมื่อพวกนางปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้ร้านอาหาร เงียบสงบลงทันที
สาวงามทั้ง 2 คนได้พาผู้รับใช้เดินไปยังโต๊ะว่าง โต๊ะหนึ่งที่อยู่ประตู พอนั่งลงแล้วก็ยังไม่ได้สั่งอาหาร สาวงามคนหนึ่งถือพิณ ส่วนอีกคนอุ้มผีผาบรรเลง เพลงพร้อมกันขึ้น
สาวงามดีดพิณ ไม่ว่าจะบรรเลงพิณได้น่าฟังหรือไม่ แต่ภาพตรงหน้าทำให้ผู้คนมองแล้วรู้สึกดีอย่างมาก ผู้คนในร้านอาหารต่างลืมทานอาหารของที่นี่ แล้วไปชื่นชมกับการแสดงที่อยู่ตรงหน้า
ในห้องส่วนตัวที่หรูหราที่สุดในชั้น 2 สุราและอา หารได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว โม่จื่อฟงนั่งอยู่บนต่ำ แหน่งที่นั่งประธาน สองพี่น้องเชียวฉางเยว่นั่งอยู่ตรง ข้ามกับเขา จินมู่และหลินซีนเยียนยืนอยู่ด้านหลังของ โม่จื่อฟง
ในสังคมที่เข้มงวดในเรื่องชนชั้น หลินซีนเยียนกับ จินมู่ไม่ใช่เจ้านาย จึงไม่สามารถนั่งทานอาหารร่วม กับเจ้านายได้ จินมู่คุ้นชินแล้ว แต่สำหรับหลินชีน เยียนผู้เป็นหญิงสาวจากยุคปัจจุบัน เมื่อเห็นภาพนี้ กลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
ไหนบอกพามากินข้าวไง? สุดท้ายคือพวกเขากิน ข้าว แต่เธอยืนดูพวกเขากินข้าว?
“จินมู่ ตักอาหารให้นาง” โม่จื่อฟงเปิดปากพูด ไม่ ได้บอกว่าเป็นใคร แต่จินมู่กลับเข้าใจความหมายของ เขา จินมู่ใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ไปในจานแล้ววา งอยู่โต๊ะตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง
“แม่นางหลิน นี่คืออาหารที่ท่านอ๋องประทานมาให้ ท่าน “ตอนที่จินมู่เอ่ยขึ้น บนใบหน้ากลับปรากฏความอิจฉาออกมาเล็กน้อย ราวกับว่าท่านอ๋องพระราชทาน ให้อาหารทานอย่างสมัครใจเป็นเรื่องที่ยากมาก
หลินซีนเยียนแสยะยิ้มที่มุมปาก กลับยืนนิ่งอยู่ไม่
ขยับไปไหน
“แม่นางหลิน? “จินมู่เรียกอีกครั้ง เดินไปตรงหน้า ของนาง แล้วขยิบตาให้นางพร้อมกับเอ่ยเสียง เบาๆ “แม่นางฉิน ท่านอ๋องไม่เคยดูแลใครเช่นนี้มา ก่อน ท่านเป็นคนแรก รีบนั่งลงทานอาหารเร็ว”
ทานอาหารเหรอ?
ในใจของหลินซีนเยียนรู้สึกน่าขัน ในช่วงเวลานั้น เธอได้มีประสบการณ์เรื่องความแตกต่างระหว่าง นายกับบ่าวแล้ว 2-3 วันก่อนที่อยู่ในรถม้า เธอ สามารถทานได้อย่างอิสระ แต่ก็ไม่เคยทานอาหา รกับโม่จื่อฟงเลย หากไม่มีประสบการณ์เช่นนั้น จนถึง วันนี้จะไม่ได้เดินทาง แม้แต่นั่งร่วมโต๊ะทานอาหา รกับโม่จื่อฟง เธอยังไม่มีคุณวุฒิเลย
คืบอาหารอย่างละนิด วางใส่จาน โต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ประหนึ่งว่ากำลังให้อาหารสุนัขแสนรัก เธอต้องขอบ พระทัยที่เมตตาหรือเปล่าเนี่ย?
โม่จื่อฟงเห็นเธอยืนอยู่ไม่ยอมขยับ เขาก็ขมวดคิ้ว
เชียวอวิ๋นฉินที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกว่าโอกาสมาถึง นางรีบลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าของหลินซีนเยียน ง้างมือ ขึ้นมาเตรียมจะตบ”นางทาสชั้นต่ำ ยังไม่ยอมขอบพระ ทัยอีกรี! %3D
หลินซีนเยียนก้าวถอยหลังมา 1 ก้าวตามสัญชาต ญาณเพื่อหลบมือของนาง เธอมองไปที่เซียวอวิ๋นฉิน อย่างเย็นชาครู่หนึ่งก็หันหน้าไปพูดกับโม่จื่อฟง”ท่า อ๋อง ข้ารู้สึกไม่สบาย ไม่อยากทานแล้ว ข้าขอไปรอ พวกท่านที่ชั้นล่างนะเพคะ”
หลินซีนเยียนไม่รอให้โม่จื่อฟงพยักหน้าก็ก้าวเท้า เดินออกไปข้างนอกแล้ว