ตอนที่ 42 ให้นางค่อยๆตายไป
“อ๊ะ! เสื้อแยกจากปากบาดแผล ดึงเนื้อหนังบางส่วน หลุดออก ความเจ็บปวดทำให้หลินซินหยานอดที่จะพ่น เสียงลมหายใจออกมาไม่ได้ เพียงแค่ชั่วครู่ ทั่วทั้งร่าง เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
“น่าอายเสียจริง”
โม่จื่อเฟิงมองเลือดที่ชุ่มบนแผ่นหลังด้วยความรังเกียจ ทว่านิ้วมือเรียวยาวกลับค่อยๆยกขึ้น ลูบรอยบาดแผล ฉกรรจ์อย่างแผ่วเบา “ถ้าหากหลงเหลือรอบแผลเป็น คราวหลังเจ้าจะอุ่นเตียงให้ข้าได้อย่างไร กุ้ยหมัวมัวนี่ช่าง มิรู้ความยั่งมือ
หลินซินเยียนเจ็บจนมิสามารถเอ่ยวาจาใดๆออกมา ก็ หันไปแล้ว ดวงตาก็มิต้องมองเห็นอย่างชัดเจน นางรู้สึกว่า คนข้างกายนั้นได้ออกไปจากผืนฟูกแล้ว จึงได้ทอดถอน หายใจ เข้าใจว่ารอยบาดแผลฉกรรจ์นี้คงทำให้เขา รำคาญใจ
บางที ผู้ชายหน้าไหนกันที่สามารถร่วมรักกับเธอได้ใน ขณะที่มีเลือดโชกชุ่ม? นอกจากพวกโรคจิต
ถ้าหากบาดแผลนี้สามารถยับยั้งเหตุที่เขาจะสังหาร นางได้ นางก็คงจะทำให้ตนเองมีบาดแผลเต็มทั่วร่างไป ตั้งนานแล้ว
“อย่างไรกัน ข้าแค่ไม่แตะต้องตัวเจ้า ถึงกับต้องดีใจ ขนาดนี้เชียวหรือ?” เสียงของโม่จื่อเฟิงปรากฏขึ้นที่ข้างหู ของนางอย่างฉับพลัน
เธอลืมตาขึ้นก็มิรู้เห็นว่าเมื่อใดที่เขานั้นได้กลับเข้ามา อีกครั้ง สีหน้าดีใจของนางมันเด่นชัดขนาดนั้นเชียวหรือ?
“เปล่าเพคะ ท่านอ๋องทรงทอดพระเนตรผิดไป” ถึงตาย ก็อย่าได้ยอมรับผิด จึงจะเป็นหนทางในการรักษาชีวิต
โม่จื่อเฟิงนั่งลงบนฟูกนุ่มอีกครั้ง “อย่างงั้นหรือ แต่ทว่า เจ้าอาจจะต้องผิดหวังเสียแล้ว”
ยังไม่ทันจะเข้าใจถึงความหมายของเขา หลินซินเยียน ก็รู้สึกว่าบนแผ่นหลังของตนมีความเย็นค่อยๆซึมซาบ นางหันกลับไปด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าจะเห็น โม่จื่อเฟิงถือตลับยาและลูบไปบนปากแปลของนาง
บุรุษผู้นี้ กำลังทายาให้นาง ทายาให้ด้วยตนเอง เป็นไป ได้จริงหรือ?
ไม่ว่าผู้อื่นนั้นจะเชื่อหรือไม่ แต่หลินซินหยานนั้นไม่เชื่อ
การกระทำของโมจื่อเฟิงนั้นอบอุ่นอย่างมาก นิ้วเรียว ยาวและปลายนิ้วอันอบอุ่นนั้นประทับบนแผ่นหลังเปลือย เปล่าของนางอย่างชัดเจน ปลายนิ้วของเขาราวกับสัมผัส จากเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ และทุกที่จะมีไอร้อนแปลก ประหลาด
ยาตลับนั้นเห็นได้ชัดว่ามีความเย็น แต่ปลายนิ้วของเขา นั้นร้อนราวเปลวไฟ เมื่อความรู้สึกร้อนกับเย็นมาเจอกัน ทำให้ประสาทสัมผัสของหลินซินหยานทรมานอย่าง แท้จริง
นางได้แต่ภาวนาอย่างเงียบๆ เพื่อความเจ็บปวดทรมาน เช่นนี้สิ้นสุดลงเร็วกว่านี้อีกหน่อย
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกได้ว่าปลายนิ้วอันร้อนระอุได้เลื่อนไปตามแผ่นหลังของนาง นึกไม่ถึงว่าจะลงมาถึงเอวอรชร ของนาง เส้นประสาททั่วทั้งร่างนั้นตื่นตัว หันกลับไปมอง โดยสัญชาตญาณ
เมื่อได้เห็น ทำให้นางตกใจจนกลืนน้ำลาย ดวงตาของโม่จื่อเฟิง กล่าวได้ว่ามันคือความใคร่ซัดๆ
“บุรุษ ก็ยังคงเป็น.” หลินซินหยานกล่าวยังไม่ทันจบ ทว่ากลับถูกปิดปากด้วยบุรุษจอมเผด็จการ ปลายนิ้วที่ เขาควรจะต้องทายาให้กลับยัดเขามาในปากของนาง
นางขยะแขยงจนอยากจะอาเจียน เขากลับยิ้มอย่าง เยือกเย็นและฉีกเสื้อผ้าที่หลงเหลือของนางออก
ร่างของนางถูกปกคลุมไปด้วยความร้อน นางจึงได้
ตระหนักคืนนี้เกรงว่าคงมิสามารถข่มตานอนได้ ฮีม บุรุษเอ๋ย โดยเฉพาะบุรุษที่ใช้ร่างกายส่วนล่างแทน
สมองเช่นนี้ นางเองก็ไร้เรี่ยวแรงจะกล่าว
ค่ำคืน ที่ใช้เวลาท่ามกลางความเศร้าโศก รุ่งเช้าของวัดถัดมา หลินซินเยียนนอนลืมตาตื่นบนผืน
ฟูก
ภายในห้องไร้เงาของโม่จื่อเฟิง ทว่าเรือนร่างท่อนบน ของนางไร้อาภรณ์ หลังจากที่บุรุษผู้นั้นเกิดความใคร่ ที่แท้นั้นทิ้งให้นางนอนตากลมเปลือยเปล่าอยู่ที่นี่
แท้จริงแล้วเขาเป็นบุรุษไร้เมตตาผู้หนึ่ง
สีหน้าหลินซินเยียนยิ่งขาวซีด ฝืนความเจ็บปวดลุกขึ้น มาจากฟูกแล้วหยิบเสื้อผ้าของนางขึ้นมาดู เสื้อผ้านั้นได้ ถูกฉีกกระชากไปแล้ว มิสามารถจะสวมใส่ได้อีก
สรุปแล้วนางมิสามารถเปลือยกายออกไปได้? เมื่อพินิจ ดู ก็มิรู้จะควรทำอย่างไร จึงฟังเสียงสาวใช้ที่อยู่ด้านนอก ประตู
“ท่านหลินซินเยียนใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ที่แท้ก็มีสาวใช้ เฝ้าหน้าห้องอยู่ตลอด เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายใน ห้อง สาวใช้จึงจะเอ่ยถาม
“อืม” เมื่อหลินซินหยานตอบกลับ หญิงรับใช้ก็ดันประตู เข้ามา ภายในมือยังมีชุดเสื้อผ้าสะอาด
ในยามที่หญิงรับใช้เข้ามาก็ก้มศีรษะตลอด ไม่มีการหัน ไปมองหลินซินหยานด้วยความชาญฉลาด เพียงแค่หลัง จากที่นำเสื้อผ้าวางไว้บนโต๊ะด้านข้างก็ได้หันกายกลับไป
หลินซินหยานถอนหายใจ หยิบเสื้อผ้านำขึ้นมาสวมใส่
นางอดที่จะคิดไม่ได้ ผู้คนนั้นไม่ใช่ว่าจะสามารถค่อยๆ เคยชินกับการถูกทารุณกรรม อย่างเช่นครั้งแรกในตอน ที่นางถูกโม่จื่อเฟิงรังแก นางยังต่อต้านยังรู้สึกว่าไม่ได้รับ ความเป็นธรรม กระทั่งแทบต้องการจะฆ่าเขา
แต่ในยามนี้ หลังจากที่ถูกรังแก นางกลับสามารถสวม ใส่เสื้อผ้าได้อย่างสงบ
เช่นนี้เรียกว่าต้มกบในน้ำอุ่นหรือไม่? (เป็นคำเปรียบ เทียบ ทำให้ตายใจ)
นางยิ้มเย็น ออกจากห้องหลังจากที่สวมเสื้อผ้า เรียบร้อย เพิ่งเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เผชิญหน้ากุ้ยห มัวมัว ที่นำหญิงรับใช้อาวุโสที่ท่าทางไม่เป็นมิตรเดินเข้า
มา
กุ้ยหมัวมัวยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของหลินซินหยาน”อย่าได้รีบไป ดื่มยาเสียก่อน”
กุ้ยหมัวมัวรับถ้วยยาจากมือหญิงรับใช้อาวุโสที่อยู่ข้าง กาย แล้วยื่นส่งให้หลินซินหยานโดยตรง “อย่าได้คิดไร้ สาระ รีบดื่มซะ มันทำให้ข้าเหน็ดเหนื่อยเปลืองแรง”
“อิ่ม” หลินซินเยียนส่งเสียงฮึมฮัม ในขณะที่รับถ้วยยา มาถือก็รีบดื่มลงไปอย่างรวดเร็ว ความเด็ดขาดความมุ่ง มั่นของนางนั้นกลับทำให้กุ้ยหมัวมัวตกตะลึง “ท่านวางใจ เถิด ถึงแม้สตรีทั่วทั้งใต้หล้าต้องการทายาทของเขา แต่ ทว่าข้ากลับมาอดอยากเพียงนั้น”
เมื่อกล่าวจบ หลินซินหยานลูบคราบยาที่หลงเหลือตรง มุมปาก เดินผ่านกุ้ยหมัวมัวและออกไปจากที่แห่งนี้
เมื่อเปรียบเทียบสภาพอากาศเมืองเฟิ่งชีกับเขต ชายแดน แน่นอนว่าย่อมต้องดีกว่ามาก แม้จะเป็นในฤดู หนาว แต่กลับไม่ได้หนาวเย็นมากนัก
สามวันติดต่อกัน ที่หลินซินเยียนอาศัยอยู่ในห้อง ตนเองอย่างสงบสุข
โม่จื่อเฟิงส่งคนมามอบแบบร่างอาวุธหน้าไม้พร้อมกับ ป้ายคำสั่งออกนอกจวน ทั้งยังกำชับฝากให้คนมาบอก ถ้า หากนางมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินก็สามารถมาเบิกที่ คลังของจวนอ๋องได้
หลินซินหยานถือป้ายคำสั่งพลิกดูไปมาอยู่นาน สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ? หลอกกันหรือเปล่าเนี่ย?
วันนี้ ในที่สุดนางได้วาดเค้าโครงชิ้นส่วนประกอบตาม แบบร่างหน้าไม้ขึ้นมา เพียงแต่ไม่มีเครื่องมือ ซึ่งหากไม่มี เครื่องมือก็ไม่อาจที่จะทำงานได้ดี
เมื่อนางได้ใคร่ครวญ จึงถือป้ายคำสั่งไปคลังจวนอ่อง เบิกเงินมาหนึ่งร้อยสองตำลึง ในขณะที่นางเตรียมจะออก จากจวน มู่เหอกลับปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน
นางรู้ สามารถให้นางมีอิสระเข้าออกจวนอ่องได้ที่ไหน กัน?
“แม่นางหลิน ในเมืองเฟิ่งชีมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกัน ท่านเป็นสตรีนางหนึ่งที่ไร้ผู้ติดตาม จะให้คนวางใจได้ อย่างไร” มู่เหอกล่าวด้วยวาจาอันชอบธรรม
แต่หลินซินเยียนกลับไม่ได้พูด จะอย่างไรเธอก็ไม่ได้ เตรียมใจ กับการปรากฏตัวของผู้ติดตามคนนี้อย่าง กระทันหันก็ช่างมันเถอะ อีกทั้งอี้เซิงยังอยู่ในจวนอ๋อง ถึง เธอคิดอยากจะหนีก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ มีคนติดตาม ก็ถือว่ามีไกด์เพิ่มแล้วกัน
เมืองเฟิ่งชีเป็นเมืองหลวงของหนานเยว่ ดังนั้นเมื่อ เปรียบเทียบกับเมืองชายแดนแล้วไม่รู้ว่าเจริญกว่าตั้งกี่ เท่า หลินซินเยียนในฐานะที่เป็นชนพื้นเมืองสมัยใหม่
สำหรับเมืองหลวงโบราณยังคงปรารถนาที่จะเที่ยวชม ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รีบร้อน อาศัยในช่วงเวลาที่อากาศดี จึงเริ่มเดินผ่อนคลายไปตามท้องถนน
“แม่นางหลิน ถนนสายนั้นเป็นอัญหมณีและเครื่องหยก เหล่านายหญิงผู้ร่ำรวยในเมืองเพิ่งชีล้วนนิยมไปเยี่ยมชม ที่นั่น หากท่านชอบข้าน้อยจะพาท่านไปชมดีไหมขอรับ?” มู่เหอนั้นเฉลียวฉลาด ทำทางให้กับหลินซินเยียนอย่าง สนุกสนาน
หลินซินเยียนพยักศีรษะและเดินตามเขาไป เมื่อเดินมาถึงปากทางถนนจึงได้ยินเสียงกรีดร้องในฝูงชน เธอตั้งตัว ไม่ทัน ก็ได้ยินเสียงมู่เหอตะโกนจากด้านข้าง ระวัง