ตอนที่ 47 ไม่เคยดูถูกตนเอง
เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขารู้อยู่แล้วดังคาด!
ใต้เท้าอินเถรตรงและเลือดร้อน เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่ เป็นธรรมเช่นบนท้องถนนก็จะลงมือเข้าไปช่วยเหลือใน ทันที คนอัธยาศัยเช่นนั้นย่อมทำให้ผู้คนพินอบพิเทา ไม่ ว่าหญิงสาวบ้านใดที่ได้พบก็อาจไม่สงบใจไว้ได้ น่า เสียดายที่..” หลินซินเยียนพลันเสแสร้งยิ้มอย่างโศกเศร้า ยื่นมือไปเกี่ยวคล้องคอโม่จื่อเฟิง “น่าเสียดายที่หม่อมฉัน นั้นเป็นคนของท่านอ๋อง ดอกไม้ที่แหลกเหลวเช่นหม่อม ฉันจะสามารถทำเรื่องที่ฝันเฟื่องเกินกำลังตนเองได้ อย่างไรกันล่ะเพคะ?
“ดอกไม้ที่แหลกเหลว..” โม่จื่อเฟิงพึมพำคำๆนี้ พลัน กระชากมือนางกุมไว้ในกำปั้นของตน ฟังจากน้ำเสียง ดู เหมือนเจ้าจะไม่พอใจข้าอยู่มากโข รู้สึกเสียใจที่เจ้าเป็น เพียงสาวใช้อุ่นเตียงหรืออย่างไร?
ไม่เสียใจเพคะ ก็ใช่น่ะสิ! ในสายตาของเขา นางเป็น เพียงสตรีกำเนิดจากซ่อง สามารถเป็นสาวใช้อุ่นเตียง ของเขาคงเป็นชาติก่อนสร้างบุญกุศลไว้กระมัง เขาจะมา รู้สึกได้อย่างไรว่านางได้รับความไม่เป็นธรรม?
โม่จื่อเฟิงหัวเราะเบาๆ จับมือนางมาทาบลงที่หน้าอก ของตนพลันกล่าวขึ้นว่า เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดข้าจึงเก็บเจ้า ไว้ข้างกาย? ลองพูดดู หากเจ้าพูดถูกข้าย่อมมีรางวัล
โอ้.. มุมปากหลินซินเยียนประดับด้วยรอยยิ้มแหยียด หยัน สายตากลับกระตุกเชิญชวนเขา ความเงียบครอบงำ ครู่หนึ่ง นางจึงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา ผู้คนกล่าวว่าภรรยามิสู้อนุภรรยา อนุภรรยามิสู้ขโมย ขโมยมิสู้ไม่สามารถ ขโมย แม้แต่ฝูงภรรยาและอนุในเรือนชนชั้นสูงหรือ ขุนนางผู้สง่าผ่าเผย มิใช่อยู่ไปวันๆแบบเดิมดั่งซ่องโสเภนี งั้นหรือเพคะ? นั่นจึงอธิบายได้ว่าเรือนร่างสตรีจากซ่อง โสเภณีมีบางอย่างที่ภรรยาและอนุภรรยาไม่มี.”
ในยามที่สนทนา มือของนางได้ถูกเขาดึงไปใต้เอวของ เขาเลื่อนลงต่ำลงไปอีก นั่นคือส่วนที่ไวต่อความรู้สึก ทว่า ดวงตาของนางกลับยิ่งเศร้าสลด ข้างในเสียงสองกลบ เกลื่อนไว้ไม่มิดจึงเผยความสั่นไหวออกมาบางๆ “แต่ หม่อมฉัน ก็แค่มาจากซ่อง หรือท่านอ๋องริเริ่มที่จะมองหา อยู่? กล่าวกันว่าเหล่าคุณหนูผู้มีฐานะในเมืองเฟิ่งชี หลงใหลท่านอ๋องมิใช่น้อย อย่างเช่นสตรีผู้มีพรสวรรค์ คุณหนูใหญ่สกุลซู แต่ทว่าการที่ท่านอ๋องเก็บข้าไว้ข้าง กายอย่างโดดเดี่ยว ก็แค่เพราะว่าข้าเป็นสตรีที่มาจาก สถานที่เช่นนั้น พฤติกรรมใจกล้าสามารถสนองท่านได้ ทุกเวลาใช่หรือไม่?
ใช่แล้ว ในสายตาของเขา นางก็อีแค่เครื่องมือระบาย อารมณ์งั้นหรือ?
หากเปลี่ยนเป็นสตรีในสกุลดีงาม ย่อมไม่นำตนเอง วางมาดใหญ่โตเป็นสตรีร่ำรวยสูงศักดิ์ มีชุดคำสอน คุณธรรมทั้ง4 แสร้งพรางตัวเป็นดอกบัวขาว พยายาม อย่างยิ่งที่จะทำให้บ้านฝั่งสามีของตนเชื่อถือว่าพวกนาง สามารถกลายเป็นนายหญิงใหญ่ที่ดีของบ้าน
(คุณธรรม 4 ประการ ประกอบด้วย :
หลี่ หมายถึง จริยธรรม ,จารีตประเพณี,การให้ความ
เคารพ, มารยาท
ยื หมายถึง มโนธรรม, ความสันโดษมักน้อย เหลียน หมายถึง สุจริตธรรม, มือสะอาด, ไม่คดโกง ฉือ หมายถึง ยางอาย, ความละอายต่อความชั่ว )
(ไปเหลียนฮัว ดอกบัวขาว กลายเป็นคำสแลงจีนใช้ว่าผู้ หญิง แรด ที่ประพฤติตัวไม่ดี เหลวไหล ดัดจริต ใช้ล้อ เลียนหรือเปรียบเปรยผู้หญิงที่ทำตัวภายนอกดูซื่อใส บริสุทธิ์เหมือนดอกบัว แต่ที่จริงมีพฤติกรรมมัวหมอง)
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเก็บนางไว้ข้างกาย เพราะว่านางมิใช่ คุณหนูผู้ร่ำรวย ไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นสตรีชนชั้นสูง นางสามารถตอบสนองเขาได้ทุกเวลาในฐานะสุดยอด สัญชาตญาณความใคร่ของบุรุษ
ในเมื่อรู้ ก็ทำให้ดี เสียงของโม่จี่อเฟิงนั้นเพี้ยนต่ำอยู่ บ้าง ด้วยเพราะมือของหลินซินเยียนถึงจุดหมายปลาย ทางในที่สุด
ยามกลางวันแสกๆภายในลานจวนแห่งนี้ สตรีที่ สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ล้วนถูกพวกเพศเดียวกัน รังเกียจเหยียดหยาม โดยเฉพาะในสังคมระบอบศักดินา สตรีมีสกุลสุภาพเรียบร้อยคนใดจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ ได้กันเล่า?
แล้วจะมีชายใดที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้กับภรรยาและ อนุที่แสนสุภาพเรียบร้อยของตน? เพราะนางมิใช่ภรรยา หรืออนุฯของเขา เขาจึงปลอดปล่อยเช่นนี้กับนาง
แสงตะวันสาดส่องกระทบลงบนร่างของคนทั้งสอง กลับยิ่งขับผิวของหลินซินเยียนกระจ่างใส แพขนตายาว งอนยาวซ่อนเร้นความไม่ยินยอมและเศร้าสลดในดวงตาของนาง ครั้งนี้นางมิได้หลั่งน้ำตาในที่ที่ถูกกระตุ้น
โชคดี ที่ในร่างของนางเป็นหญิงสาวจากสังคมสมัยใหม่ ถึงแม้ทุกคนในสังคมแห่งนี้ล้วนดูแคลนนาง นางจะไม่ ยอมแพ้ดูแคลนตนเอง
ณ ประตูรั้วด้านหน้าลาน เด็ก6-7ขวบผู้หนึ่งได้นั่ง คุกเข่ามาหนึ่งชั่วยาม จนกระทั่งถึงยามอู่ (ช่วงเวลา 11.00-13.00 นาฬิกา) พวกสาวใช้และองครักษ์ล้วนไป
ทานมื้อเที่ยง มีเพียงเขาผู้เดียวที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ ขยับเขยื้อน เขารู้ว่าหลังประตูรั้วบานนี้ หากผ่านเข้าไปอีกสองตรอก ซอยก็จะเป็นห้องทรงอักษรของอู่เซวียนอ๋อง เขาอยากจะ
ขอร้องท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ให้เขาได้พบกับหลินซินเยียน
สักครั้ง เขาได้ยินว่าหลินซินเยียนถูกนำตัวเขาไปที่ห้องทรง อักษร ดังนั้นเขาจึงมาขอร้องคุกเข่าอยู่ที่นี่ ถ้าหากขอร้อง ไม่สำเร็จ เช่นนั้นเขาก็จะรอให้หลินซินเยียนออกมา
มีองครักษ์อีกสองนายที่กำลังเตรียมไปทานมื้อเที่ยง เห็นอี้เชิงยังคงคุกเข่าอยู่ที่นอกประตูรั้ว อดใจไม่ได้จึง กล่าวโน้มนาว “เจ้าเด็กนี่ยังคุกเข่าอยู่ที่นี่ทำไม? พี่สาวเจ้า เกรงว่าคงออกมาไม่ได้สักพัก เจ้ารีบไปทานข้าวซะ ทาน เสร็จแล้วค่อยมาลองเสี่ยงดวง”
ทำไมถึงออกมาไม่ได้หรือขอรับ? นางเกิดเรื่องหรือ ไม่?” อี้เพิ่งมีความกังวลอยู่บ้าง เพราะเกี่ยวข้องถึงหลินซิ นเยียนเขาจึงรีบร้อนถาม
สององครักษ์มองตากัน ในดวงตามีบางสิ่งที่เมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่จึงจะรู้ หนึ่งในนั้นเห็นอี้เชิงถามอย่างดื้อดึง จึง กล่าวด้วยเสียงสดใส “เจ้าเป็นเด็กไฉนเลยจะเข้าใจเรื่อง ของผู้ใหญ่ เจ้าอย่าได้ถามอีกเลย รอเจ้าเติบใหญ่ก็จะ เข้าใจเอง”
ก่อนหน้านี้องครักษ์ลับข้างกายท่านอ่องได้จัดการล้าง บางองครักษ์ทั้งในที่แจ้งและที่มีดทุกนายที่อยู่โดยรอบ ลานไปหมดแล้ว ภายในลานจึงเหลือเพียงท่านอ่องและ สาวใช้อุ่นเตียงของเขา สองคนนั้นจะทำสิ่งใด เป็นบุรุษ ล้วนย่อมเข้าใจ แต่ว่าเรื่องเช่นนี้จะให้พวกเขาอธิบายให้ เด็กคนหนึ่งฟังอย่างไรกันเล่า?
“แค่ท่านบอกข้า ข้าก็เข้าใจแล้ว!” ทว่าอี้เซิงกลับแน่วแน่ อย่างมาก จับขากางเกงขององครักษ์ผู้นั้นไว้อย่างดื้อดึง “ขอร้องท่าน!”
องครักษ์นายนั้นถูกสั่นคลอนด้วยแววตาที่จริงจังของ เขา แต่มันไม่ดีที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา จึงได้แต่ลูบ ศีรษะปลอบใจ องครักษ์อีกนายเมื่อได้เห็นจึงตบฝ่ามือบน ไหล่ของเขา “เป็นเรื่องที่ยากจะพูดสำหรับเหล่าบุรุษ ข้า จะบอกให้เจ้าเด็กน้อย ในยามนี้เนี่ยนะ พี่สาวของเจ้า กำลังได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง เจ้าคุกเข่าอยู่ที่ นี่ก็ไม่พบคนหรอก”
โปรดปราน …. อีเซิงทบทวนสองคำนี้ด้วยดวงตาอันเบิก กว้างพลันถามว่า นั่นเป็นสิ่งที่ขุนนางนอกทำเนียบมักจะ กระทำกับภรรยาน้อยใช่หรือไม่ขอรับ?
เขาเคยเห็นในยามที่เขาเคยถูกขายให้กับครอบครัวมี ฐานะ ขุนนางฯโรคจิตผู้นั้นมักจะให้เขายืนดูอยู่ด้านข้าง ให้เขาเรียนรู้ พูดว่าจะต้องปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ ยามนั้นเขาลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาร่างที่เต็มไปด้วยเลือดถูก
ทิ้งไว้ที่เนินป่าช้า จากที่น้าชายคนนั้นบอกนั่นเป็นเพราะ
ว่าเขาได้ปะทะกับขุนนางผู้นั้น ยังทำให้แท่งสืบพันธุ์ของ
ขุนนางผู้นั้นบาดเจ็บ ดังนั้นจงถูกทุบตีจนตายแล้วทิ้งไว้ที่ เนินป่าช้า แต่เขาดวงแข็ง นึกไม่ถึงว่ายังไม่ตาย และยังมีชีวิตอยู่
ดังนั้นเขาจึงทราบว่า เรื่องที่เศรษฐีทำกับภรรยาน้อย นั้นไม่ใช่เรื่องดี!
เจ้าดูสิเด็กคนนี้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน นึกไม่ถึงว่าเรื่อง เช่นนั้นก็ยังรู้ โตแล้วนี่ ยังเป็นคนตรงไปตรงมาอีกด้วย ใน ขณะที่องครักษ์สองนายกำลังหัวเราะกันยกใหญ่พลัน เห็นอี้เซิงได้ปล่อยมือออกจากขากางเกงของพวกเขาโดย ฉับพลันแล้วตรงเข้าไปยังภายในลานของจวน ทั้งสอง ตกใจจึงรีบตามไป เจ้าเด็กหน้าเหม็นหยุดเดี่ยวนี้! เจ้าหา เรื่องตายอย่าได้มาเกี่ยวกับพวกข้า!
อี้เซิงสืบเชื้อสายจากชนเผ่าหมานมาครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึง ไม่ได้อ่อนแอเช่นเด็กทั่วไป เขาวิ่งได้อย่างรวดเร็ว การ เคลื่อนไหวมีความยืดหยุ่นอยู่มาก เวลาเพียงชั่วครู่นึกไม่ ถึงว่าจะหลีกเลี่ยงการไล่ล่าขององครักษ์สองนายนั้นมา ได้
ผ่านประตูลานนี้ไปอีกชั้นก็จะเป็นลานห้องทรงอักษร แล้ว ดวงตาเขาแดงก่ำด้วยความโกรธอยากจะวิ่งพุ่ง เข้าไปข้างใน ปากก็ร้องตะโกนเสียงดัง “พี่สาว! พี่สาว! พี่ สาว!”
เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาทำเรื่องเช่นนั้นกับนาง พี่ สาว…เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาทำเรื่องเช่นนั้นกับพี่สาว…. ไม่ ต้องการ…