เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่107 การคัดเลือกก่อนเข้าสำนัก
หลินซินเยียนมองเด็กหนุ่มที่เดินมาหาตนเองตรงหน้า อย่างตกตะลึง มือที่ถือถ้วยชาอยู่ลืมวางลง สักพักถึงจะ ได้สติกลับมา “เจ้าแน่ใจนะว่าจะรวมกลุ่มกับข้า สำหรับ ศาสตร์ทั้งห้านั้นข้าอาจจะผ่านไปได้ไม่ราบรื่นนะ”
นางทำได้ นางแค่เพียงเอาเปรียบผู้ผลิตอาวุธนิดหน่อยก็ เท่านั้น
“ใครบอกว่าท่านต้องทำได้กัน เมื่อครู่ข้าก็พูดไปแล้ว ไม่ใช่หรือ ท่านตามข้ามาก็พอ ข้าทำได้ก็พอแล้วไม่ใช่รึี” เด็กหนุ่มคนนั้นพยักหน้าให้กับหลินซินเยียนโดยปราศจาก คำพูดใดๆ โดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างแม้แต่น้อย และก็ไม่เปิดโอกาสให้หลินซินเยียนปฏิเสธตนเองอีกด้วย “ข้าชื่ออู๋หมิง ดูแล้วท่านน่าจะอายุน้อยกว่าข้า ท่านจะเรียก ข้าว่าพี่อู่ก็ได้”
“พี่ชายอู่หรือ” มุมปากของหลินซินเยียนกระตุก “เช่นนั้น ข้าเรียนท่านว่าขุนนางอู่ได้หรือไม่”
“ขุนนางอู่หมายถึงอะไร” อู่หมิงได้ยินเช่นนั้นก็ย่นคิ้ว
“อ่าอ่า…”หลินซินเยียนหัวเราะเสียงแห้งสองครั้ง โบกมือ ไปมา “ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก อายุของพวกเราไม่ ได้ต่างกันมาก เรามาทำความรู้จักชื่อกันดีกว่า ข้าชื่อหลินซิ นเยียน นางชื่อเอ่อร์ยา”
จากการที่เขาแสดงตัวว่าต้องการช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มหลินซินเยียนรู้สึกว่าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ บุรุษชุดดำคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร ให้นางจัดการเอง เช่นนั้น นางก็นอนรับชัยชนะได้เลยสิ
ทีแรกก็คิดว่ามีอู่หมิงที่ไม่เปิดหูเปิดตาคนนี้ก็พอแล้ว ไม่ คิดเลยว่าเมื่ออู๋หมิงนั่งลงก็มีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นสวมเสื้อนักปราชญ์มีสีสันสวยงาม มองแล้วก็ดู ไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่เมื่อดูอย่างละเอียดแล้วทุกๆฝีด้ายของเสื้อ เขาดูจะผ่านการปักมาอย่างประณีต ความหมายโดยนัย ของเสื้อผ้าที่ไม่ฟุ้งเฟ้อของเขานั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ คนดูแคลนเขาไม่ได้
เขาเดินมานั่งด้านซ้ายมือของหลินซินเยียน ยิ้มแล้วพูด ว่า “ข้ายินดีที่จะอยู่กลุ่มเดียวกับแม่นาง และหวังว่าแม่นาง จะไม่ปฏิเสธ ยิ่งคนเยอะกำลังก็ยิ่งมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ เก่งที่สุดเสมอไปแต่สำหรับเรื่องศาสตร์ทั้งห้านั้นอาจจะไม่ เป็นสองรองใคร”
“ข้าไม่ได้พูดหรือว่าข้าคนเดียวก็พอแล้ว ใครเชิญเจ้ามา ร่วมกลุ่มหรือ เจ้าตั้งใจจะเข้ามาถ่วงกลุ่มหรือไม่” หลินซิน เยียนไม่ได้พูดอะไร อู่หมิงชิงพูดก่อน สีหน้าของเขาไม่ ค่อยเป็นมิตรขณะจ้องคนที่นั่งอยู่ข้างๆหลินซินเยียนเลย ชายคนนั้นดูดีเกินไปหน่อย ชายคนหนึ่งที่หน้าตาแบบนี้ คง ต้องการเด็ดดอกไม้กับสาวๆในหอนางโลมใช่หรือไม่
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลินซินเยียนกระตุก เมื่อครู่ที่ คนเหล่านั้นยิ้มเยาะนางที่ไม่มีคนมารวมกลุ่มด้วย เมื่อมีคน สองคนนี้มาร่วมกลุ่มด้วยแล้ว เหมือนเป็นการตบหน้าพวกเขาเลย ดังนั้นบนใบหน้าของหลินซินเยียนก็ปรากฏรอยยิ้ม “อย่างนี้นะ ข้าไม่ได้ถือสาที่จะมีคนเพิ่มมาอีกคน แต่ว่าดู แล้วเพื่อนร่วมทางของข้าดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ไม่ อย่างนั้น ท่านไปดูทางนั้นก่อน ท่านดูกลุ่มเหล่านั้นที่ดู เหมือนกำลังปรึกษากันอยู่”
สำหรับผู้ชายที่เหมือนจะเติบโตมากับสิ่งอัปมงคลนั้น หลินซินเยียนเองก็สังหรณ์ว่าต้องระวัง ถ้าจะโทษก็ต้อง โทษโม่จื่อเฟิงที่ให้นางมีความทรงจำที่ลึกซึ้ง ยิ่งเป็นผู้ชาย ที่ดูดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ปลอดภัย ถ้าเขาไม่ทำตามผู้หญิง ผู้หญิงก็ทำตามเขาเพราะเขาหล่อ ดังนั้น โทษทีนะ สำหรับ หลินซินเยียนแล้วนางยังมีอคติกับผู้ชายที่ดูดีอยู่ดี
“ไม่ ข้าหวังว่าจะอยู่กลุ่มเดียวกับแม่นาง ข้าบริสุทธิ์ใจนะ อีกอย่างข้าจะต้องช่วยท่านได้แน่ ” ชายในชุดนักปราชญ์ นำแผ่นหนังแกะหนึ่งผืนออกมาจากอกเสื้อ นำแผ่นหนัง แกะออกมากางให้เห็นแผนที่ แต่ว่านั่นไม่ใช่แผนที่ธรรมดา แต่เป็นแผนที่คร่าวๆของทิศทางศาสตร์ทั้งห้านั่นเอง “แผนที่นี่ข้าเป็นคนวาดขึ้นมาเอง นับได้ว่าเป็นความ สามารถของข้าเอง”
สำหรับแผนภูมิของศาสตร์ทั้งห้านั้นหลินซินเยียนไม่รู้ อะไร เมื่อมองปราดเดียวก็รู้สึกสับสนว้าวุ่น จนกระทั่งแวว ตาของอู่หมิงนั้นก็เปลี่ยนไป มีอของนางลูบไล้แก้วชา แล้ว ถามอีกว่า “เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะแลกกับค่าอาหารเช้า เช่นนั้นข้าถามหน่อย เหตุใดท่านจึงอยากอยู่กลุ่มเดียวกับ
ข้า”
ชายคนนั้นยิ้ม ในรอยยิ้มของเขานั้นราวกับว่ามีแรงสั่น สะเทือนของน้ำภูเขาทันที ไม่พูดไม่ได้ ชายคนนี้นอกจาก โม่จื่อเฟิงแล้ว ชายคนนี้แหละที่หน้าตาดีที่สุดที่หลินซิน เยียนเคยพบมา
“เพราะว่าข้าคิดว่าแม่นางสวยมาก เป็นเรื่องของความรัก ความสวยงามของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจที่จะ เข้าร่วมกลุ่มกับแม่นาง” ชายคนนั้นยิ้มไปตอบไป โชคดีที่ ในโรงเตี้ยมนี้แทบทั้งหมดเป็นผู้ชาย ไม่เช่นนั้นรอยยิ้มนี้ คงจะทำให้ผู้หญิงหลายๆคนใจละลาย
“เออ..ในสังคมที่มีแนวคิดล้าสมัยแบบนี้นั้น สำหรับผู้ หญิงแล้วคำพูดแบบนี้ถือเป็นคำพูดที่ดูไม่มีมารยาทอย่าง ไม่ต้องสงสัย แต่ว่าโชคดี จิตวิญญาณของหลินซินเยียน ที่แท้จริงนั้นยังเป็นของคนในยุคปัจจุบัน ดังนั้นคำพูดที่ ชวนคุยเช่นนี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับนางมาก
เอ่อร์ยาที่อยู่ข้างๆได้ยินเช่นนั้น ก็รีบยกขาขึ้นมา หมาย จะคุ้มครองชื่อเสียงของเจ้านายของตนเต็มที่ “ท่านผู้นี้พูด เช่นนี้จะให้ข้าทนไว้ได้อย่างไร”
ชายคนนั้นยิ้มอีกครั้ง “ข้าพูดความจริงก็เท่านั้น ไม่ได้ รู้สึกว่ามีอะไร สรุปแล้วก็คือพูดจากใจจริงนั้นดีกว่าพูด อย่างคนหลอกลวงมากนัก”
เอ่อร์ยาอยากจะต่อปากต่อคำกับเขา หลินซินเยียนกลับ ดึงมือของนางไว้ ส่ายหัว “ช่างเถอะ มีความจำเป็นอะไรที่ จะต้องทะเลาะกันหรอก ที่จริงข้าไม่ได้ว่าอะไรถ้าจะมีคน เพิ่มมาอีกหนึ่งคน แต่ข้าแค่อยากถามความเห็นของอู่หมิงก็เท่านั้น”
ชายคนนั้นหันหน้ากลับมามองอู๋หมิง “จะทำอย่างไร ก็ตามใจ หัวข้อของการคัดเลือกศิษย์ครั้งหน้าจะเป็นอะไร ก็ไม่รู้ ผูกมิตรไว้ก่อนดีกว่าสร้างศัตรูไม่ใช่หรือ ท่านว่าถูก ไหม”
อู่หมิงลังเลใจ ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของเขากวาดมอง แผ่นหนังแกะที่อยู่ในมือของเขา ถึงแม้ว่าสีหน้าจะไม่ค่อย เป็นมิตร แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็พยักหน้า ก็ถือว่าเป็นการเห็น ด้วยกับการรับเขาเข้ามา
พวกเขาเพิ่งจะจับกลุ่มกันเสร็จ เมื่อมองดูรอบๆโรงเตี้ยม ก็พบว่าคนอื่นก็แทบจะจับกลุ่มกันเสร็จหมดแล้ว บุรุษชุด ดำเรียกเพื่อนร่วมเดินทางบางคนที่เป็นตัวแทนเสียงดังเพื่อ เริ่มรับผ้าสีดำหลังจากนั้นทุกคนถูกพาขึ้นรถม้า
บนรถม้า หลินซินเยียนอดไม่ได้ที่จะคิดว่าคนเยอะขนาด นี้ จะต้องใช้รถม้าสิบกว่าคันถึงจะบรรทุกได้หมด ขบวนรถ ม้าสิบกว่าคันไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดึงดูสายตา ของคนรอบๆ ศาลาความลับแห่งสวรรค์นั้นที่สุดแล้วจะใช้ วิธีใดในการจัดการปัญหาเหล่านี้นะ
ที่จริงคิดอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงโรงเตี๊ยมอาจจะมีทาง ลับก็ได้ เพียงแค่เส้นทางลับนั้นจะไปทางไหนก็ไม่รู้
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม บุรุษชุดดำก็คำรามเสียงดัง
“ถึงแล้ว เชิญทุกท่านดึงผ้าออก”
ทุกคนทยอยเก็บผ้าหลังจากนั้นถึงได้พบว่าตอนนี้พวกเขาอยู่กลางหุบเขาแล้ว หุบเขามีหมอกจัด สามารถมอง เห็นชัดเจนได้เพียงแค่สามส่วน บนยอดเขามีอากาศมืด ครึ้ม มองจากไกลๆแล้วไม่เห็นอะไรเลย เมื่ออยู่ท่ามกลาง หมอกหนาเช่นนี้ แม้แต่งของที่จะใช้แยกทิศทางยังไม่มี ถ้า จะเดินออกไปถ้าโดยไม่ตายนั้นก็คงเป็นเรื่องไม่ง่ายแน่
เข้าร่วมการคัดเลือกเป็นศิษย์ใหม่นั้นยากเช่นนี้แหละ เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นจุดที่ทำให้ศาลาความลับแห่งสวรรค์ คงความรุ่งโรจน์มาเป็นระยะเวลากว่าร้อยปีแล้ว
หลินซินเยียนพลันนึกถึงว่ายังดีที่ตอนเริ่มนั้นที่นางอยู่ที่ เมืองเฟิ่งซีและได้รับจดหมายที่เทียนหยุนจือถือมาที่เป็น ใบเบิกทาง ไม่เช่นนั้นการมาเข้าร่วมการคัดเลือกเช่นนี้นาง จะต้องรับมือไม่ได้แน่นอน
“โครม”
บุรุษชุดดำตีฆ้องหนึ่งครั้ง ประกาศให้รู้ว่าเริ่มการนับเวลา ทุกคนจับกลุ่มตามที่จัดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ละคนก็สืบเสาะ เส้นทาง มีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มนำเข็มทิศขึ้นมาคำนวณ ช่วงเวลาหนึ่งนั้นด้านหน้าสนามประลองมองขึ้นไปแล้วเห็น ไฟสีแดงเพลิงบ้าง