ตอนที่ 121 ความโกรธจากโม่จื่อเฟิง
“หยุนชิงน้อยตั้งใจที่จะหวังดีกับเจ้า เป็นเรื่องดีที่ หลายๆคนก็ไม่กล้าจะนึก เจ้ากลับทำปฏิเสธทำให้หยุน ชิงน้อยต้องอับอาย ถ้าไม่ให้เจ้าลิ้มรสความทุกข์ ทรมานเสียบ้าง เจ้าก็คงจะไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” เมื่อได้ยินคำหยิ่งผยองของเขา จึงยิ่งโกรธจนตัวสั่น เทิ่ม
“อย่างไรกัน นางวิ่งมาตามเอาใจข้า ข้าไม่ชอบ ก็ นับว่ารังแกแล้วหรือ? นางแต่งไม่ออกหรืออย่างไร? จึง ได้กระตือรือร้นเอาอกเอาใจบุรุษขนาดนี้? คำพูดของ โม่จื่อเฟิงร้ายกาจอยู่เสมอ เพียงไม่กี่ประโยคที่เขา กล่าวออกมาล้วนทำให้ผู้คนรอบๆต้องตกตะลึง สำหรับ สตรีแล้วชื่อเสียงและหลักคุณธรรมมีความสำคัญ อย่างไร… แต่เขากลับพูดให้เทียนหยุนชิงกลายเป็น สตรีที่แต่งไม่ออกอีกทั้งยังเป็นสตรีที่ไล่ตามเอาใจบุรุษ เช่นนี้
ถ้าหากประโยคนี้เข้าถึงหูเทียนหยุนชิง ย่อมโกรธ
จนอกแตกตายแน่นอน
หลินซินเยียนกลับเกิดความเห็นอกเห็นใจเทียน หยุนซึ่งอยู่บ้าง ที่ต้องมาพบเจอกับโม่จี่อเฟิงผู้ไร้หัวใจ แต่ก็นับว่าเป็นการลงโทษความดื้อดึงของนางล่ะนะ
หลายคนที่กำลังถืออาวุธในมือรุมล้อมโม่จื่อเฟิง เดินย่างสามขุมพุ่งเข้าไป เมื่อดวงตาพลันเห็นดาบยาวที่กำลังจะตกบนร่างของโม่จื่อเฟิง ก็เห็นคนผู้หนึ่งที่เร่ง รุดวิ่งมาจากที่ไกลๆ ผู้ที่กำลังวิ่งมานั้นก็คือนางเอกของ เรื่องนี้ เทียนหยุนชิงนั่นเอง
“หยุดมือ! นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?” เทียนหยุน ชิงเข้าขวางที่เบื้องหน้าโม่จื่อเฟิง ศิษย์ภายในหลายคน จึงหยุดลงมือ
“น้องหยุนชิง เจ้านี่มันรังแกผู้คนมากเกินไป เจ้า เป็นดั่งเทพธิดาของพวกเรา พวกเราทนดูไม่ได้ที่เจ้าจะ ถูกเขาทำให้ต่ำตมเช่นนี้” ชายผู้เป็นหัวหน้าวัยเพียง ยี่สิบกว่า ยามที่มองเทียนหยุนชิงนั้นสายตาเขาพลัน เร่าร้อน ไม่คิดปกปิดความเทิดทูนเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องของข้า พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่ง!” เทียนหยุนชิง นัยย์ตาแดงก่ำ กลับขัดขวางอยู่ที่เบื้องหน้าของโม่ จื่อเฟิงอย่างดื้อรั้น
“แต่เมื่อสักครู่นี้เขาเพิ่งจะพูดว่า…ศิษย์ฝ่ายในผู้ เป็นหัวหน้ากำลังอยากจะพูด ก็ได้ยินเทียนหยุนชิง คำรามเสี่ยงต่ำตัดบทของเขา
“ข้าได้ยินหมดแล้ว! “หลังจากที่เทียนหยุนชิง กล่าวประโยคนี้ออกมา หยดน้ำตาไหลอาบใบแก้ม นาง พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดูแล้วช่างน่าสงสารเสีย หลือเกิน “แต่ว่า ข้าไม่สน!”
เมื่อเทียนหยุนชิงร้องไห้กลาวกล่าวประโยคนี้ออก มา ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นล้วนเงียบกริบ แม้แต่ศิษย์ ฝ่ายในหลายคนก็ล้วนกลั้นความไม่พอใจเอาไว้โดยไม่พูดออกมา
เทียนหยุนชิงยกแขนเสื้อเช็ดปาดน้ำตา พลัน ตะโกนว่า “ต่อแต่นี้ไปพวกเจ้าก็อย่ามายุ่งเรื่องของข้า อีก ถึงแม้ข้าจะแต่งไม่ออก มันก็ไม่ใช่กงการของพวก เจ้า!”
หลายๆคนถูกนางตะโกนใส่ก็รู้สึกไม่พอใจ ชายผู้ เป็นหัวหน้ากลุ่มถอนหายใจเสียงต่ำในขณะที่เรียก พรรคพวกหันกลับเดินจากไป
ผู้คนที่มุงอยู่รอบๆเมื่อเห็นฉากนี้ต่างก็รู้สึก กระอักกระอ่วน เพราะล้วนแต่เป็นคนพรรคเดียวกัน หลังจากส่งสัญญาณทางสายตาให้กันและกันก็รีบ หลบฉากออกไปด้วยความรวดเร็ว เหลือเพียงเทียนหยุ นชิงและโม่จื่อเฟิงอยู่สองคน
โม่จื่อเฟิงขมวดคิ้วมุ่น ขณะกำลังจะเดินจากไป เทียนหยุนชิงก็ยื่นมือเข้ามาขวางเบื้องหน้าเขาอย่าง กะทันหัน “สนุกมากนักหรือ! ที่เจ้าพูดเมื่อสักครู่นี้ข้า ล้วนได้ยินหมดแล้ว แต่ว่าข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่าง แม้พวกเรารู้จักกันเพียงไม่นาน จึงยังไม่ทันรู้นิสัยใจคอ ดี ข้าเองเคยถามท่านพ่อ กล่าวว่าสกุลท่านยังมีแต่ง ภรรยา ฉะนั้นถึงวันนี้ท่านไม่แต่ง สักวันท่านก็มิอาจ ปฏิเสธข้าได้อยู่ดี ท่านกล้ารับประกันหรือไม่ว่าวันหน้า ท่านจะไม่ตกหลุมรักข้า?”
ดวงอาทิตย์ยามอัสดงตกพ้นขอบภูเขา สีท้องฟ้า เริ่มมืดครึ้มลง แต่ดรุณีวัยแรกรุ่นที่กำลังเชิดดวงหน้ากล่าววาจากลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเบื้องหน้านั้นสว่างไสว
หากคิดโดยปราศจากอคติ ในส่วนของความกล้า หาญที่จะเผชิญกับความรักของนาง เป็นสิ่งที่หลินซิน เยียนทั้งอิจฉาและชื่นชมอย่างหาใดเปรียบ
ดรุณีวัยแรกรุ่นกล่าวประกาศเช่นนี้ ตราบใดที่เป็น บุรุษสักคนก็ยากที่จะไม่หวั่นไหว
เพียงแต่น่าเสียดาย ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านางคือโม่ จื่อเฟิงผู้ไร้หัวใจ..
“แล้วจบแล้วหรือยัง?” โม่จื่อเฟิงไม่สบอารมณ์ อย่างมากจึงเลี่ยงออกมาจากนางและเดินตรงไปหา หลินซินเยียน
แผ่นหลังหลินซินเยียนเหยียดตรง ทันใดนั้นเกิด ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างจึงคิดจะวิ่งหนี แต่ทว่า ความเร็วของนางไฉนเลยจะเทียบเท่ากับโม่จื่อเฟิง ขณะที่เพิ่งจะเริ่มวิ่งหนีได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกโม่จื่อเฟิงรั้ง แขนไว้
โม่จื่อเฟิงยื่นมือออกมารั้งนางเข้าไปไว้ในอ้อมกอด การกระทำที่ดูสบายๆของเขากลับมีความเผด็จการ ไม่มีช่องว่างให้นางต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
เทียนหยุนชิงที่ตามมาทันเห็นฉากนี้เข้า พลันตก ตะลึง เมื่อได้สติกลับมาจึงชี้ไปที่หลินซินเยียน “นาง.นาง…”
“นางเป็นผู้หญิงของข้า” โม่จื่อเฟิงกล่าวออกมาหนึ่งประโยค เมื่ออยู่ ณ เบื้องหน้าของเทียนหยุนซึ่ง จัง งับเข้าที่ริมฝีปากของหลินซินเยียน การกระทำของเขา ทั้งหยาบคายและเด็ดขาด
ชั่วพริบตานั้นหลินซินเยียนถึงกับเบิกตาโพลง สิ่ง ที่เห็นในสายตาของนางคือ เทียนหยุนชิงไม่เต็มใจที่ จะยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้ ยอดเยี่ยมมาก โม่ จื่อเฟิงไม่เพียงทำให้นางกลายเป็นสัตว์เลี้ยง ยังใช้นาง กลายเป็นเครื่องมือแก้ไขความยุ่งยากอีกด้วย เขาไม่ กังวลสักนิดว่านี่จะเป็นการยั่วยุเทียนหยุนชิงและ เป็นการสร้างศัตรูให้แก่นาง ชีวิตในศาลาความลับแห่ง สวรรค์*ของนางจะผ่านไปได้ด้วยดีหรือไม่?
หลังจากที่อ้อยอิ่งอยู่เนิ่นนาน โม่จื่อเฟิงจึงปล่อย นางออก หลังจากนั้นจึงจูงมือนางเดินไป
หลินซินเยียนหลังแข็งที่อ ไม่กล้าหันกลับไปมองดู ใบหน้าโศกเศร้าของเทียนหยุนชิง
จนกระทั่งเลี้ยวพันหัวมุมถนน หลินซินเยียนสะบัด มือเขาออกในทันที พลันกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ท่าน อ๋อง ตรงนี้พ้นสายตานางแล้วล่ะเพคะ ท่านอาจารย์คง กำลังรอหม่อมฉันกลับไปทานมื้อค่ำอยู่ จึงมิอาจล่าช้า ได้”
เมื่อกล่าวจบนางก็เดินจากไป ที่ด้านหลังกลับมี เสียงของโม่จื่อเฟิงสวนขึ้นมาทันควัน “อย่างไรกัน โมโหอย่างงั้นรึ?”
หลินซินเยียนเดินต่อโดยมิหันหลังกลับ เพียงตอบออกมาด้วยความเฉยเมย “มิกล้าเพคะ”
“มิกล้า…เช่นนั้นก็แสดงว่าโมโหแล้วสินะ” โม่ จื่อเฟิงเร่งรุดเดินตามทันและคว้าร่างนางให้หันกลับมา พลันกดลงบนไหล่ของนางและบังคับให้นางหันมามอง เขา “อย่างไรกัน จะโทษที่ข้าสร้างศัตรูให้เจ้างั้นหรือ?”
” หลินซินเยียนก้มหน้างุดโดยไม่กล่าวอะไร ภายในใจนั้นกลับโศกเศร้าอยู่หลายส่วน ดูเหมือนเขา จะรู้ทุกอย่าง เขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่าการทำเช่นนี้จะชีวิต ของนางหลังจากนี้ผ่านไปอย่างยากลำบาก แต่เขาก็ยัง เลือกที่จะทำเช่นนี้
โม่จื่อเฟิงยื่นมือออกมาแล้วใช้เรียวนิ้วชี้เชยคาง ของนางขึ้นมา ในขณะที่จับเนื้อนุ่มๆที่คางของนางก็ กล่าวออกมาว่า “แม้จะไม่มีเปิ่นหวาง นางก็คงไม่กลาย เป็นสหายของเจ้าหรอก เดิมทีเจ้าก็เคยเป็นสตรีของ เป็นหวาง เป็นหวางไม่กล่าวอะไรผิดไปเสียหน่อย จะว่า ไปแล้ว ถึงแม้นางจะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะศัตรู แต่ ไม่ใช่ว่ายังมีเทียนหยุนจือที่คอยคุ้มครองเจ้าอยู่หรือไง กัน?”
ขณะที่กล่าวถึงเทียนหยุนจือ น้ำเสียงของโม่ จื่อเฟิงเย็นเสียดแทงถึงกระดูก ความกดดันอากาศโดย รอบลดลงอย่างมาก
ในชั่วพริบตานั้น หลินซินเยียนพลันกระจ่าง กัด เรียวปากถามย้ำ “นี่ท่านจงใจ!”
“จงใจ…เจ้าหมายถึงการจงใจสร้างศัตรูให้แก่เจ้าการสร้างความวุ่นวายให้แก่เจ้า หลังจากนั้นก็ทำให้ เทียนหยุนจือและเทียนหยุนชิงเกิดความแตกแยกกัน เพราะเจ้าเป็นสาเหตุงั้นรึ? ถ้าหากเป็นอย่างที่กล่าวมา เป็นหวังนั้นก็เจตนาจงใจโดยแท้จริง ใครใช้ ….” โม่ จื่อเฟิงโน้มมายังเบื้องหน้าของนาง ริมฝีปากบางๆอยู่ ห่างจากเขาเพียงแค่นิ้วเดียว ใครใช้ให้เทียนหยุนจือ ไม่มีตาม้าตาเรือ แม้กระทั่งสตรีของเปิ่นหวางก็ยังกล้า มาจับจอง”
หลังจากที่เขากล่าวจบ ริมฝีปากบางพลันเคลื่อน ลงมาประกบ ในครั้งนี้ การกระทำของเขายิ่งหยาบคาย ขึ้นกว่าครั้งก่อนหลายเท่า
เมื่อจุมพิตนั้นสิ้นสุดลง ริมฝีปากของหลินซินเยียน ก็บวมแดงขึ้นมาทันที นางบิดคิ้วท้าทายสายตาของเขา เพียงได้ฟังคำกล่าวอันเย็นชาของเขา “จากนี้ไป หาก ทำให้เป็นหวางรู้ว่าเจ้ายั่วยวนบุรุษอื่นอีก มันจะไม่ใช่ เพียงแค่นี้หรอกนะ”