ตอนที่ 118 เราไปขโมยได้
เธอทำให้เซียวฝานได้เชิดหน้าชูคออย่างว่าง่าย คน เอาแต่ใจเช่นนี้ก็กลับกล้าแหยมเทียนหยุนจือ ในขณะนั้น เธอยังไม่รู้ว่าในศาลาความลับแห่งสวรรค์ ในบรรดาเด็ก หนุ่มที่กล้าพูดแบบนี้กับเทียนหยุนจืออยู่ ก็มีแต่เซียวฝาน เท่านั้น เพราะว่าเซียวฝานก็เป็นคนที่พรสวรรค์ เขาที่มี ความมั่นใจและเก่งกาจก็มักจะเอาแต่ใจกันอยู่แล้ว
เมื่อโดนเซียวฝานพูดขัด รอยยิ้มบนใบหน้าของเทียนหยุ นจือก็กลายเป็นแข็งที่อ เขายกน้ำชากระดูกขึ้นอย่างเก้อ เขินแล้วก็นั่งเงียบไป
เมื่อบรรยายกาศเริ่มอึดอัดขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดเสียงอึกทึก ครึกโครมขึ้น พวกเขาหันหน้าไปมองที่ป่าเหมย เห็นชายแก่ คนหนึ่งพาลูกศิษย์คนสองเดินมา ชายแก่คนนั้นไว้หนวด ขาวราวกับหิมะ เดินหลังค่อม รอยย่นบนตัวของเขาก็กลับ ไม่มีสักรอย ดูเหมือนว่าเป็นคนแก่ที่ให้ความสำคัญกับ สุขภาพอย่างมาก
” นี่คือผู้อาวุโสสามท่านหยิ่น” เซียวฝานอธิบายให้หลิน ซีนเยียนฟัง ” คนที่ตามมาด้วยเป็นศิษย์คนโตกับศิษย์คน รอง เจ้าคิดว่า พวกเขาเหมือนเจ้าหัววัวกับหน้าม้าหรือไม่?”
หลินซีนเยียนชะงักไปครู่หนึ่งก็มองอย่างละเอียด ใบหน้า
ของสองคนนั้นรู้สึกคล้ายอย่างมาก ก็อดไม่ไหวที่จะส่ง
เสียงหัวเราะออกมา “ศิษย์พี่ ฉายาที่เจ้าแต่งให้ช่างเหมาะ
สมเหลือกัน”
“หรือไม่จริง? เจ้าหัววัวกับหน้าม้าพวกมันไม่ได้เรื่องเลย สร้างอาวุธก็ทำไม่ได้ ค่ายกลก็ไม่ชำนาญ มีสิ่งเดียวที่เก่งก็ คือขี้ประจบสอพลอ โดยเฉพาะศิษย์คนโต เอ่อ ไอ้คนหน้า เหมือนวัวนั่นอะ เจ้าชู้มาก สาวใช้ในศาลาความลับแห่ง สวรรค์หลายคนเคยโดนมันลวนลามมาแล้ว ศิษย์น้องงาม ขนาดนี้ ต่อไปมันต้องมาก่อกวนเจ้าแน่ แต่เจ้าไม่ต้องกลัว หากมันกล้ามา ข้ากับศิษย์พี่รองของเจ้าจะไล่ตะเพิดให้มัน ร้องเรียกพ่อเรียกแม่ไม่ถูกเลย”
“เอ่อ…ได้” หลินซีนเยียนพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้า อ่อนโยนอย่างมาก ในเวลาเดียวกับหัวใจก็รู้สึกอบอุ่น ยิ่ง นานวันเข้าเธอก็ยิ่งชื่นชอบคนของผู้อาวุโสสี่ อาจารย์ที่ไม่ เคร่งครัดกลับชอบปกป้องคนที่อยากปกป้อง ศิษย์พี่ใหญ่ที่ สง่าผ่าเผย ส่วนศิษย์พี่รองที่เป็นคนขี้อายแต่จิตใจดี
เมื่อเซียวฝานเห็นเธอยิ้มอย่างเงียบๆ ก็คิดว่าเธอไม่สนใจ ในคำพูดของตนเองก็เอ่ยปากกำชับอีกครั้ง ” ศิษย์น้อง เจ้า อย่าคิดว่าศิษย์พี่กำลังล้อเล่นอยู่ ตอนนี้ในศาลาความลับ แห่งสวรรค์นอกว่าหยุนชิงแล้วก็มีเจ้าที่เป็นศิษย์ผู้หญิง หากมันสนใจเจ้าขึ้นมา เจ้าอย่าทนที่จะพูดออกมาเด็ด ขาด”
หลินซีนเยียนหัวเราะ วางแก้วชาลงแล้วเอ่ย ” ศิษย์พี่ วางใจ ข้ารู้ดี หากเขากล้ามาก่อกวนข้า ข้าจะรีบบอกศิษย์ ทันที”
“เช่นนั้นก็ดี” เซียวฝานพยักหน้าอย่างรู้สึกพอใจ เมื่อเจ้าหัววัวกับหน้าม้าประคองท่านหยิ่นมานั่งตรงโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าสุด เด็กรับใช้ก็รีบรินชาร้อนให้เขาทันที เขาให เจ้าหัววันนำแผนที่ไปแขวนบนต้นเหมยต้นหนึ่ง เมื่อรู้ว่าเขา จะเริ่มสอนแล้วก็เงียบลงทันที
หลินซีนเยียนขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ กลับ ไม่เห็นเงาของโม่จื่อเฟิงเลยแม้แต่น้อย เขาก็เป็นศิษย์ ฝ่ายในที่เข้าสำนักมาใหม่ ตามกฎแล้วในเวลาแบบนี้เขาก็ ควรจะมา แต่เขากลับไม่มา?
ในขณะที่เธอสงสัย เสียงของท่านหยิ่นก็ดังขึ้นมาจาก ด้านหน้า
“เดือนที่แล้ว ข้าได้ฝากค่ายกลนี้เอาไว้ ผ่านมาเดือนหนึ่ง แล้ว มีใครที่คิดวิธีทำลายค่ายกลนี้ออกแล้วหรือไม่?” ท่าน หยื่นลูบหนวดไปพลาง แล้วเอ่ยถามไปพลาง สายตาก็ กวาดมองหน้าของทุกคน ตอนที่มองที่หลินซีนเยียน ใน สายตากลับฉายแววเหยียดหยามสักพักก็หายไป
สายตานั้นทำให้หลินซีนเยียนรู้ว่า ชายแก่คนนี้ก็ชอบ ดูถูกผู้หญิงเหมือนกัน เมื่อวานเธอได้เลือกถูกแล้ว ไม่ได้ให้ เฟิงซื่อไห่พาไปพบกับผู้อาวุโสสามที่อารมณ์ร้าย
เหล่าศิษย์ที่นั่งติดกับป่าเหมยรู้สึกกระวนกระวายใจ มีคน หนึ่งที่ลุกขึ้นมาตอบก่อน หลังจากที่ประสานมือคำนับท่าน หยื่นแล้วก็เริ่มอธิบายค่ายกลนั้น ในขณะที่เขาพูดแล้วท่าน หยิ่นก็พยักหน้า แต่หลังจากที่เขากล่าวหมดแล้ว ท่านหยิ่ นกลับโบกมือแล้วแค่นเสียง “เริ่มแรกยังพอได้เป็นทางที่ สามารถจะรอดไปได้ แต่หลังๆมา มีแต่ตายสถานเดียว
เมื่อศิษย์คนนั้นได้ยินก็นั่งลงอย่างรู้สึกเสียหน้าคล้ายกับไม่ยังยอม
หลังจากนั้นก็มีศิษย์คนที่สองลุกขึ้นแล้วพูดความคิดของ ตนเองออกมา แต่ท่านหยิ่นกลับไม่พอใจ เมื่อคนที่สอง กล่าวจบ ทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะเสียงดัง แล้วตวาดใส่ ” ไม่ ได้เรื่องกันทั้งนั้น ในเวลาหนึ่งเดือนก็ไม่มีใครสามารถคิด วิธีทำลายค่ายกลออกอย่างได้ถูกต้องเลยสักคนหรือ?”
อารมณ์ร้ายแบบนี้เหมือนกับที่เขาว่ากันมาเลยไม่มีผิด เมื่อตวาดออกมาก็ทำให้ศิษย์ที่ขี้ขลาดตกใจกลัวจนตัวสั่น ระริกระรี้
หลินซีนเยียนรู้สึกแปลกใจ เมื่อสามารถเป็นศิษย์ฝ่ายใน ได้แล้วก็มีแต่คนที่เก่งกันทั้งนั้น แต่ทำไมหลังจากที่โด นท่านหยิ่นตวาดใส่กลับมีคนตกใจกลัวจนตัวสั่น? หลินซีน เยียนไม่มีเวลามานั่งสงสัยได้นาน เพราะว่าในขณะนั้น เธอ รู้สึกตื่นตระหนก เมื่อเห็นท่านหยิ่นรับหวายที่เด็กรับใช้ส่ง มา
เขายืนถือแส้อยู่ในมือ แล้วเริ่มเดินจากโต๊ะที่อยู่ริมป่าเหม ย ชี้ไปยังคนหนึ่ง ” มา เจ้าพูดก่อน หากพูดถูกก็ไม่ได้ต้อง ลิ้มรสหวาย หากพูดผิด ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
ศิษย์คนนั้นลุกขึ้นมาอย่างตัวสั่น มีเหงื่อไหลหยดลงมา บนหน้าผาก คนที่อยู่ข้างๆก็ไม่กล้าหายใจแรง เขาทำอะไร ไม่ถูกไปพักหนึ่งแต่ก็ไม่เอ่ยออกมาสักประโยคแ
ท่านหยิ่นถอดหายใจแล้วตัดหวายลงตัวของคนผู้นั้น “เปรี้ยะ!” เสียงดังกังวานไปทั่ว ทำให้หลินซีนเยียนที่ใจลอยอยู่กลับมีสติอีกครั้ง เธอกลืนน้ำลายแล้วรีบหันหน้า ไปเอ่ยถามเซียวฝาน “ศิษย์พี่ใหญ่ ผู้อาวุโสสามท่านนี้สั่ง สอนศิษย์เช่นนี้หรือ? เช่นนั้นอีกเดี่ยวพวกเราก็จะโดนตีใช่ หรือไม่?”
ค่ายกลอะไร เธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ถึงเธอจะเข้า สำนักมาก็ทำไม่เป็น เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะตอบ คำถามนี้
“ศิษย์น้องอย่ากลัว เขาตีพวกเราไม่ได้หรอก” เซียวฝาน เห็นว่าเธอกังวลเล็กน้อย จึงรีบอธิบายให้ฟังทันที ” คนที่ผู้ อาวุโสสามตีน่ะล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายในของเขา เป็นศิษย์ที่เขา ลงทุนลงแรงสอน โต๊ะที่นั่งอยู่แถวนั้นล้วนเป็นศิษย์ของเขา ทั้งสิ้น ส่วนศิษย์ที่อยู่แถวหลังก็เป็นศิษย์ของท่านประมุข กับผู้อาวุโสรอง นอกจากศิษย์ของผู้อาวุโสสามเองแล้ว ศิษย์คนอื่นเขาไม่กล้าลงมือจริงๆหรอก อย่างมากก็แค่ว่า กล่าว”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลินซีนเยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วดื่มน้ำชาให้รู้สึกชุ่มคอ
เมื่ออู่อี้เห็นเธอก็รีบพูดปลอบเธอทันที “ศิษย์น้องไม่ต้อง กังวล จะว่าไป ค่ายกลแผ่นนั้นข้าจัดการได้ หากท่านหยิ่ นมาถึงเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
“ศิษย์พี่รอง เจ้าก็เป็นค่ายกลหรือ?” หลินซีนเยียนจ้อง อย่างตกใจ
อู๋อี้ไม่ทันได้ตอบกลับ เซียวฝายก็กลอกตาบนแล้วพูด แทรกขึ้นมา “เขาทำเป็นอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่เขาที่ทำได้ นุ่นท่านประมุขน้อยที่นั่งอยู่ข้างเจ้าก็ทำได้ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อะไร”
“เจ้าก็เป็น แต่ว่า หากกล่าวถึงความรวดเร็วในการทำลาย ค่ายกลแล้ว ในที่นี้คนที่เก่งกาจที่สุดก็คือท่านประมุขน้อย จากนั้นก็ข้า สุดท้ายก็เป็นศิษย์พี่” อู่อี้ส่ายหน้า แล้วเอ่ย ความจริงที่โหดร้ายออกมา
“อู่อี้! เจ้าโค่นล้มข้าได้ด้วยหรือ? ” เซียวฝานหัวเราะแล้ว ต่อยอู่อี้ หมัดนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ออกแรงเลย อู่อี้ลูบออกของตนเองอย่างเขินอาย หัวเราะอย่างจริงใจ
แล้วไม่พูดตอบโต้เซียวฝานอีก
ะ ท่านประมุขน้อยที่นั่งเงียบมาตลอดก็หัวเราะตาม จากนั้น ก็ถามหลินซีนเยียนกลับ “ลั่วเยียนไม่เป็นค่ายกลหรือ? ”
“เหอเหอ…” หลินซีนเยียนหัวเราะอย่างเก้อเขิน แล้วเอ่ย
” ไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นก็สามารถเรียนรู้เบื้องต้นได้ ข้ามีตำรา สำหรับค่ายกลเบื้องต้นอยู่หลายเล่ม กลับไปข้าก็จะเอามา ให้เจ้า หากเจ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามข้าได้” ตอนที่ เทียนหยุนจือพูด ดวงตา สองคู่นั้นก็จ้องหน้าของหลินซีน เยียนอย่างตาไม่กระพริบหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง ดวงตาของเขาก็มีแสงสว่างเปล่งประกายขึ้น
ตอนที่พวกเขาพูดคุยกัน ก็มีศิษย์สองคนที่โดนหวดด้วย หวายของท่านหยิ่น เมื่อตีคนเหล่านั้นเสร็จแล้ว อารมณ์ ของท่านหยิ่นก็ยิ่งปะทุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าศิษย์ตอบไม่ได้เขาก็ตวัดหวายลงไปอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มลึกดังมา จากที่ไกลๆ ทำให้ท่านหมื่นหยุดการเคลื่อนไหวทันที
“ท่านหยิ่น ทำไมสั่งสอนศิษย์อยู่ดีๆ กลับไปลงไม้ลงมือ อย่างนั้น?” เป็นท่านประมุขศาลาความลับแห่งสวรรค์อวิ้น เทียนซีที่เดินออกมาจากป่าเหมย ด้านหลังของเขาเป็นโม่ จื่อเฟิงที่สวมใบหน้าของไน่เหอฮวนตามาด้วย
ท่านหยิ่นวางหวายลงแล้วถอนหายใจ “น่าอับอายจริงๆ เพราะข้าเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล แต่ศิษย์ฝ่านในกลับไม่ได้ เรื่องเลยสักคน ท่านดู แค่ค่ายกลระดับกลางเท่านั้น เวลา เพียงหนึ่งเดียวกลับไม่ได้มีใครคิดวิธีทำลายมันได้ น่าโมโห จริงๆ ”
“ไม่ได้ก็สอนไง ต้องโมโหไปทำไม ท่านกับเขาใกล้จะ ลงโรงแล้ว หากไม่ถ่ายทอดความรู้ในตัวออกไป ในภาย ภาคหน้าเจ้าจะจากไปอย่างสบายใจหรือ?” อวิ๋นเทียนสี่เอ่ย
ท่านหยิ่นส่ายหน้า “ข้าก็อยากสอน อยากพวกโง่เหล่านี้ ได้เรียนแล้วทำเป็นกัน! นี่ ท่านประมุข คนที่อยู่ด้านหลัง ของท่านเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่ของท่านหรือ?”
อวินเทียนสี่พยักหน้า “ใช่แล้ว หลายปีแล้วที่ไม่ได้รับ ศิษย์ พอเจอคนที่มีพรสวรรค์เข้าก็อดไม่ได้ที่จะรับเอาไว้ มา เหอฮวน มาพบผู้อาวุโสสามหน่อย”
โม่จื่อเฟิงประสานมือขึ้น “ผู้อาวุโสสาม ข้าศิษย์ไน่เหอ
ฮวน”
เสียงของเขาทุ้มต่ำและลึกลับ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาอีก ในเวลานั้นทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงกัน ทั่วหน้า โดยเฉพาะเทียนหยุนชิงที่นั่งอยู่ไกลๆ สายตาจ้อง มองไปยังเขาอย่างตาไม่กระพริบ จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใบหน้า ของตนเองแดงขึ้นมาเล็กน้อย
หลินซีนเยียนหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นท่าทางของเทียนหยุน ชิงแล้ว ภายในใจก็พูดอะไรไม่ออก หน้ากากที่โม่จื่อเฟิง สวมใส่สามารถดึงดูดผู้หญิงได้เช่นนี้ มิน่าล่ะตอนที่เป็นโม่ จื่อเฟิงก็มีผู้หญิงไม่น้อยที่ยอมพลีกายถวายตัวให้
“ไน่เหอฮวน?” ท่านหยิ่นขานชื่อของเขา แล้วเอ่ยถาม “ ในเมื่อท่านประมุขบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ เช่นนั้นข้าจะลอง ทดสอบเจ้า เจ้าเห็นค่ายกลตรงนั้นแล้วสามารถแก้มันได้ หรือไม่?”
“คือ…” โม่จื่อเฟิงมองไปยังที่เขาชี้ คิ้วก็ขมวดชนกัน เมื่อ กำลังจะเอ่ยปากขึ้น กลับเห็นเทียนหยุนชิงรีบเดินออกมา
“ผู้อาวุโสสาม คนอื่นใช้เวลาเดือนหนึ่งยังคิดวิธีแก้ค่าย กลไม่ได้ ท่านกลับให้เขาตอบมาในตอนนี้ มันไม่ยุติธรรม ไปหรือเปล่า? ” เทียนหยุนชิงเดินมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ ดวงตาสองคู่นั้นกลับมองไปที่โม่ จื่อเฟิงอย่างไม่รู้ตัว
อวิ่นเทียนสี่เมื่อเห็นเทียนหยุนชิงลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยเช่นนี้ จึงรู้สึกไม่พอใจเท่าไร ” ชิงเอ๋อร์ ทำไมถึงไปพูดกับท่าน หยี่ยแบบนั้น?”
“ท่านพ่อ ข้ากลัวว่าศิษย์จะโดนรังแก” เทียนหยุนชิงเดิน ไปยืนข้างๆอวิ้นเทียนสี่ แล้วเขย่าแขนอย่างออดอ้อนดวงตาสองคู่นั้นก็กระพริบตาปริบๆ
อวิ่นเทียนสี่ส่ายหน้าอย่างจำใจ “เจ้านี่ถูกข้าเอาใจแต่ เสียคน ท่านหยิ่นโปรดให้อภัยด้วย” ไม่รอให้ท่านหยิ่นตอน กลับ เขาก็หันไปถามโม่จื่อเฟิง “ไน่เหอ เจ้าสามารถคิดวิธี แก้ค่ายกลได้หรือไม่?”
โม่จื่อเฟิงยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า “ทำได้”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ก้าวเท้าไปยังค่ายกลแผ่นนั้น อย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นก็เก็บกิ่งไม้ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาชี้ไป ยังภาพนั้นแล้วพูดขึ้น ” ค่ายกลนี้มองดูแล้วมี 3 ค่ายกล กล่าวคือมีหนึ่งที่จริง สองที่ปลอม ค่ายกลที่ปลอมจะทำให้ คนพบเห็นได้ง่าย หากเริ่มทำลายค่ายกลนั้นแต่แรกก็จะ ทำได้ แต่เมื่อมาถึงมาด่านสุดท้ายก็จะตายสถานเดียว แต่ ค่ายกลที่จริงดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่ขาดหายไปหน่อย แต่เมื่อสังเกตเห็นก็จะมีกลไกลที่ขยับได้ หากสามารถ ทำลายกลไกได้ตั้งแต่แรก อีก 18 รูปแบบก็จะสามารถ ทำลายได้ เพียงแต่…. หากคิดจะทำลายส่วนที่เล็กที่สุดแล้ว ก็ต้องเริ่มจากตรงนี้…”
เมื่อมองตามกิ่งไม้ที่เขาชี้ไป ทุกคนต่างก็พ่นลมหายใจ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว ศิษย์สองคนนั้นที่อธิบายผิดวิธี แต่มี ศิษย์ที่ไม่ยอม เมื่อฟังคำอธิบายของเขาแล้วก็มีสายตา บรรลุขึ้นมาทันที พอมองไปที่โม่จื่อเฟิง ใบหน้าก็ปรากฏคำ ว่า “เหลือเชื่อ” ออกมา
หลินซีนเยียนไม่เข้าใจค่ายกลจึงฟังไม่ออกว่าเขากำลัง พูดอะไร แต่คนที่อยู่ข้างๆก็มาปฏิกิริยาตอบสนองขึ้น เธอก็รู้ได้ว่าโม่จื่อเฟิงต้องใช้วิธีที่สุดยอดอย่างแน่นอน
แม้เซียวฝานที่นั่งอยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะวางแก้วชาลง แล้วตั้งใจฟัง
“ดูเหมือนว่าศาลาความลับแห่งสวรรค์จะมีพวกเพี้ยนเข้า มาอีกแล้ว” ใบหน้าของเซียวฝานแสดงความไม่พอใจออก มา แต่ในสายจากลับเลื่อมใสอย่างมาก “ถึงจะเป็นข้าก็ไม่ สามารถคิดวิธีทำลายค่ากลอะไรเยอะแยะนั้นออก แต่ที่ เขาพูดล้วนเป็นวิธีที่ดีที่สุด ข้ายังไม่ได้เลย อู๋อี้ เจ้าคิดวิธี แบบนั้นได้หรือไม่?
เมื่ออู่อี้ถูกเรียกชื่อก็เรียกสติคืนมา คิ้วขมวดเข้าหากัน แล้วส่ายหน้า “ข้าก็ทำไม่ได้ ไม่ทราบว่าท่านประมุขน้อง ทำได้หรือไม่?” เทียนหยุนจือที่ถูกโยนคำถามมาให้ใบหน้าเขากังวล
อย่างมาก จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างจำใจ
แต่เทียนหยุนชิงที่ยืนอยู่ข้างๆท่านประมุขตอนนี้ได้คลั่ง ไคล้ไปเรียบร้อยแล้ว สายตาที่จ้องมองโม่จื่อเฟิงอย่างเขิน อายตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ก็กลายเป็นเลื่อมใสอย่างมาก หัวใจของหญิงสาวได้ถูกโม่จื่อเฟิงกระชากออกไปจดหมด แล้ว
เมื่อมีลมพัดมา กลีบดอกเหมยก็ร่วงหล่นลงมาบนไหล่ ของโม่จื่อเฟิง เขายกมือที่เรียวยาวขึ้นมาปัดออกไปอย่าง ช้าๆ กลีบดอกไม้นั้นลอยตกลงไป
การกระทำของเขา สายตาของเขา คล้ายกับภาพวาดทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด
ไม่เพียงแต่เทียนหยุนชิงเท่านั้น แม้แต่หลินซีนเยียนก็ โดนภาพนั้นตราตรึงไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้คิดถึงเมื่อคืนที่ เขามาห้องของเธอ ก็รู้อยู่ว่าตอนที่อยู่บนเตียง เขาเป็นคน หน้าไม่อายและอันธพาลด้วย แต่ในตอนกลางวันทำไมถึง ได้สวมร่างเป็นเทพบุตรอย่างนี้!
หลังจากที่โม่จื่อเฟิงอธิบายวิธีแก้ค่ายกลของตนเองเสร็จ ท่านหยิ่นคนนั้นก็ตาเบิกโพลงจ้องที่เขา “ไอ้หนุ่มนี่ เพิ่งเข้า มาในศาลาความลับแห่งสวรรค์เมื่อวานจริงๆหรือ?”
“ใช่” โม่จื่อเฟิงตอบหลับอย่างไม่แยแสอะไร
ท่านหยิ่นทุบอกอย่างเจ็บใจแล้วเอ่ยขึ้นกับอวิ่นเทียนซี อย่างเสียงดัง ท่านประมุข ท่านไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่บ้างเลย หลายปีมานี้ไม่รับศิษย์ เช่นนั้นก็อย่ารับศิษย์อีกเลย ท่านดู ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะมีคนเข้าใจค่ายกล ดันถูกท่านแย่งไป! ท่านไม่อยากให้ข้ามีผู้สืบทอดสักคนมากกว่า!”
“ไอ้หยา ท่านหยิ่น ท่านเอาคำพูดเช่นนี้มาจากไหนกัน ศิษย์ของเขาก็ไม่ใช่ศิษย์ของท่านด้วยหรือ? ทำไมถึงมอง เป็นคนอื่นไปได้? จะว่าไป ศิษย์ของข้าคนนี้ไม่ได้ชำนาญ เรื่องค่ายกลที่สุด ดังนั้น สิ่งที่เขาเลือกย่อมเป็นความถนัด ของเขา”
“ความถนัดหรือ?” ท่านหยิ่นครุ่นคิดไปสักพัก แล้วเอ่ย อย่างเจ้าเล่ห์ ” ความชำนาญของท่านประมุขก็คือวรยุทธ์ หรือว่าเจ้าเด็กนี่ก็มีวรยุทธ์ที่เก่งกาจด้วยหรือ?”
“ไม่ผิด” อวินเทียนสี่หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ แล้วใช้มือไป วางบนไหล่ของท่านหยิ่น แล้วพาเขาไปหน้าโต๊ะตัวเล็กๆ “หากจะโทษ ก็โทษศิษย์ที่ไม่ได้เรื่องอะไรเลยเหล่านั้น น่า เสียดายตอนที่คัดเลือกศิษย์ในครั้งนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาด ฝันขึ้น มิเช่นนั้นคงจะมีคนที่มีพรสวรรค์อีกเป็นแน่”
“ช่างเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ทำได้แค่รออีก 2-3 ปี” ท่านหญิงถอนหายใจแล้วนั่งลงบนโต๊ะเล็ก จากนั้นก็สั่งให้ คนหยิบภาพค่ายกลมาให้ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ทดสอบใคร อีก เพียงแต่เริ่มอธิบายค่ายกลนี้อย่างช้าๆให้ทุกคนฟัง
อวิ้นเทียนสี่พาไน่เหอฮวนมานั่งข้างๆ ที่จริงวันนี้เขาไม่ ควรมา แต่เพราะไน่เหอฮวนเพิ่งเข้าสำนักมาวันแรก ดังนั้น เขาก็พาเจอะเจอผู้คนแล้วฝากฝังเป็นอย่างดี
โม่จื่อเฟิงเพียงกวาดมองภาพค่ายกลนั้นอย่างเมินเฉย ราวกับไม่รู้สึกสนใจอะไร ดังนั้นเขาก็ละสายตามองไปทาง อื่นอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะหนึ่งก็หันหน้ากลับมาเห็นเทียน หยุนจือกำลังรินชาให้หลินซีนเยียนอย่างสุภาพ คิ้วของเขา ก็ขมวดเข้าหากัน แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น
เมื่อการเรียนการสอนผ่านไปครึ่งวัน หลินซีนเยียนนั่งฟัง จนตอนนี้รู้สึกสันสนอย่างมาก เธอไม่มีพื้นฐานเลย รู้สึกว่า ฟังอธิบายค่ายกลกับฟังเทศน์มันก็ไม่ต่างกันเท่าไร
ดังนั้นเมื่อกลับไปถึงลานบ้าน คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน จนกลายเป็นรอยย่นไปทั้งใบหน้า แม้ตอนที่ท่านเยว่ทำ อาหารเสร็จก็เรียกเธอไปกิน เธอยังไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่
น้อย
เมื่ออาหารตั้งอยู่บนโต๊ะ ท่านเยว่หยิบขาไก่ข้างหนังแล้ว วางในชามของเธอ ” นังหนู อย่าท้อแท้เลย ก็แค่ค่ายกล เท่านั้น ต่อไปจะให้ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองของเจ้ามา สอนเจ้าก่อน หากสอนไม่ได้ ข้าจะถลกหนังพวกเขาให้!
ท เซียวฝานกับอู่อี้ได้ยินก็รีบเอ่ยอย่างเห็นด้วยทันที ” ใช่ แล้ว ศิษย์น้องเล็ก พรุ่งนี้พวกข้าจะสลับกันสอนเจ้า”
อารมณ์ของหลินซีนเยียนดีขึ้นมามาก ” อืม ขอบคุณ อาจารย์และศิษย์พี่”
“อิ้ม รีบกินเถอะ” เมื่อเซียวฝานปลอบใจเธอแล้ว ทันใด นั้นก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างเก้อเขิน ” แย่แล้ว ข้าลืมไป เมื่อ 2 วันก่อนเพิ่งจะรับงานมา แล้วหลาย วันนี้ต้องทำอาวุธแล้วไปส่งด้วย อู๋อี้ เจ้าสอนศิษย์น้องก่อน 2-3วันได้หรือไม่? ”
อู๋อี้พยักหน้า “ ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มสอนค่ายกลให้ศิษย์ น้อง จริงด้วย อาจารย์ ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนท่านมีตำราค่าย กลอยู่หลายเล่ม อีกเดี๋ยวเอามาให้ข้าใช้สักหน่อย” เมื่อท่านเยว่ได้ยินก็ใช้ตะเกียบเคาะที่หัวของอู่อี้โดยตรง
” ตำราค่ายกลของข้ามีแต่ค่ายกลระดับสูง ศิษย์น้องของ
เจ้ายังไม่มีพื้นฐาน จะอ่านรู้เรื่องได้อย่างไร?”
” แล้วทำอย่างไรดี?” อู่อี้ทำหน้ารู้สึกลำบากใจ ครุ่นคิด ไปพักหนึ่ง ” หรือว่าจะไปขอท่านประมุขน้อยดี? วันนี้เขา บอกไม่ใช่หรือว่าเขามีตำราพื้นฐานหลายเล่ม?”
ไม่ได้!” ครั้งนี้ ท่านเยว่กับเซียวฝานพร้อมใจกันตะโกนออกมา
“ทำไมเล่า? ” อู่อี้ไม่เข้าใจจึงเอ่ยถาม
ท่านเยว่หยิบตะเกียบเคาะไปอีกที ราวกับทำให้เขาตา สว่างขึ้น เจ้าเด็กโง่ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ จะโยนเนื้อเข้า ปากเสือหรือยังไง เป้าหมายของเทียนหยุนจือนั่นต้องไม่ บริสุทธิ์ใจแน่ๆ ข้าฟังศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าแล้ว ไอ้เด็กนั่น จ้องนั่งหนูของเราจนตาลุกเป็นไฟ ไฟแห่งความปรารถนา เจ้าเข้าใจหรือไม่? หี! ข้าไม่ยอมให้โอกาสมันได้หว่านเสน่ห์ นั่งหนูของเราหรอก”
เพียงผ่านไปวันเดียว หลินซีนเยียนได้เลื่อนฐานะเป็นนัง หนูของเราแล้ว
เธอเบะปากแล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้สึกโกรธเคือง ” เพียงแค่ ยืมตำราเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร..”
พวกเขาไม่ใช่กังวลจนกว่าไปเหรอ? เธอก็เป็นคนนะ คน อื่นมาหว่านเสน่ห์ แล้วเธอจะหลงคารมเขางันเหรอ?
” ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ?” ท่านเยว่เริ่มเพิ่มระดับเสียง ” มี ยืมต้องมีคืน ในระหว่างที่ยืมกับคืน ก็จะมีการเกี่ยวข้องกัน เมื่อเกี่ยวข้องกันแล้วก็จะมีข้ออ้าง วิธีหว่านเสน่ห์แบบนี้มี ถมเถไป คิดถึงปีนั้นแล้ว ข้าก็ใช้วิธีนี้ ไอ้หยา ถึงอย่างไรก็ ไปหาเข้าไม่ได้”
“ แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?” หลินซีนเยียนถอนหายใจ เมื่อ มาพบเจออาจารย์กับศิษย์พี่ที่ขี้หวงแบบนี้ก็ปวดหัวเหมือน กัน
ท่านเยว่ใช้ตะเกียบเคาะหน้าโต๊ะ ราวกับคิดอะไรออก สักพักเขาก็ทำตาสว่างขึ้นแล้วหัวเราะ ” ยืมไม่ได้ แต่พวก เราขโมยได้!”
..” หลินซีนเยียนพูดอะไรไม่ออก วิธีแบบนี้จะมีใครเห็น ด้วยเหรอ
ใครจะรู้เมื่อเซียวฝานกับอู๋อี้ได้ยินแล้วก็คิดว่ามีเหตุผล อย่างมาก ทั้งสามคนจึงรวมหัวกันแล้วตกลงที่จะใช้วิธีนี้ แล้วบอกว่าคืนนี้จะลงมือกัน ใบหน้าของหลินซีนเยียนกระตุ้นไม่หยุด แต่ภายในใจ
กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่รู้ตัว
ในค่ำคืนนั้น ท่านเยว่กับศิษย์พี่เตรียมพร้อมที่จะไปขโมย จึงได้สวมชุดดำอำพรางตัวในตอนกลางคืน จากนั้นก็ทำท่า วันทยหัตถ์อย่างมุ่งมั่นและไร้ความกลัวต่อหลินซีนเยียน แล้วก็ออกเดินทาง
หลินซีนเยียนถือโคมไฟแล้วเดินมาในลานบ้าน แล้ว แขวนมันใต้ต้นไม้ หลังจากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้หินแล้ว เตรียมขนม 2-3 อย่าง หลังจากที่พวกเขากลับมาแล้วก็ ถือว่าให้รางวัลเป็นการตอบแทนพวกเขา
ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิถึงจะไม่มีหนาวมาก เพียงแค่รู้สึก เย็นๆเท่านั้น ท้องฟ้าในคืนนี้เต็มไปที่ดวงดาวที่เปล่งแสง ระยิบระยับ
ดาวแต่ละดวงได้แบกรับความเพ้อฝันของหญิงสาว เธอฮัมเพลงแล้วเคาะนิ้วเบาๆจนเกิดเป็นจังหวะขึ้น พอนึกถึงภาพทั้งสามคนคุยโวโอ้อวดแล้วจากไป เธอก็อดไม่ ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะอารมณ์ดี” ทันใดนั้นก็มีเสียงขัดจังหวะ การฮัมเพลงของเธอ
หลินซีนเยียนเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นเงาคนที่ไม่รู้ว่า
ปรากฏตัวออกมาตั้งแต่เมื่อไร เธอไม่รู้สึกตื่นตระหนก
เพราะว่าเสียงนั้นสำหรับเธอแล้วคุ้นเคยอย่างมาก
“เจ้ามาได้อย่างไร? ”
“เป็นหวางมาไม่ได้หรือ?” โม่จื่อเฟิงยิ้มแล้วเดินเข้ามาหา เธอ แล้วดึงเธอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินขึ้นมาแล้วตนเองก็นั่งลง ไปแทน จากนั้นก็ดึงตัวเธอมาสู่อ้อมอก มือทั้งสองข้างก็ เลื่อนลงมาที่เอวของเธอ
หลินซีนเยียนโดนบังคับให้นั่งลงบนตักของเขาแบบใกล้ ชิด ใบหน้าของเธอก็ยิ้มแข็งๆ ไม่ใช่ เพียงคิดว่าท่านอ๋อง ต้องปิดบังฐานะที่แท้จริงตอนอยู่ในศาลาความลับแห่ง สวรรค์ เมื่อมาหากันบ่อยเช่นนี้ หากว่าโดนคนพบเห็นเข้า อาจจะทำเสียเรื่องก็ได้
โม่จื่อเฟิงหัวเราะเบาๆ มือไม้ก็ลูบไล้บนเอวของเธอ จาก นั้นก็ยื่นปากเข้าไปใกล้หูของเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เบาๆ แต่ว่า เป็นหวางคุ้นชินกับเรือนร่างของเจ้าแล้ว หาก ไม่มีเจ้ามาอุ่นเตียง เปิ่นหวาง…นอนไม่หลับ”
แม่งเอ๊ย! นี่มันมากเกินไปแล้วนะ พูดแฝงด้วยไปด้วย ความหมายซะจริง! ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า!
ในใจของหลินซีนเยียนร้องโอดโอย แต่ใบหน้ายังคงยิ้ม อยู่ เพียงจับที่มือสองทั้งข้างของเขาที่ขยับเขยื้อนไปมา ตลอด ” ท่านอ่อง เกรงว่าในลานบ้านจะไม่ค่อยดีเท่าไร…” %3D
” อาจารย์ของเจ้าเพิ่งจะออกไปไม่ใช่หรือ? เทียนหยุนจือ เป็นถึงท่านประมุขน้อย เมื่อเข้าไปในสถานที่ของเขาแล้ว คงไม่ง่ายที่จะกลับออกมา” โม่จื่อเฟิงปัดมือออกจากเธอ แล้วจัดการต่อ ” แต่ที่เจ้าว่า หากอาจารย์กับศิษย์พี่ของเจ้า รู้ว่าคนที่พวกเขาปกป้องสุดชีวิตเป็นของเล่นส่วนตัวของ เป็นหวางมานานแล้ว จะเป็นเช่นไรกัน?”