ตอนที่ 168 การดูถูกของพลทหาร
กลุ่มคนต่างหยุดฝีเท้าด้วยความสงสัย
“ท่านอ๋อง สถานการณ์ในหุบเขาไม่แน่ชัด ปัจจุบันพวก เขาหลงเหลือพลม้าอยู่ไม่กี่สิบ หรือไม่ท่านพาคนจำนวน หนึ่งรออยู่ปากเขา ข้าน้อยจะนำคนเข้าไปสำรวจดู” หนึ่งใน พลทหารของกองอุทัยรีบทูลข้อเสนอแนะแด่โม่จื่อเฟิง
โม่จื่อเฟิงมุ่นหัวคิ้ว มิเอ่ยปากพูด แต่มองไปทางหลินซิน เยียน ราวกับกำลังขบคิดอันใดอยู่
หลินซินเยียนรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา ไล้เลียริมฝีปาก ก่อนเอ่ย “ท่านก็รู้ว่าร่างกายข้ามสะดวก หากว่าในหุบเขามี อันตรายใดๆ ล่ะก็ ข้าหวังว่าจะสามารถรอพวกท่านอยู่ที่ ปากเขาได้”
นางเอ่ยความจริง นางกับอวิ๋นเสี่ยวอิงมิได้เป็นทั้งมิตร และศัตรู ต่อให้ครอบครัวของอวิ๋นเสี่ยวอิงเกิดอุบัติเหตุ อันตรายครั้งใหญ่ ก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับนาง นางไม่ เต็มใจไปเสี่ยงอันตรายเพราะอวิ๋่นเสียวอิงแน่
โม่จื่อเฟิงยังมิได้ปริปาก ก็ถูกอวิ่นเสี่ยวอิงจับแขนแกร่ง เอาไว้เสียก่อน “ท่านพี่เขย ในเมื่อพี่สาวท่านนี้ไม่ไป พวก เราก็มิต้องทำให้นางลำบากใจหรอก กลางเขามีผู้ร้าย มากมาย ข้าดูแล้วพี่สาวบอบบางปวกเปียก เข้าไปก็นับว่า ช่วยอะไรมิได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดต้องให้นางเสี่ยงภัย ด้วยเล่า”
เพียงแต่ คำพูดของนางนั้นสำหรับโม่จื่อเฟิงแล้วกลับมิได้ มีผลอะไรเลย โม่จื่อเฟิงมองหลินซินเยียนด้วยแววตาลึกซึ้ง เอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น “ทำไม คิดว่าข้าปกป้องเจ้ามิได้หรือ หรือว่าปกป้องลูกในท้องของเจ้ามิได้”
“ท่านอ๋อง ท่านอย่าเพียงกังวลแค่ว่าข้าจะหลบหนีไป กองอุทัยของท่านมีนับร้อย ข้าเป็นเพียงหญิงนางเดียว ยัง จะวิ่งหนีไปจากเงื้อมมือของเขาได้เยี่ยงไร ข้ามิอยาก เข้าไปเสี่ยงภัยร้ายจริงๆ นับว่าข้ามิอยากมีชีวิตอยู่ ข้าก็มิ อยากให้ลูกของข้าตายไปตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นโลกใบนี้ หรอก” หลินซินเยียนหัวเราะเสียงเย็น แวบเดียวก็มอง ความคิดความอ่านของโม่จื่อเฟิงออกแล้ว
ยามที่นางเอ่ยถึง “ลูก” สีหน้าของอวิ๋นเสี่ยวอิงซีดเซียว อย่างเห็นได้ชัดอยู่ครู่หนึ่ง น่าเสียดายที่ความสนอกสนใจ ของโม่จื่อเฟิงจับจ้องอยู่ที่หลินซินเยียนตลอด จึงมิได้ สังเกตเห็น
หลินซินเยียนลอบถอนหายใจเบาๆ ดูแล้ว การที่แม่นางอ วิ่นเสี่ยวอิงเรียกโม่จื่อเฟิงว่าพี่เขยอย่างเสียงอ่อนเสียง หวาน กลับมิได้เห็นว่าโม่จื่อเฟิงเป็นพี่เขยจริงๆ แต่ว่าที่นี่ มิใช่ยุคสมัยใหม่ ที่นี่หากใช้สามีร่วมกับพี่น้องก็มินับว่า เป็นการไร้ศีลธรรม ดังนั้น หากว่าการตามหลักศีลธรรม แล้ว นางทำไปเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องเข้าใจได้
“ท่านอ๋อง มีเปลวไฟจากที่ไกลๆ” หัวหน้าเล็กๆ ของกอง อุทัยตะโกนเสียงดังลั่น กลุ่มคนต่างมองเข้าไปในหุบเขาก็ เห็นเปลวไฟลุกโชนโหมกระพือ เมื่อก่อนยังเป็นเพียงหมอกควันเข้ม บัดนี้กลายเป็นเปลวไฟลุกลามทั่วหล้า
เวลากระชั้นชิด โม่จื่อเฟิงมิลังเลอีกต่อไป ให้กองทหาร เล็กสิบกว่านายคุ้มกันหลินซินเยียนอยู่บริเวณปากเขา ส่วน ตัวเองนั้นนำทัพคนที่เหลือเข้าไปในหุบเขาลึก ยามเมื่อเดิน ทาง กองทหารเล็กเหล่านั้นยังได้เบิกบาน มองออกว่าเหล่า ทหารกลุ่มนี้เป็นชายฉกรรจ์เลือดร้อน มิได้ขี้ขลาด ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ล้วนไม่มีใครอยากลี้ภัยอยู่ในที่ ที่ปลอดภัย
แต่ว่า คำสั่งประกาศิต คำสั่งของโม่จื่อเฟิงเขาไม่บังอาจ ไม่เคารพ เพียงแต่ยามที่โม่จื่อเฟิงก้าวผ่านไป นายทหาร กองอุทัยผู้นั้นก็โจมตีหลินซินเยียนด้วยคำกล่าวเหยียด หยาม
“แม่นาง ข้าเต็มใจออกไปฆ่าศัตรูมากกว่าจะปกป้องแม่ นางผู้น่ารังเกียจ!” นายทหารน้อยผู้นั้นสบถหยาบพลางเดิน ไกลออกไป
ไม่กี่คนที่เหลืออยู่ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับว่าไม่มี ใครพอใจ มีทหารวัยรุ่นกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปเอ่ยเตือน “หัวหน้า โจว ท่านอย่าโกรธ ดื่มเหล้าดับโทสะสักอีก มิใช่ว่าเป็น เพียงแม่นางที่ออกมาจากหอนางโลมหรอกหรือ อย่าไป เสียเวลาโมโหกับนางเลย”
“ออกจากหอนางโลม” พอนายทหารคนนั้นพูด ทหารนาย อื่นที่อยู่รอบๆ ก็กรูกันเข้ามาในบัดดล รายล้อมกันอย่างระ เกะระกะพลางสอบถามทหารนายยั้น “ที่เจ้าว่าเมื่อครู่นั่น จริงหรือ ใช่แม่นางที่ออกมาจากหอนางโลมจริงๆ หรือ แม่นาง พวกเราทหารกองอุทัยล้วนแต่เป็นชายหนุ่มเลือดร้อน ให้พวกเรามาเฝ้าแม่นางจากหอนางโลมนี่มันเรื่องอันใดกัน เจ้าเคยได้ยินจากที่ไหนกันเล่า”
“ข้าจะพูดพล่อยๆ ได้อย่างไรกันเล่า” นายทหารคนนั้น กลอกตาไปมา พลางกล่าวซ้ำ “ลูกพี่ลูกน้องของข้าคือ หัวหน้าเด็กรับใช้ในหอตระกูลเซียว เรื่องพวกนี้ล้วนได้ยิน มาจากลูกพี่ลูกน้องข้าทั้งนั้น นางพูดว่าเพียงเพราะแม่นาง หอนางโลมที่เก็บได้จากข้างทาง ท่านอ๋องก็ยกเอาคุณหนู ใหญ่ตระกูลเชียวขึ้นหิ้งไว้เคียงกายแล้ว ตอนที่คุณหนู ใหญ่ตระกูลเซียวกลับวังครั้งแรกก็ระเบิดโทสะ พวกสาวใช้ ในเรือนล้วนถูกทุบตีอย่างทารุณจนตายหมด”
“ไม่ใช่น่า ถึงแม้ท่านอ๋องจะมักมาก ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ อยู่ในขนบ มิเคยได้ยินว่าข้างกายท่านจะมีหญิงนางไหน”
“นี่คือใช่เรื่องเหนือคาดหมายรี นุ่น ทางโน้นคนๆ นั้นก็คือ ผู้หญิงที่ท่านอ๋องเก็บเอาไว้ พวกเขาทั้งหลายไม่อาจลืมได้ ว่าครั้งนั้นพวกเราไล่ตามระยะทางกว่าหมื่นลี้ ตลอดทาง จากเมืองเฟิ่งชีตามมาถึงนอกเขต ล้วนแล้วแต่เพื่อนาง”
“ข้อนี้พวกเราลืมไม่ลงเป็นแน่ แต่ว่า เดิมทีพวกเราคิดว่า นางแอบไปรู้ความลับอะไรของท่านอ๋องเข้าให้ ดังนั้นท่าน อ่องถึงได้สนอกสนใจเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ไล่ตาม นางได้เมื่อวาน ดูเหมือนว่าไม่ใช่อย่างที่คิด แต่ว่าวีรบุรุษ ล้วนถูกสาวงามปั่นหัว หากว่าท่านอ๋องจะโปรดปรานหญิง สาวนางหนึ่งนั้นมิใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่เจ้าว่านางออก มาจากหอนางโลม ก็คือ..
“เฮ้ย! หญิงจากหอนางโลมนางหนึ่งยังต้องให้เรามาเฝ้า โคตรเฮงซวยจริงๆ!” นายพลโจวได้ยินข้อโต้แย้งของคน สองสามคนยิ่งมินำพา เดาว่าเขาคงเป็นนายพลเล็กๆ ของกองทัพอุทัย นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเฝ้าหญิงนางโลมคน หนึ่ง หากว่ากลับออกไปยามอยู่ต่อหน้าพวกพ้องน้องพี่จะ เอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“อ่า…ช่างน่าเห็นใจคุณหนูใหญ่ตระกูลเซียว เพิ่งจะแต่ง เข้าวัง พักตร์ของท่านอ๋องก็เคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ก็ต้องมา เบิกตามองท่านอ๋องไล่ตามผู้หญิงอื่นมาตั้งไกลโขเพียงนี้”
“แต่มิใช่ ท่านอ๋องทำสิ่งนี้ภายในใจของพวกพ้องล้วนไม่ สบายกันเป็นแถบ”
ตอนที่ไม่กี่คนวิจารณ์กันอยู่นั้นกลับมิได้ผ่อนเสียงแต่ อย่างใด ดังนั้นหลินซินเยียนได้ยินทุกคำอย่างมิขาดตก บกพร่อง นางนั่งอยู่บริเวณก้อนหิน เดิมทีหยิบเอากิ่งไม้บน พื้นขึ้นมาวาดขีดเรื่อยๆ เมื่อได้ยินประโยคนั้นของนาย ทหารแซ่โจว นางลงแรงเสียจนกิ่งไม้หักเป็นท่อนเสียแล้ว
ในใจคับแน่น หลินซินเยียนมิได้รู้สึกดีนัก นางมิใช่ผู้หญิง ในหอโคมเขียว แต่ว่า นางกลับมิเต็มใจอธิบายต่อพวกคนที่ มองนางด้วยสายตาส่อแววเช่นนั้นฟังหรอก ในมุมมองของ นาง การแบ่งชนชั้นวรรณะ เดิมทีก็มีแนวคิดแตกแยกจาก นางอยู่แล้ว ในเมื่อทัศนคติไม่ตรงกัน ยังจะต้องเสวนากัน เพื่อสิ่งใด ต่อให้พวกเขารู้ว่านางมิใช่ผู้หญิงจากหอนางโลม แล้วจะเป็นเช่นไรต่อ มิใช่จะหาข้ออ้างอื่นมาตอกย้ำนาง เหมือนเดิมหรือ จะยกว่านางเป็นเพียงผู้หญิงหนึ่งนาง เป็นเพียงหญิงไร้สถานะไร้ตัวตนมาเพื่อลดคุณค่านางอีกหรอก หรือ
ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ก็มิแปรเปลี่ยน ดังนั้นนางก็จะไม่ เสียแรงอธิบายกับพวกเขา
ท่าที่ไม่ทุกข์ร้อนของนางในสายตาของคนไม่กี่คนนั้น กลับมีนัยว่านางยอมรับกลายๆ ดังนั้นในสายตาของพวก เขาที่มองนางส่อแววดูถูกหนักกว่าเดิมหลายขุม
สีท้องฟ้าค่อยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิด อีกไม่กี่ครู่ต่อมา แม้แต่แสงอาทิตย์สุดท้ายก็ลาลับจากขอบฟากฟ้า
หัวหน้าทหารแซ่โจวได้ให้คนไปเก็บฟืนมาเพื่อก่อกองไฟ บริเวณปากหุบเขามีกองไฟอยู่สองกอง หนึ่งกองถูกราย ล้อมด้วยนายทหารไม่กี่นาย ส่วนอีกกองนั้นเป็นของหลินซิ นเยียน