ตอนที่176 วันไหว้พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง
ประเทศจีน มีตำนานเล่าขานอยู่เรื่องหนึ่ง หนึ่งวันในภูเขา เท่ากับหนึ่งปีบนโลก ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ตำนาน แต่ก็ยังมี เหตุผลบางประการอยู่ในนั้น ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ สะดวกสบาย ผู้คนจึงค่อยๆเพิกเฉยกับแนวคิดนี้เมื่อเวลา ล่วงเลย
สำหรับหลินซินเยียนแล้ว พระอาทิตย์ท่ามกลางหุบเขา ทั้งเงียบสงบและอิสระ ในทุกๆวัน นางได้นอนหลับแต่ตื่น ขึ้นมาเองตามอัธยาศัย หลังจากนั้นก็ติดตามสรือโถวไปจับ ปลาที่ลำธารในป่าบนภูเขาด้วยกัน ถึงแม้ว่านางไม่สะดวก ที่จะลงน้ำ แต่การที่ได้นั่งอยู่ริมฝั่งมองดูสรือโถวไล่จับปลา ขึ้นมาจากน้ำอย่างมีชีวิตชีวาก็เป็นเรื่องที่ครึ้มอกครึ้มใจ มิใช่น้อย
ในยามเที่ยง นางก็ยังได้ตามติดยายหลิวทำอาหารด้วย กันในห้องครัว ถึงแม้จะไม่คล่องแคล่วเท่ายายหลิว แต่ทว่า หลังจากที่นางทำอาหารที่มีรสชาติในยุคปัจจุบันออกมา หลายอย่าง กลับทำให้ทุกคนได้ทานอย่างพออกพอใจ โดยเฉพาะ หม่าโผโตฟุหรือเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน ซึ่งเป็นอา หารที่สรือโถวชอบทานมากที่สุด ทุกๆครั้งจะถูกความเผ็ด ร้อนจนต้องแลบลิ้นปากพอง แต่กลับอดใจไม่ได้ที่จะตักน้ำ แกงขึ้นมาซดทานต่อ
หลินซินเยียนเองก็นึกไม่ถึงว่าตนนั้นจะเคยชินกับการใช้ ชีวิตภายในภูเขาได้ ที่แห่งนี้ไม่มีแนวคิดลำดับชนชั้นใดๆกระทั่งแม้แต่ยามที่ทานข้าว ทุกคนต่างก็ล้อมวงทานโต๊ะ เดียวกัน โดยไม่มีการแบ่งออกเป็นสองโต๊ะ และในยามนี้ นางจึงได้รู้ว่า ในสายตาของพวกเขาแล้วมีเพียงอินฉีที่เป็น นาย ดังนั้นเมื่ออินฉีจากไป พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง แบ่งโต๊ะเพื่อรับประทานอาหารอีก
วันเวลาที่ผ่านไปอย่างมีความสุข และท้องของนางเองก็ ใหญ่ขึ้นทุกวันๆ เพียงชั่วพริบตาฤดูใบไม้ผลิก็ล่วงเลยผ่าน และฤดูร้อนก็มาเยือน เมื่อมองเห็นฤดูใบไม้ที่กำลังค่อยคืบ คลานเข้ามาอย่างเงียบๆ ท้องของนางก็อยู่ในสภาพที่กลม ใหญ่
ในหลายเดือนที่ผ่านมาอินฉีได้มาเยี่ยมหลายครั้ง นำ ขนมและเสื้อผ้าจากในเมืองมาบางส่วน ทว่าช่วงเวลาที่เขา พักอยู่นั้นไม่นาน ทุกๆครั้งก่อนเข้าวันถัดไปก็รีบออกเดิน ทางอย่างรีบเร่ง สำหรับข่าวสารภายในเมืองของโม่จื่อเฟิง เขาไม่เคยกล่าวถึงเลยสักครั้ง
มีบางครั้งที่หลินซินเยียนใคร่อยากจะถาม เพียงแต่คำ พูดนั้นติดอยู่ที่ปากเสียทุกครั้ง สุดท้ายเรานางจึงต้องกลืน คำถามนั้นลงไป
สำหรับโม่จื่อเฟิง แม้แต่นางก็ไม่เข้าใจว่าคิดอย่างไรกัน แน่ เห็นได้ชัดว่าสำหรับนางแล้วเขาคือการคงอยู่ของปีศาจ ร้าย แต่ทว่าด้วยท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน จำนวนครั้งที่นาง คิดถึงเขาก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น นางบอกกับตนเอง คงเป็น เพียงเพราะเขาเป็นพ่อของลูกในท้องนางก็เท่านั้น
ใช่แล้ว นึกถึงคนที่แบกท้องในละครทีวีสมัยก่อน ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลโดยที่สามีไปเป็นเพื่อน บน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข แต่นาง ล่ะ ไม่เพียงแค่ตั้งท้องเท่านั้น แม้แยามที่ต้องคลอดออกมา ในอนาคต นางไม่กล้าที่จะคิดฝันแม้แต่น้อย
นางบอกกับตนเองอยู่ตลอดว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรน่า เพียงแค่ลูกน้อยคลอดออกมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว
ค่ำคืนกลางฤดูใบไม้ผลิที่พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์ ลอดผ่านมาตามไรกิ่งไม้สะท้อนลงมาเป็นเงาแสงจันทร์
ภายในเรือนขนาดย่อมท่ามกลางภูเขา หลินซินเยียนได้ ทำขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ เพลิดเพลินกับการชมจันทร์ ภายในเรือนกับพวกท่านโจว สรือโถวชอบทานขนมที่หลิน ซินเยียนทำอย่างมาก มือซ้ายขวาต่างถือขนมเปี๊ยะทั้งสอง ข้างพลางเคี้ยวตุ้ยๆ ชวนให้นึกถึงกระรอกน้อยจอมตะกละ ที่ทั้งน่ารักและใสซื่อ ยายหลิวเองก็เผยรอยยิ้มยินดีอย่าง หาได้ยาก
กลับเป็นท่านชายโจวที่ถอดหายใจไม่หยุดหย่อน หลัง จากที่ดื่มสุราไปหลายถ้วยก็พูดไม่หยุด “นึกถึงเมื่อตอนนั้น ข้าเองก็นับว่าเป็นบุคคลที่หล่อเหลาผู้หนึ่ง ทำไมจึงได้ระ หกระเหินมาหลบซ่อนตัวป่าลึกในภูเขาเพื่อเจ้าหนุ่มนั่นกัน นะ ข้ายังหนุ่มอยู่นะเฟ้ย กว่าทุกอย่างจะสำเร็จลุล่วง ข้าก็ คงแก่เฒ่าแล้วแน่ๆ.”
หลินซินเยียนที่กำลังฟังอยู่เงียบๆ นางพลางลูบท้องพลัน อดไม่ได้ที่เงยหน้ามองขึ้นไปยังบนผืนนภา แสงจันทร์ที่ สาดส่องลงมามีบางส่วนกระทบลงมายังบนใบหน้าของนางน่าเสียดาย ที่ใบหน้าของนางมิได้งามล่มเมืองอีกต่อไปแล้ว
ใต้ผืนฟ้าเดียวกันนั้น ภายในจวนอู่เซวียนอ่องอันหรูหรา ยังมีผู้หนึ่งที่นั่งชมจันทร์อยู่ในเรือน บนโต๊ะหินเต็มไปด้วย ขนมนานาชนิด เมื่อเทียบกับขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ใน ภูเขาเหล่านั้น ขนมในที่แห่งนี้มีความประณีตยากที่จะหา ใดเปรียบ แต่ทว่าบุรุษที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหินนั่นกลับไม่มี ความอยากอาหารแม้แต่นิด ไม่แม้แต่จะใส่ใจมองไปที่ขนม แสนอร่อยเหล่านั้น
“นายท่าน เซียงซีได้ทำการค้นหาแล้ว แต่ก็ยังไม่พบร่อง รอยของแม่นางหลินขอรับ” จินมู่ยืนรายงานอยู่ด้านหลัง ของโม่จื่อเฟิง ขณะที่พูดก็ก้มศีรษะต่ำจนแทบจะมุดดิน ไม่ กล้าแม้แต่จะหายใจถี่แรง
โม่จื่อเฟิงส่งเสียงคำรามเบาๆ “นังผู้หญิงสมควรตายนั้น นึกไม่ถึงว่าจะกล้าหายสาบสูญไปเช่นนี้!”
เป็นเวลากว่าครึ่งปีที่กองกำลังอู่เซวียนอ่องของเขาพลิก หาทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ก็ยังไม่สามารถหานางพบ แล้วจะไม่ ให้เขาโกรธได้อย่างไร? ตั้งแต่แค้นหนานเยว่จนถึงแคว้น เป่ยหมิง จนถึงเซียงซีอยู่ไกลห่างออกไป คนของเขาเกือบ จะพลิกหาทั่วทุกซอกทุกมุมบนโลกนี้แล้ว แต่ก็ยังคงไม่มี ข่าวคราว
ใจจริงแล้วจินมู่อยากจะพูดว่าคนทั้งคนหายสาบสูญไป ขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะตายไปแล้วหรือ? แต่ต่อให้เขามีความ กล้าเต็มร้อยส่วน ก็ยังคงไม่กล้าที่จะกล่าวประโยคนี้ออก มา
“จินมู่ เจ้าว่าเพราะเหตุใดนางจึงแตกต่างจากสตรีคนอื่น? ทำไมนางจึงสามารถมีแนวคิดการครองคู่เดียวตลอดชีวิต เช่นนั้นได้? สตรีผู้หนึ่งนึกไม่ถึงว่าต้องการที่บุรุษที่จะ ปกป้องนางเพียงคนเดียวตลอดชีวิตงั้นหรือ? ช่างน่าขัน เสียจริง!” โม่จื่อเฟิงหยิบกาสุราขึ้นมากรอกปาก บางทีอาจ จะรีบร้อนจนเกินไป เขาจึงเกิดสำลัก
“น่าขันจริงๆขอรับ” ประโยคนี้จินมู่กลับเห็นด้วย เขาพลัน หยุดชะงักแล้วจึงกล่าวต่อว่า “แต่ก็เพราะว่านางต่างจาก สตรีคนอื่น ข้าจึงได้ปฏิบัติกับนางเป็นพิเศษ ใช่หรือไม่ ขอรับ?”
โม่จื่อเฟิงที่กำลังหยิบกาเหล้าขึ้นมา สีหน้าเขาพลันดิ่งลง ใช่แล้ว นั่นเป็นเพราะว่านางแตกต่างจากสตรีคนอื่นๆของ เขา สตรีเหล่านั้นคิดฝันจะปีนขึ้นเตียงของเขา หลังจากที่ เสร็จกิจไม่ใช่ว่าต้องคิดอยากจะพึ่งพิงไต่เต้าเขาหรือ? แต่ นางกลับไม่ ครั้งแรกนั้นนางแทบทนรอไม่ไหวที่จะจากไป ในภายหลังนั้นหากไม่ใช่ว่าเขาบังคับให้นางอยู่ข้างกาย เกรงว่าตลอดชีวิตของนางก็คงไม่ยินยอมที่จะปรากฏออก มาที่เบื้องหน้าของเขา
เขารู้มาตลอดแม้การแสดงออกของนางจะอ่อนโยนและ เชื่อฟัง แต่เนื้อแท้ของนางกลับไม่เคยปฏิบัติกับเขาอย่าง จริงใจ! สตรีที่ไม่เคยใช้ความจริงใจกับเขาเช่นนี้ กลับ ทำให้เขายากที่จะปล่อยหลุดมือไป! เหตุใดจึงน่าตลกเยี่ยง นี้?
เขาคิดว่า ก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น ไปก็ไม่เห็นเป็นไรอย่างไรข้างกายเขาก็ไม่เคยขาดสตรีอยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ ได้ ตั้งแต่ที่นางจากไป คาดไม่ถึงว่าเขากลับไม่ได้แตะต้อง กับสตรีอื่นเลย! แม้แต่ในยามที่พิษกำเริบ เขาก็ใช้การข่ม ต้านเลือดกิเลน
“ท่านอ๋องเพคะ นี่เป็นขนมที่ข้าทำมาเอง ได้ยินว่าท่าน อ๋องกำลังชมจันทร์ ข้าจึงรีบนำมาให้ท่านอ๋องด้วยตนเอง เพคะ” เซียวอวิ๋นฉินที่สวมอาภรณ์บางเบาเดินถือตะกร้าไผ่ สานภายใต้แสงจันทร์
เซียวอวิ๋นฉินก็นับเป็นสตรีที่งามเลิศยามนี้ที่นางแต่งตัว สวมใส่ชุดคลายร้อน ภายใต้ชุดผ้าไหมนั้นยังสามารถเห็น เรือนร่างของนางได้ลางๆ
จินมู่แค่เพียงเหลือบมองชั่วครู่ก็รีบถอนสายตากลับ ทำการคารวะโม่จื่อเฟิงแล้วก็รีบหลีกหนีออกไปในทันที
ภายในเรือนจึงเหลือเพียงโม่จื่อเฟิงกับเซียวอวิ๋นฉิน โม่ จื่อเฟิงกลับไม่ได้แลมองมาที่นาง เพียงกล่าวด้วยความเย็น ชา “เจ้ามาทำอะไร?”