ตอนที่ 180 กลับเมืองเฟิ่งชี
หลังจากนั้นหลายวันก็เดินทางมาถึงเมืองเฟิ่งชี หลินซิน เยียนคิดว่าตนเองนั้นอาจจะกระวนกระวายหรือไม่ก็ตื่นเต้น แต่กลับผิดจากที่คาด นางรู้สึกสงบอย่างมาก บางทีเป็น เพราะว่าขณะที่มาถึงหน้าประตูเมือง เจ้าเด็กน้อยในท้อง ของนางก็ไม่อยู่ไม่สุขเท่าไรนัก ดิ้นถีบนางอยู่หลายที ราวกับกำลังเตือนนางว่า ยามนี้นางมิใช่ตัวคนเดียวอีกต่อ ไปแล้ว
ข้างกายของนางยังมีอีกหลายผู้คนจึงทำให้นางนั้นอุ่นใจ ที่สำคัญไปกว่านั้น ในท้องของนางยังมีเจ้าตัวเล็กจอม อาละวาดอยู่
ตลอดที่ผ่านมานางรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีจริงๆ ถึง แม้จะตกอยู่ในสภาพน่าเวทนา แต่นางก็ยืนหยัดไว้ได้อย่าง น่าอัศจรรย์ อีกทั้งทุกครั้งที่ตกยากลำบากก็มักจะได้พบกับ คนให้ความช่วยเหลือนาง นี่ก็นับว่ามีโชคดีล่ะนะ
อินฉีเตรียมการได้รอบคอบอย่างมาก ซื้อเรือนหนึ่งหลัง ในเมืองเฟิ่งชี ตัวเรือนมีขนาดไม่ใหญ่ยังเล็กกว่าเรือนที่อยู่ บนภูเขาอยู่บ้างแต่ทว่าก็เพียงพอให้ทุกคนอยู่อาศัย และ ภายในเรือนก็ไม่มีคนรับใช้อื่นๆ สำหรับท่านโจวดูเหมือนว่า จะไม่ค่อยเต็มใจให้คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเขา
ถึงแม้ว่าเรือนนี้จะไม่ได้อยู่ในเขตชุมชน แต่ระยะทางห่าง จากใจกลางเมืองกลับไม่ไกลเท่าไรนัก ดังนั้นการออกออก มาข้างนอกจับจ่ายซื้อของก็สะดวกสบาย เรือนหลังนี้ถึงแม้จะไม่ใหญ่มากแต่สถานที่อย่างเมืองเฟิ่งชีที่ทั่วทุกตารางนิ้ว มีค่าดั่งทองคำย่อมมีราคาไม่น้อย เพื่อทำให้นางคลอดบุตร ได้อย่างสบายใจ แน่นอนว่าอินฉีย่อมจ่ายไปไม่น้อยเลย
แต่น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด อินฉียิ่งจ่ายออกไป เยอะเท่าไหร่ ใจนางก็ยิ่งไม่สงบเท่านั้น นางดูเหมือนจะไม่ เชื่อว่าบุรุษผู้หนึ่งจะทำได้ถึงขั้นนี้เพียงเพื่อสตรีที่ตั้งท้อง กับบุรุษอื่น อินฉีนั้นรู้สึกดีกับนาง นางเองก็สามารถรับรู้ได้ กระทั่งคิดจะบอกเขาไปตรงๆอยู่หลายหนว่าระหว่างเขากับ นางนั้นไม่อาจจะเป็นไปได้
แต่อินฉีนั้นก็ฉลาดรู้ทัน ทุกครั้งที่เห็นว่านางต้องการจะ กล่าวออกมา ก็จะพูดไม่กี่คำเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ไม่เคยให้ โอกาสนางได้บอกกล่าวเลยสักครั้ง
เพียงมีความรู้สึกดี เขาจะสามารถอดกลั้นกับลูกในท้อง ของนางได้หรือไม่? ในสังคมระบบศักดินาเช่นนี้ แนวคิด ของพวกบุรุษไม่ใช่ว่ามีอำนาจสิทธิขาดทุกอย่างหรือ? แม้ ว่าอินฉีจะลงทุนจับจ่ายด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่ลึกลงไป ข้างในของหลินซินเยียนยังคงรู้สึกว่าทุกอย่างล้วนไม่จริง ทั้งยังตัดสินใจแล้วด้วยว่าหลังจากที่เด็กคลอดออกมา นาง ยังต้องการใช้ชีวิตต่อไปโดยเป็นอิสระจากอินฉี
เมื่อเห็นนางยืนเหม่ออยู่ที่ระเบียง อินฉีจึงหยิบเสื้อคลุม มาให้หนึ่งผืน “อากาศหนาวเย็น ยืนอยู่ตรงนี้นานจะไม่ สบายเอาง่ายๆ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของเจ้า ไม่ควร เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย”
เขาคิดจะนำเสื้อคลุมไว้บนไหล่นาง แต่นางกลับก้าวถอยโดยไม่ทันตั้งตัว กล่าวด้วยความยิ้มแย้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ สตรีมีครรภ์กลัวความร้อนเป็นที่สุด กลับไม่รู้สึกว่าหนาว เย็นเลย”
มือของอินฉีพลันแข็งที่อ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่ เปลี่ยนแม้แต่เล็กน้อย เขาถือเสื้อคลุมกลับมา “ควร ระมัดระวังอยู่เสมอจึงจะดี”
“อืม” หลินซินเยียนส่งเสียงตอบรับ
ที่ปลายระเบียงนั่น ยายหลิวที่สวมผ้ากันเปื้อนกำลังเดิน มากวักมือเรียกคนทั้งสองเข้าไปทานข้าว หลินซินเยียนจึง ส่งเสียงตอบรับไปว่า “มาแล้วๆ” แล้วจึงเดินนำหน้าอินฉีไป
ขณะที่นางหันไป รอยยิ้มบนใบหน้าอินฉีค่อยๆคลายลง และความเศร้าเสียใจเข้ามาแทนที่ แต่เขาก็ซ่อนใบหน้าที่ ผิดหวังเอาไว้อย่างรวดเร็ว ขณะที่เข้าไปในห้องรับประทาน อาหาร บนในหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นอีกครั้ง
เนื่องจากอินฉีอยู่ด้วย ถึงแม้จะมีเพียงไม่กี่คนแต่ก็ยังคง แบ่งโต๊ะทานข้าว หลินซินเยียนเหลือบมองไปที่โต๊ะของส รือโถวกับยายหลิวแล้วจึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง อยู่ร่วมกันมา นาน ในใจของนางได้คิดว่าพวกเขากลายเป็นครัวของนาง เสียแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าในยามนี้ กลับถูกเตือนสติด้วย ความแตกต่างระหว่างชนชั้นอย่างชัดเจน
อินฉีและชายโจวกลับไม่รู้สึกอึดอัดอะไร โดยเฉพาะชาย โจว ที่อาจจะเหน็ดเหนื่อยจากการย้ายบ้าน จึงทานช้าว ชามใหญ่ไปหลายถ้วยในเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อถึงยามดึกอินฉีก็ได้จากไป แล้วสรือโถวก็ได้มาตา มหาหลินซินเยียน
หลินซินเยียนนั่งอยู่ภายในห้องพร้อมกับชุดเสื้อผ้าขนาด เล็ก ถึงแม้ว่างานฝีมือจะยังไม่ถึงขั้น แต่ก็พยายามที่จะ เรียนรู้การเย็บปักถักร้อยของสตรีสมัยโบราณ เมื่อเห็นส รือโถวมาด้วยท่าทางลับๆล่อๆ นางจึงหัวเราะเบาๆ “สรือ โถวมีอะไรงั้นหรือ?”
“พี่สาวขอรับ…” ราวกับว่าสรือโถวมีความรู้สึกไม่ดีบาง อย่าง กล่าวพลางจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะของตน “เมืองเฟิ่งชี ใหญ่โต และก็ครึกครื้นมากด้วย แม้กระทั่งกลางคืนแล้วก็ ยังครึกครื้นกันอยู่ ท่านฟังดูสิ นี่ใช่เสียงคนกำลังร้องเพลง หรือไม่?”
สรือโถวกระพริบตาปริบๆ ราวกับบนใบหน้าเขียนคำว่า ดีใจจนเนื้อเต้นเอาไว้ เพียงชั่วครู่หลินซินเยียนก็กระจ่าง ยื่นมือออกมาจิ้มๆหว่างคิ้วของเขา “เจ้าเนี่ยน้า อยากออก ไปเล่นล่ะสิท่า”
“พี่สาวช่างรู้ใจข้าที่สุดเลย” สรือโถวกอดแขนของนาง
เอาไว้อย่างกระเง้ากระงอด “ท่านโจวหลับไปแล้ว ยายหลิว
ก็กำลังเก็บกวาดห้องครัวอยู่ พวกเราออกไปตอนนี้จะต้อง
ไม่มีใครพบแน่นอน”
ไม่เป็นไรที่จะมีใครมาเห็น แต่การที่สตรีท้องใหญ่ใกล้ คลอดจะออกไปข้างนอกยามค่ำคืนนั้น เกรงว่าจะไม่ ปลอดภัย ดังนั้นถึงแม้ว่าสรือโกวจะส่งสายตาอ้อนวอน เพียงไร นางก็สายหน้าปฏิเสธด้วยความใจแข็ง
“พี่สาว…” สรือโกวเสียใจอย่างมาก ใบหน้าขมวดยน น้ำตาเอ่อคลอ
“สรือโถว รอพี่สาวคลอดลูกน้อยออกมาได้อย่าง ปลอดภัย พี่สาวรับปากแน่นอนว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าตะลุย กิน ตะลุยเที่ยวทั่วทั้งเมืองเฟิ่งชี ดีไหม?” หลินซินเยียนนา ตัวเขาเข้ามากอดเบาๆ
ถึงแม้สรือโถวจะยังหงอย แต่ยังคงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
หลินซินเยียนจึงอยู่คุยเป็นเพื่อนกับเขา หลังจากที่สรือ โถวอารมณ์คงที่แล้วจึงกลับห้องไป นางจึงหยิบเข็มขึ้นมา เย็บปักอยู่อีกสักพัก จนกระทั่งดวงตาเริ่มล้านางจึงได้เก็บ ของลุกขึ้นยืนยึดเอวบิดขี้เกียจ นางมองเห็นห้องสรือโถว ผ่านทางหน้าต่าง บานหน้าต่างห้องนั้นมีรอยเปิดอ้า ที่ยัง ปิดไม่สนิทดี
นางคาดคะเนไว้แม้ว่าตอนนี้อากาศจะยังไม่เย็นนัก แต่ ลมพัดในยามตกดึกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นางจึงเดินออก มายังห้องของสรือโถว ขณะที่กำลังเตรียมปิดบานหน้าต่าง ให้กับเขาอยู่นั้นสายตาพลันหันไปเห็นบนเตียงที่ว่างเปล่า ใบหน้าซีดเผือดกะทันหัน
“เจ้าเด็กนี่ หรือว่าจริงๆแล้ว…” หลินซินเยียนตื่นตระหนก สรือโถวจะต้องแอบออกไปข้างนอกแน่ๆ นางไปดูที่ห้อง ของท่านโจวและยายหลิว ห้องทั้งสองล้วนปิดแน่นหนา
นางลังเลอยู่สักพัก แต่ก็ไม่ได้ไปปลุกคนสูงวัยสองคนนั้น ที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ดังนั้นนางจึงกลับห้องไปหยิบเสื้อ คลุมตัวหนึ่งแล้วออกจากเรือนไป
สรือโถวมายังเมืองเพฟั่งชี ไม่น่าจะไปได้ไกล ที่นี่อยู่ใกล้ กลางใจเมืองอย่างมาก เสียงร้องขับขานดังออกมาจากที่ ตรงนั้น ดังนั้นหลินซินเยียนจึงไปเสาะหาตามทิศทางดัง กล่าว
เมื่อมาถึงพื้นที่ใจกลาง นางกลับยังไม่เห็นเงาร่างของส รือโถว หลินซินเยียนยิ่งร้อนใจยิ่งขึ้น จึงต้องเข้าไปในเหลา สุราที่มีคนร้องเพลง ขณะที่นางถึงหน้าทางเข้า จึงเห็นภาพ ฝูงชนอันล้นหลามในเหลาสุรา นางพลันตกตะลึงถอยหลัง ไปหลายก้าว ตนมั่นใจแน่ๆว่าเข้ามาในเหลาสุรา มิใช่หอ นางโลม
แต่ว่าบุรุษที่ใกล้จะน้ำลายไหลย้อยแบบเดียวกันในเหลา สุรานั้นเกิดอะไรขึ้