ตอนที่ 213 พบพระพักตร์ฮ่องเต้ครั้งแรก
วังจักรพรรดิช่างวิลิศมาหรากว่าที่หลินซีนเยียน จินตนาการภาพเอาไว้เสียจริงๆ เกวียนม้าควบปุเลงก ว่าจะเข้าเขตราชฐานวังหลังตำหนักยงเหอก็คล้อยยาม จิบชา ใต้สถานการณ์ปกติ พื้นที่เขตวังหลังมิอนุญาต ให้บุรุษล้ำเข้าไป เพียงแต่ครั้งนี้เนื่องจากคนสำคัญ มิใช่อู่เซวียนอ๋องแต่เป็นหลินซีนเยียน อีกอย่างอู่เซวีย นอ๋องเป็นอนุชาแท้ๆ ของฮ่องเต้ ล้วนแต่เป็นคนใน ครอบครัว ไม่นับว่าเป็นบุรุษนอก ดังนั้งจึงสามารถ เข้าไปยังตำหนักยงเหอได้
ตำหนักยงเหอหรูหราโอ่อ่ากว่าราชตำหนักอื่นใด ผ่านประตูตำหนักเข้าไปแล้ว มวลหมู่พฤกษาบุปผชาติ ปรากฏแก่ดวงเนตร ใกล้ย่างสู่เหมันตฤดู สถานที่แห่งนี้ ยังคงเต็มไปด้วยหมู่สุคันธชาติบานเบ่ง มิล่วงรู้จริงๆ ว่า ไปสรรหามวลผกาผลิบานยามเหมันต์นี้จากหนแห่งใด
ยามเมื่อถึงหน้าพระทวารตำหนักหลินซีนเยียนก็ ลงจากรถม้าเปลี่ยนเป็นเดินเท้าแทน นางเดินทางฝั่ง ขวาข้างกายของโม่จื่อเฟิง จินมู่มิได้ตามเข้าไปใน ตำหนัก ทำเพียงรอคอยอยู่นอกประตูตำหนัก เมื่อเริ่ม เข้าสู่เขตพระตำหนักยงเหอก็มีกลุ่มนางในวังหลังมา ขับสู่นำทางทั้งสอง
ผู้ที่มารับรองทั้งสองเป็นขันทีอาวุโสคนหนึ่ง ผิว พรรณของขันทีอาวุโสผู้นั้นดูเหมือนว่าได้รับการถนอมอย่างดี แม้ผิวจะมีรอยย่นทว่ายังคงมีเลือดฝาดขาว นวล เมื่อเขาเห็นโม่จื่อเฟิงก็รีบแย้มรอยยิ้มทันใด “ท่าน อ๋อง ท่านมาแล้ว หรือช่างรวดเร็วจริง ไม่เพียงแต่ฮองเฮาที่ ตระเตรียมการแต่เนิ่นๆ แม้แต่ฮ่องเต้เองยังทรงเสด็จ ดำเนินถึงได้สักพักแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ เสด็จพี่เขายังคงมีความอยากรู้อยากเห็น เหมือนเมื่อก่อนมิผิดเพี้ยน” โม่จื่อเฟิงเอ่ยเช่นนี้ ก็หมุน กายมาพูดกับหลินซีนเยียน “เขาก็อยากรู้อยากเห็น ตั้งแต่เล็กก็เป็นแบบนี้ อีกหน่อยเจอเขา เจ้าอย่าได้ เกรงกลัว เขาก็แต่ดีทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวเท่านั้น”
ใต้สรวงสวรรค์นี้ กล่าวว่าบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ฮ่องเต้นั้นแด่ตีข่มขู่ผู้อื่น คำกล่าวเช่นนี้มีเพียงอู่เสวียอ์ องเท่านั้นที่กล้าเอื้อนเอ่ย
ภายในสวนพฤกษาของพระตำหนักยงเหอ ด้าน หนึ่งติดฝั่งคีรินเป็นศาลาแปดเหลี่ยมเหมันต์ เนื่องจาก อากาศเริ่มเย็นแล้ว ทั้งสี่ด้านของศาลาเหมันต์ล้วน แขวนผ้าโปร่งเอาไว้ ทั้งให้ความงามงดและสามารถกัน ลมได้อีกด้วย หนำซ้ำยังเพิ่มความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา
หลินซีนเยียนทอดสายตามองออกไป ก็มองเห็น นางในยืนเป็นสองแถวด้านนอกศาลาเหมันต์ ในศาลา เหมันต์มีเงาคนเลือนราง หนึ่งในนั้นกำลังดีดพิณ เสียง พิณเสนาะกังวาน ดังทะลุผ้าปรุโปร่งสะท้อนลงมา
“ผู้ที่ดีดพิณ ก็คือฮองเฮาหรือ” หลินซีนเยียนหัน ศีรษะไปถามโม่จื่อเฟิง
โม่จื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง ยกยิ้มแสยะมุม ปาก “อูม แรกเริ่มเสด็จพี่ถูกเสียงพิณของนางดึงดูดจึง ได้แต่งนางเป็นชายา เวลานั้นเสด็จพี่ยังมิได้เป็นฮ่องเต้ เป็นเพียงรัชทายาท และนางก็กลายเป็นชายาแห่ง รัชทายาท เพียงแต่…” เขากล่าวถึงตรงนี้ บัดดลก็โน้ม ชิดใกล้ใบหูของนางพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ฮองเฮาผู้นั้น มนุษยธรรมไม่ค่อยสู้ดีนัก”
มนุษยธรรม..
ไม่รู้เหตุใด ได้สดับฟังคำวิจารณ์เรื่องมนุษยธรรม ของผู้อื่นจากปากโม่จื่อเฟิง หลินซีนเยียนกลับรู้สึกขำ 6 ขันเล็กน้อย ก็เหมือนกับคนหลอกลวงตีโพยว่าผู้อื่นต้ม ตุ่นเอาเงินเขาอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ โม่จื่อเฟิงผู้นี้ อวดศักดา สามารถทำให้เขาวิพากษ์ว่าเป็นคนไม่ดีได้ ส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ดีจริงๆ ยังมิเห็นพบพักตร์ หลินซีน เยียนก็รู้สึกอิดโรยใจกับฮองเฮาผู้นั้นเสียแล้ว
“เสด็จพี่ ข้ามาแล้ว” นางในเลิกผ้าแพรโปร่งขึ้น แทนทั้งสอง โม่จื่อเฟิงเดินรุดหน้าเข้าไปก่อนแล้ว ยังมิ ทันได้ทำความเคารพบุรุษที่สวมชุดมังกรสีเหลืองอร่าม กลับประทับกายลงตรงหน้าเขาโดยอำเภอใจ
หลินซีนเยียนตามเข้าไปยังศาลาเหมันต์ นี่ถึงได้ พบกับจักรพรรดิสมัยโบราณตัวเป็นๆ ในที่สุด โม่จื่อยี่ ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานเยว่ พี่น้องท้องมารดาเดียวกับ โม่จื่อเฟิง สำหรับการไร้มารยาทของโม่จื่อเฟิงนั้น ราวกับว่าโม่จื่อยี่ได้เฉยชินเป็นที่เรียบร้อย มิได้มีความกริ้วโกรธแม้สักน้อย
โม่จื่อยี่และโม่จื่อเฟิงประทับอยู่ข้างโต๊ะหิน ถัดไป ห้าก้าว มีพิณโบราณวางอยู่ ถัดจากพิณโบราณ มีสตรี ซึ่งสวมอาภรณ์ประจำพระตำหนักยงเหอกำลังร่ายดีด พิณ ผิดจากที่คาดคิดไว้ ฮองเฮาผู้นี้อ่อนเยาว์กว่าที่ หลินซีนเยียนจินตนาการไว้มาก ประมาณการว่าคงจะ อายุอานามเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น โดยเฉพาะโครง หน้าของนาง ล้วนมิได้มีการแต่งแต้มพระพักตร์เข้มคม เพียงแค่ประทินแป้งเบาบาง แต่ให้ความรู้สึกงามหยาด เยิ้มแก่ผู้มอง
“เฮ้ ฮองเฮา เจ้าดูเถิดเด็กนี่มองเจ้าจนตาแทบถลน แล้ว ต่อหน้าพระพักตร์แม้แต่การคารวะก็ลืมไปสิ้น แล้ว” โม่จื่อยี่เอื้อนเอ่ยเสียงเย็น ตวัดเนตรมองหลินซีน เยียนคิ้วขมวดอย่างมิสบอารมณ์
หลินซีนเยียนเพิ่งเรียกสติกลับมาได้ กุลีกุจอ คุกเข่าถวายความเคารพ “ข้าน้อยเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เฝ้า เข้าฮองเฮา”
“การถวายความเคารพนี้ เห็นที่จะต้องฝึกฝนเสีย แล้ว ดูเหมือนฮองเฮากล่าวไว้มิผิด” ดูเหมือนโม่จื่อยี่ยัง คงมีพึงใจ ไม่มีวี่แววจะให้นางลุกขึ้นแต่อย่างใด
หลินซีนเยียนคุกเข่าอย่างอึดอัดใจ กำลังคิดไม่
ตกว่าควรทำเช่นไร กลับเห็นฉลองบาทปักประณีตสีดำ
คู่หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าของตน เจ้าของเกือกสีดำคู่นี้
นางแสนคุ้นเคย นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นโม่จื่อเฟิงแย้มสรวลอ่อนๆ ให้นาง จากนั้นตรงไปพยุงนางให้หยัดกาย ขึ้น ซ้ำยังพานางไปนั่งบนตั๋งไม้
“เสด็จพี่ ท่านอย่าข่มขู่นาง นางขี้ขลาดนัก เพิ่งจะ คลอดบุตรได้เพียงไม่นาน บนพื้นเย็นเยียบ คุกเข่า นานเกินไปหากว่าเจ็บป่วยขึ้นมา ต่อไปจะคลอดบุตร ตั้งครรภ์ให้ข้าได้อย่างไรเล่า” โม่จื่อเฟิงรินชาร้อนแก่ หลินซีนเยียนด้วยตนเอง ปฏิกิริยาต่างๆ ล้วน แสดงออกว่าทะนุถนอมเอ็นดูนาง
นี่ทำให้หลินซีนเยียนรู้สึกพิศวงเล็กน้อย แต่ไหน แต่ไรมาโม่จื่อเฟิงมิเคยแสดงออกถึงความอบอุ่นอ่อน โยนใดๆ ต่อนาง ทว่าอยู่ต่อพระพักตร์ฮ่องเต้และ ฮองเฮา เขากลับมีท่าทีรักใคร่เสียเต็มประดา
โม่จื่อยี่เห็นการเคลื่อนไหวของนาง ก็ตกอกตกใจ “จื่อเฟิง คิดไม่ถึงเลย เจ้าก็มีช่วงเวลาที่ทะนุถนอมหญิง นางหนึ่งขนาดนี้ เช่นนี้คนเป็นพี่ก็นับว่าสบายอก สบายใจแล้ว หากเจ้าว่ายังคงเสเพลต่อไป ห้องว่า ราชการของข้าคงเต็มไปด้วยอนุสรณ์แห่งคดีฟ้องร้อง ของเจ้า เจ้าพูดเองเถิด หลายปีมานี้เจ้าทำร้ายแม่นาง ดีๆ ในเมืองเฟิงซี่ไปกี่รายแล้ว”
“เสด็จพี่ ท่านจะไม่เอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ในยามนี้ได้ หรือไม่” ดูเหมือนโม่จื่อเฟิงตบเข้าที่หน้าโต๊ะอย่างไม่ พอใจ
โม่จื่อยี่กลับหัวเราะอย่างสดชื่น “ช่างเถิด วันนี้ข้า จะไว้หน้าเจ้าสักหน่อย” ตรัสเสร็จ เขาก็หันพักตร์มาถามหลินซีนเยียน “ได้ยินจากจื่อเฟิงว่าเจ้าเป็นเด็ก กำพร้า ไร้พ่อขาดแม่แต่เล็ก เติบโตมาจากอารามชีรี” ” หลินซีนเยียนนึกไม่ถึงว่าโม่จื่อเฟิงจะอธิบาย
เกี่ยวกับสถานะของนาง ล้วนเหมือนกับฉบับเดิม แต่ว่า
ครุ่นคิดแล้วก็ใช่ เขาคงมิอาจบอกว่านางมาจากซ่อง
นางโลมหรอก ถึงแม้นางไม่ใช่หญิงจากหอนางโลมสัก นิด คิดถึงบิดาในนามของตนหลินเทียนเฉิงผู้นั้น หลิน
ซีนเยี่ยนกลับรู้สึก หากต้องนับคนประเภทนั้นเป็น คนในครอบครัวแล้ว นางเต็มใจให้ตนเองเป็นเพียงเด็ก กำพร้า “ทำไมไม่พูด หรือว่าจื่อเฟิงโกหกข้ารึี เจ้าไม่ใช่
เด็กกำพร้า เจ้ายังมีญาติมิตรอยู่” โม่จื่อยี่แสดงออกถึง
ความกังขา
หลินซีนเยียนทำลำคอให้ปลอดโล่ง จากนั้นจึง พยักศีรษะแผ่วเบา “บนโลกนี้ไม่มีญาติมิตรของข้าแล้ว ได้มาพบท่านอ๋อง คือความสุขในชีวิตของข้า”
“โอ้ แม้ข้าจะมีชะตาชีวิตแบบเดียวกับเจ้า แต่ว่า สถานะเช่นเจ้ากลายมาเป็นสนมรองของอู่เซวียนอ๋อง นับว่ามีวาสนานัก” โม่จื่อยี่ถอนหายใจพลางตรัส “เพียงแต่โม่จื่อเฟิงมาขอร้องข้าหนึ่งเรื่อง ว่ากันตาม จริงข้าก็ปฏิเสธมิได้ โชคดีที่ได้ฮองเฮาเตือนสติ เรื่อง สถานะนี้ ว่ายาก็ยาก ว่าง่ายก็ง่าย วันเวลาเหล่านี้เจ้าก็ เรียนรู้กฎระเบียบกับฮองเฮา เรียนจนคล่องแล้ว จากนั้นก็ให้ผู้สนองโอษฐ์ของฮองเฮาหาผู้จะมารับเจ้าเป็น บุตรีบุญธรรม หากเจ้าออกเรือน ก็จะง่ายต่อการผ่าน กระบวนการตรวจสอบ”