ตอนที่ 211 ความโทมนัสของสรือโถว
ราวกับรับรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ สรือโถวค่อยๆ ขยับ เปลือกตาขึ้นแช่มช้า ยามที่มองอย่างชัดเจนว่าคนตรง หน้าคือหลินซีนเยียน สรือโถวตื่นเต้นขึ้นมาในบัดดล คว้าหมับเข้าที่มือเรียวของนางพลางกล่าว “พี่ซีนเยียน ข้าอยากบอกท่านว่ามิให้ท่านกลับสวน แต่ว่าท่านโจ วกับยายหลิว…”
เห็นว่าปากแผลบริเวณข้อมือของเขามีแนวโน้มว่า จะปริออกเนื่องจากการใช้แรง หลินซีนเยียนกุลีกุจอ ลูบประโลมแผ่นหลังของเขาแผ่วเบา “เอาล่ะ มิต้องพูด แล้ว พี่รู้ว่าสรือโถวเป็นเด็กดี สรือโถวไม่เคยคิดร้ายกับ พี่เลย ใช่หรือไม่”
ภายใต้การปลอบโยนของนาง สรือโถวค่อยๆ สงบ เย็นลง เขาอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของหลินซีนเยียน ปลายจมูกเริ่มแสบและร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง “พี่ซีน เยียน ท่านว่าเหตุใดท่านโจวกับยายหลิวพวกเขาจึงทำ เช่นนั้นเล่า พวกเขาทำร้ายพี่สาวด้วยเหตุอันใด..
เผชิญกกับคำถามของสรือโถว หลินซีนเย็นทำ เพียงถอนหายใจเฮือกยาว นางยื่นมือไปลูบไล้ศีรษะ ของเขา “อาจเพราะ พวกเขามีความเตรียมตรมของ พวกเขาเองกระมัง”
สรือโถวที่แอบอิงอยู่ในอ้อมอกของหลินซีนเยียน หลั่งน้ำตา หลินซีนเยียนเองก็มิได้ขัดการระเบิดอารมณ์ของเขา รอกระทั่งเขาร้องจนหนำใจแล้ว หลิน ซีนเยียนจึงเอื้อนเอ่ยกับเขาอย่างจริงจัง “สรือโถว พี่ ได้วิงวอนต่อท่านอ๋องแล้ว เขายอมที่จะปล่องเจ้าไป แต่ว่า เจ้าเป็นเด็กตัวคนเดียว จากนี้จะใช้ชีวิตต่อไป เช่นไรกัน ข้าครุ่นคิดอยู่นาน ตระเตรียมจะให้เจ้าไป อยู่กับเพื่อนสมัยก่อนของข้าคนหนึ่ง ทั้งครอบครัวของ เขาล้วนแล้วแต่ดียิ่งนัก หากว่าเจ้าเต็มใจแล้วล่ะก็…”
แววตาของสร็อโถวทอประกายไม่คาดคิด เลียริม ฝีปากแห้งกรังก่อนถาม “เช่นนั้น….ท่านโจวล่ะ”
“เขา…ขณะนั้นที่ท่านโจวเตรียมจะนำตัววี่จิ่ง น้อยไป ไม่ว่าเขาจะจะอ้างเหตุผลอันใด สำหรับหลิน ซีนเยียนแล้ว ความรู้สึกของนางได้ถูกทำร้ายไปเป็นที่ เรียบร้อย เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของวี่จิ่ง โม่ จื่อเฟิงเองก็มิอาจปล่อยตัวเขาไปได้ง่ายดายเช่นนี้ หรอก
“พี่ซีนเยียน ท่านขอร้องท่านอ๋องให้ปล่อยท่านโจว ไปเหมือนกันมิได้หรือ” สรือโถวเงยหน้าขึ้น ในดวงตาคู่ นั้นฉายแววบริสุทธิ์ผุดผ่องเฉกเช่นเด็กน้อย ” ท่านโจว ไม่ใช่คนไม่ดี เขาเพียงแต่ติดหนี้บุญคุณพี่ใหญ่อิน ท่านโจวบอกว่า ชั่วชีวิตนี้ของเขาล้วนเป็นหนี้พี่ใหญ่อิน ดังนั้นเขาจะต้องตอบแทน ท่านโจวมิใช่คนไม่ดีจริงๆ ข้าคิดว่าเขาเองก็มิได้อยากประทุษร้ายลูกรักของพี่ซีน เยียนหรอก”
หลินซืนเยียนพยักหน้า ท่านโจวไม่ได้เลวโดยนิสัย ข้อนี้นางไม่เคยกังขาเลย เพียงแต่ว่า เรื่องบาง เรื่องนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็คงมิอาจกลับไปเป็นดังเดิมเฉก เช่นเมื่อก่อนได้ ก่อความผิดพลั้งขึ้นมาแล้ว มนุษย์ ล้วน แต่หาเหตุผลมารองรับให้กับความผิดของตนเสมอ “ส รือโถว เรื่องเหล่านั้น ข้าเองมิอาจยื่นมือเข้าไปแทรกได้ อีกอย่าง เรื่องราวมากมายที่ข้าไม่มีอำนาจตัดสิน สิ่งที่ ทำได้ ข้าก็ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว”
“เช่นนั้น….ท่านเกลียดพี่ใหญ่อินหรือไม่” สรือโถว ถามเสียงแผ่วอีกครั้งอย่างอดมิได้
หลินซีนเยียนตระหนก ก่อนเคร่งขึมไปชั่วขณะ จากนั้นจึงสั่นศีรษะ “คงไม่ถึงขั้นเกลียด เพียงแต่ผิด หวังก็เท่านั้น มนุษย์หนอ ทำเรื่องเหล่านี้ออกมาได้เพื่อ ผลประโยชน์ของตนนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ แห่งหนต่างกันความรู้สึกก็ต่างกันออกไป ยิ่งเป็นมิตร สหายคนหนึ่ง ข้ายิ่งผิดหวังมาก ทว่า หลังจากนี้ต้อง พบหน้ากัน เกรงว่าคงเป็นเพียงศัตรูไปแล้วกระมัง”
กระทั่งตอนนี้นางยังจำฉากที่วี่จิ่งน้อยถูกนำตัว ออกไปในขณะนั้นได้อย่างแม่นยำ เวลานั้น ความคิดที่ อยากสิ้นชีวันนางก็ล้วนมี วินาทีนั้น นางเกลียดอินฉี เกลียดที่เขาใช้จึงน้อยซึ่งนางรักมากที่สุดมาทำร้าย นาง หากว่าเกิดเรื่องอันใดกับวี่จิ่งแล้วจริงๆ เช่นนั้นชั่ว ชีวิตนี้ต่อไปนางจะมีชีวิตอย่างไรกันเล่า
สรือโถวเองก็เงียบขรึมลง ดูเหมือนว่าเขารู้สึก เหนื่อยล้ายิ่งนัก ซบอยู่ในอ้อมอกของหลินซีนเยียนพลางถูไถไปมา หลินซีนเยียนเข้าใจว่าเขาหลับไปแล้ว ใครก็รู้ว่าครู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงปนสะอื้นดังลอยขึ้น เขาพูด “พี่ซีนเยียน ท่านว่าหากข้าหาพ่อแม่ที่แท้จริง ของตนเจอแล้ว พวกเขาเห็นข้าในสภาพเช่นนี้ ยังจะ ต้องการข้าอีกหรือไม่”
ในอกของหลินซีนเยียนกระตุกเล็กน้อย ไม่กี่ อึดใจต่อมาแปรเป็นความร้าวรานที่ค่อยแผ่รากฝังลึก ในจิตวิญญาณ นางกลืนน้ำลาย ใช้น้ำเสียงที่ตนคิดว่า ราบรื่นเอื้อนวจี “ไม่มีพ่อแม่คนไหนรังเกียจลูกของตัว เองหรอก ข้าว่าตอนแรกที่หาเจ้าไม่พบพวกเขาเองก็ ร้อนรน หากว่าเจ้าหาพวกเขาพบแล้ว พวกเขาคงดีใจ จนล้น”
“แต่ว่า จู่ๆ ข้าก็หวาดกลัวเล็กน้อย ข้าคิดว่ายังมิ ต้องออกตามหาพวกเขาแล้ว” สรือโถวเอ่ยประโยคนี้ ด้วยความโทมนัส หลงเหลือเพียงแต่ร่องรอยเสียง สะอึกสะอื้นเท่านั้น
หลินซีนเยียนรู้ สรือโถวเพียงแต่หวาดกลัวที่จะ เห็นสายตาผิดหวังของพ่อแม่เท่านั้นเอง บางครั้งพร่ำ พลอดมิได้ทว่ากลับยังคงสามารถหลงเหลือความหวัง แสนงดงามอยู่
“สรือโถว เข้มแข็งหน่อย พี่รับปากเจ้า จะต้องช่วย เจ้าตามหาพ่อแม่ของเจ้าให้พบ” หลินซีนเยียนรั้งกอดส รือโถวแน่นกว่าเดิม
สรือโถวจ้องมองนาง ขยับเขยื้อนเรียวปาก ราวกับอยากเอ่ยอันใด ท้ายสุดกลับทำเพียงถอนหายใจหนึ่ง เฮือก มิได้เอ่ยคำใดออกมา
เนื่องจากสรือโถวมีโทษหนัก ต่อให้โม่จื่อเฟิง รับปากว่าจะปล่อยเขา แต่มิใช่ว่าอีกครึ่งชั่วยามหลิน ซีนเยียนจะสามารถนำเขาออกไปได้อย่างง่ายดาย ดัง นั้นหลังจากที่หลินซีนเยียนมาเยี่ยมสรือโถวเสร็จ ก็ยื่น ตั๋วเงินให้ผู้คุมหนึ่งใบ หวังให้ผู้คุมดูแลความสะดวกแก่ สรือโถวยามอยู่ในคุก ผู้คุมขังคนนั้นก็ตอบรับด้วย ใบหน้าแห่งรอยยิ้มเต็มอกเต็มใจ
เมื่อยามกลับถึงจวนอู่เซวียนอ๋อง หลินซีนเยียน ได้ยินเสียงมารกร้องครวญดังลอดมาจากห้องหนังสือ ของโม่จื่อเฟิง นางเพิ่มความเร็วในการสาวเท้าก้าว เข้าไปในห้องหนังสือ ก็พบโม่จื่อเฟิงกำลังปลอบท่าน อ๋องน้อยที่กำลังร้องไห้เสียงดังอย่างอ่อนโยน เห็นว่า นางเข้ามา โม่จื่อเฟิงขมวดคิ้วมุ่น กล่าวเสียงเย็น “เจ้า ว่าเด็กคนนี้เริ่มจะอายนแปลกหน้าแล้วใช่หรือไม่ จาก เมื่อวานได้ดื่มนมเจ้าไปแล้ว แม่นมป้อนนมให้เขากินอีก ครั้ง เขาก็ไม่กินอะไรเข้าไปแล้ว!”
” ” หลินซีนเยียนคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะตกอยู่ใน สถานการณ์เช่นนี้ ทำเพียงเม้มมุมปากรับตัววี่จิ่งน้อย จากอ้อมอกของเขากลับมา จากนั้นนางหันหลังให้เขา แล้วป้อนนมให้อ่องน้อย
ใครจะรู้ว่าวี่จิ่งน้อยกัดดูดนางจนแน่น จากนั้นก็ เริ่มกินจัดๆ ซ้ำยังมีสีหน้าฉายแววพึงใจสุดขีดอย่างที่ทำให้คนหัวเราะทั้งน้ำตา นี่เป็นเพียงทารกเดือนเสร็จ แท้ๆ กลับมีหน้าที่แสนอัศจรรย์เยี่ยงนี้ เวลานี้ทำให้ หลินซีนเยียนเคลิ้มภวังค์จนกู่ไม่กลับ
โม่จื่อเฟิงโผล่หน้ามาจากข้างหลังนางในฉับพลัน มองเห็นวี่จิ่งน้อยที่ดื่มด่ำอย่างพึงใจ “คนที่มีน้ำนมก็คือ แม่ เด็กที่โตแค่นี้เหตุใดจึงเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้”
หลินซีนเยียนปราศจากคำพูด ในใจหยั่งรู้ได้ โม่ จื่อเฟิงท่านเป็นถึงอู่เซวียนอ๋อง จะมีความสุจริตสักนิด ได้หรือไม่ กับลูกที่โตเพียงเดือนเศษยังวางแผนเสีย มากถึงเพียงนี้ เด็กที่โตแค่นี้จะโปรดปรานมารดาของ ตนนั้นมีอะไรไม่ถูกต้อง มี! อะ! ไร! ไม่! ถูก!
“เหตุใดเจ้าไม่พูด เจ้าเล่นเล่ห์กลอันใดใส่ลูกของ ข้าใช่หรือไม่” โม่จื่อเฟิงยังคงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าไม่ พอใจอย่างเห็นได้ชัด
หลินซีนเยียนนึกอยากร่ำไห้ไร้น้ำตาเสียจริง ถูก สมองอันพิลึกลั่นของเขาทำให้ที่อมะลื่ออยู่ครู่ “ทารก ยังเล็กอยู่ สำหรับเขาแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือกินนมกับ นอนหลับ ท่านอ่อง นี่ก็เป็นบุตรของข้า มิใช่ของท่าน เพียงคนเดียว” ไม่ถืออำนาจรัฏฐา หรือว่าจะให้นางเป็น แค่แม่นมจริงๆ แล้วเล่า
โม่จื่อเฟิงจ้องนางอย่างเยียบเย็น มองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ส่ายหน้าอย่างช่วยมิได้ ซ้ำวนมาหยุด บริเวณด้านหน้าของนาง จากนั้นจึงจ้องวี่จิ่งน้อยดูดกิน นมอย่างตั้งอกตั้งใจ