ตอนที่ 219 คนตระกูลหลิน
นางกำนัลที่นำทางให้หลินซีนเยียนเห็นว่านาง หยุดย่างก้าว จึงหันหน้าไปถามอย่างอดไม่ได้ “แม่นาง หลินรู้จักคนเหล่านั้นหรือ”
“. .” หลินซีนเยียนขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะทันควัน “ไม่รู้จัก ข้าตาฝาดไปเท่านั้น มองถี่ถ้วนแล้วกลับมิใช่คน ที่ข้ารู้จัก ใช่แล้ว เขาเหล่านั้นคือนางสนมคัดเลือกที่เข้า วังมาในครั้งนี้ใช่ไหม นางสนมคัดเลือกสะสวยจริงๆ ด้วย”
ฟังนางกล่าวเช่นนี้ นางกำนัลยกมุมปากขึ้นมา หัวเราะคิกคัก “แม่นางหลิน ท่านพูดจาน่าสนใจยิ่งนัก ท่านว่านางสนมคัดเลือกเหล่านั้นสะสวย ในมุมมองของ ข้าน้อย แม่นางหลินสะสวยกว่าพวกนางหลายเท่านัก”
“เอ่อ…” หลินซีนเยียนนึกไม่ถึงว่านางกำนัลของ พระตำหนักยงเหอนี้จะชมว่านางสะสวย ดูเหมือนจะมี ปณิธานไม่ตรงกับฮองเฮานัก แต่ว่านึกแล้วก็ใช่ หากว่า เป็นนางกำนัลชิดใกล้ของฮองเฮา ก็คงไม่ถูกจัดเตรียม ให้มาปรนนิบัติคนเช่นนางหรอกกระมัง
“แม่นางหลินพวกเรารีบเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ หาก ชักช้าฮองเฮาจะพิโรธแล้วนะเจ้าคะ” นางกำนัลกล่าวเช่น นี้พลางนำทางนางเดินไปข้างหน้า
ไกลออกไป นางสนมคัดเลือกไม่กี่คนกำลังหัวร่อ ต่อกระซิกพลางเดินไปด้านหน้า หนึ่งในนั้นกลับมองเข้ามายังทิศทางของหลินซีนเยียน นางขมวดหัวคิ้วมุ่น ร้อง ตกใจอย่างพิศวง แต่ว่าเพียงแวบเดียวก็พลันส่ายหน้า ราวกับไม่อยากเชื่อความจริงที่ตนมองเห็น
“ซินเอ๋อ เจ้ากำลังมองอะไรอยู่” ผู้หญิงที่เดินอยู่ ข้างๆ ประชิดเข้ามา เห็นว่าหลินซินเอ๋อยืนที่อแน่นิ่งจึง เอ่ยปากถาม
หลินซินเอ๋อผงะ หันหน้ากลับมา พลางหัวเราะ “ไม่มีอะไร เพียงแค่เห็นผู้หญิงที่แต่งตัวชุดช้อยคนนั้น ช่างเหมือนน้องสาวข้าก็เท่านั้น แต่ว่าข้าต้องตาฝาดไป เป็นแน่ น้องสาวข้าคนนั้นจากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว”
“อ้อ…เจ้าพูดถึงคนในครอบครัวเจ้าที่ยังมิทันได้ ออกเรือนก็ไปกับหนีตามผู้ชายจนเสื่อมเกียรติ สุดท้ายก็ ฆ่าตัวตาย…ใช่พี่สาวคนนั้นหรือไม่” โจวฉินถามกะพริบ ตาปริบๆ
ตระกูลโจวกับตระกูลหลินนับว่าเป็นตระกูลมิตร เก่าแก่กัน เพียงแต่ต้นตระกูลของตระกูลโจวล้วนเป็น ข้าราชการพลเรือนในเมืองหลวง ส่วนคนต้นตระกูลหลิน เป็นหัวหน้าทัพตระเวนชายแดน คนของทั้งสองตระกูล จึงไม่ได้แต่งงานเกี่ยวดองกัน
ปีกลายหลังจากที่ตระกูลหลินย้ายถิ่นกลับสู่เมือง หลวง ทั้งสองตระกูลจึงได้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งขึ้น ใน ทั้งสองตระกูล หลินซินเอ๋อกับโจวฉินทั้งคู่อายุอานาม ใกล้เคียงกัน ก็ต้องสนิทสนมไม่น้อยกันเป็นธรรมดา ยิ่ง เพิ่มพูนการถูกคัดเลือกให้เป็นนางสนมในรอบเดียวกัน ยิ่งชัดเจนว่าปรองดองกันมากกว่าคนอื่น เรื่องของตระกูลหลิน นับว่าโจวฉินรับรู้อยู่ค่อนข้างมาก
หลินซินเอ๋อพยักหน้า “ใช่ ก็คือพี่สามที่ขายหน้า พวกเราตระกูลหลิน เอาล่ะ ไม่พูดถึงนางแล้ว กล่าวขึ้น มาล้วนกระทบต่ออารมณ์ อย่างไรนางก็ตายไปแล้ว พูด ถึงอีกก็ไร้ซึ่งความหมายอันใด”
จุดกึ่งกลางของสวนเหมย โต๊ะเหลี่ยมแต่ละตัวถูก จัดวาง ด้านหลังโต๊ะเหลี่ยมเล็กปูพรมผืนหนาที่สามารถ ด้านความหนาวเอาไว้ บนพื้นมีนวมรอง นาทีนี้บนที่นั่ง ประจำโต๊ะเหลี่ยมเล็กมีผู้คนประทับกายจำนวนไม่น้อย แล้ว ล้วนนั่งร่วมกันแบบกลมเกลียวต่อกัน ล้อมรอบโต๊ะ เหลี่ยมเล็ก รับประทานของว่างไปพลางพูดคุยกันไป พลาง
สถานที่ซึ่งมีหญิงสาวคณานัป มักมิอาจเดียวดาย ข่าวคราวเล็กน้อยทุกรูปแบบสามารถทำให้พวกนางไม่รู้ ตัวว่าพร่ำกล่าวไปแล้วครึ่งค่อนวัน
ฮองเฮาประทับบนตำแหน่งหลัก ข้างกายของ นางยังมีที่ประทับว่างเปล่าอยู่ ตำแหน่งนั้นเบียดชิดใกล้ เคียงศูนย์กลางมากกว่า เดาว่าเว้นตำแหน่งนี้ไว้ให้โม่จื่อ ยี่เหล่านางสนมที่โม่จื่อยี่โปรดปรานไม่กี่นางประทับ ขนาบกายทั้งสองข้างของฮองเฮา ปราศรัยกับฮองเฮา อย่างชิดเชื้อ ผู้ที่ไม่รู้ยังคงคิดว่าพวกนางเป็นพี่น้องกลม เกลียวกัน ทั่วทั้งงานเลี้ยงล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศ ครึกครื้นรื่นเริง
เมื่อหลินซีนเยียนเดินมาถึงจุดจัดงาน กวาดมอง โต๊ะเหลี่ยมเล็กรอบๆ กลับเดินตรงไปนั่งปุกลงยังตำแหน่งที่อยู่ในมุมสุด งานเลี้ยงที่ประชันสันสีเยี่ยงนี้ เดิมทีนางก็มิได้อยากมา ต่อให้ปัจจุบันจะถูกขอร้องว่า ต้องมาแล้ว นางก็ไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้คน ยิ่งหลิน ซินเอ๋อก็อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว
ในเรื่องของตระกูลหลิน หลินซีนเยียนไม่อยากมี ส่วนเกี่ยวพันอันใดอีกแล้ว เพียงแต่ มีบางเรื่อง ก็ไม่ อยากหลบหลีกได้ นางเคยขบคิด ในเมืองเฟิ่งชีนี้ ไม่ช้า ก็เร็วจะต้องพบปะกับคนตระกูลเข้าในสักวันหนึ่ง เพียง แต่ เสมือนนกกระเทศไม่ปาน นางมักคิดเสมอว่าจะ สามารถหลีกลี้ได้วันต่อวันสินะ ลี้หลบหนึ่งวัน ก็ร่มเย็น ไปอีกหนึ่งวัน
นางเพิ่งหย่อนกายลง ก็เห็นฮองเฮามองมาทางนี้ ในเรื่องที่นางไปหลบมุมสุดนั้น ราวกับฮองเฮาไม่พอใจ ยิ่งนัก ตรัสสั่งให้แม่นมอวุโสนางหนึ่งเดินมาพาหลินซีน เยียนออกไป
หลินซีนเยียนตามหลังแม่นมอาวุโสมายังด้าน หน้าของฮองเฮา ถวายคำนับแด่ฮองเฮาและนางสนม แต่ละคนฮองเฮาจึงเริ่มต้นแนะนำนางแก่บรรดาผู้คน
“นี่ก็คือสนมรองแซ่หลินที่อู่เซวียนอ๋องเตรียมจะ สมรสนาง เป็นอย่างไร รูปร่างเสน่หาน่าเอ็นดูหรือไม่ รูป ลักษณ์งามเพียงนี้ มิแปลกใจที่แม้แต่อู่เซวียนอ๋องก็มิ อาจละเลยความรุจิเรขได้สินะ” ฮองเฮาตรัสหยอกเย้า
เหล่านางสนมก็พยักหน้าตามๆ กัน การเอ่ยชมหิน ซีนเยียนนี้ มิเอ่ยถึงอย่างอื่น ก็เพราะยศศักดิ์ของอู่เซวีย นอ๋อง ไม่มีสนมนางไหนกล้ามิไปประประจบประแจงหรอก อีกอย่าง เดิมทีในวังหลวงนี้ก็ปราศจากความลับ ใดๆ ฮองเฮาสั่งสอนหลินซีนเยียนกลับถูกอู่เซวียนอ๋อง แก้เผ็ดคืนเรื่องนี้ นางสนมที่พอมีขั้วอำนาจทุกนางล้วน รับรู้หมดแล้ว ยิ่งรู้ไปอีกว่าแซ่หลินผู้นี้เป็นคนที่อู่เซวียนอ องวางไว้ในกำมือ คนประเภทนี้ ปราศจากอำนาจหนุน หลัง ก็มิอาจมีใครจงใจไปกลั่นแกล้งนาง
“เอ้ พวกเจ้าว่า แม่นางแซ่หลินผู้นี้สะสวย หรือว่า เว่ยกุ้ยเฟยของพวกเราสวยกันเล่า” ฮองเฮาได้ยินบรรดา ผู้คนชื่นชมสรรเสริญ จึงตรัสปุจฉาเย้าแหย่เช่นนี้ออกมา
เหล่าสนมนิ่งที่อ ต่างมองฝ่ายตรงข้าม ส่วนใหญ่ แย้มยิ้มอย่างอึดอัด ไม่มีใครกล้าออกความเห็นโดย พลการ คนที่หลักแหลมล้วนรู้ดี นี่เห็นได้ชัดว่าฮองเฮา จงใจดีรวนความสัมพันธ์ของแซ่หลินและเว่ยกุ้ยเฟย หญิงงามมิใช่ว่ามองไม่เห็นผู้ใดสวยกว่าตนเองหรอก หรือ
หญิงทั้งสองนางล้วนวิไลลักษณ์ ดังนั้นขอเพียง ผู้แน่วแน่เพียงครั้งเดียวก็พลันคลุ้งกลิ่นดินปืนออกมาให้ ได้ประจักษ์แล้ว
เพียงแต่ ก็มีคนสายตาไม่แหลมคม หญิงนาง หนึ่งที่นั่งริมขวาสุดของพระนางฮองเฮา ราวกับยามที่ เหล่านางสนมพูดคุยกันก่อนหน้านี้แทรกปากพูดไม่ทัน ปัจจุบันเห็นว่าคนอื่นเอ่ยคำพูดไม่ออกแล้ว นางจึงพลัน เร่งรีบปริปาก บางทีอาจเพื่อดึงดูดจุดสนใจของผู้คน บางทีอาจเพื่อประจบสอพลอเว่ยกุ้ยเฟย ท้ายสุดนางจึง เอ่ยปากกล่าว “นี่ยังต้องให้พูดอีกหรือเจ้าคะ แน่นอนว่าต้องเป็นเว่ยกุ้ยเฟยของพวกเราสะสวยที่สุดอยู่แล้ว เว่ ยกุ้ยเฟยเป็นถึงสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุดเชียว นะ ครั้งนี้ยังกำเนิดองค์ชายน้อยให้แด่ฮ่องเต้ สามารถ มอบสิ่งล้ำค่าให้พระราชา แน่นอนว่าต้องงามงดที่สุดอยู่ แล้วเจ้าค่ะ”
พอคำพูดของนางเพิ่งออกจากปาก สนามนางอื่น ล้วนตะลึง เพียงแต่ทันใดนั้น ทั้งมวลล้วนมองไปทาง นางด้วยสายตาสะใจในความที่มของนาง มีนางสนมที่ ความสัมพันธ์ดีงามสองนางกระซิบกระซาบกันโดยมิรู้ตัว “มิแปลกว่าเข้าวังมาตั้งนานแล้วเพิ่งเป็นได้แค่ไฉเหริน ก็ ที่มทมีนเช่นนี้เอง มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็ว่า อัศจรรย์แล้ว”
อีกคนก็กล่าวเสริม “มิใช่หรอกหรือ นางปอปั้นเว่ ยกุ้ยเฟย แต่กระทบฮองเฮากับแม่นางแซ่หลินแล้ว”
หลินซีนเยียนได้ยินคำพูดของไฉเหรินผู้นั้น สีหน้าก็เคร่งขรึมลง ขวับมองยังเว่ยกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านซ้าย ของฮองเฮาทันใด เว่ยกุ้ยเฟยอายุราวยี่สิบพรรษา กำลัง อยู่ในวัยสะพรั่งบาน มองจากเค้าโครงหน้าแน่ชัดว่าเป็น สาวงามล่มเมือง ยิ่งพูนเพิ่มขนงเนตรล้วนแล้วแต่ ทำความรู้สึกอ่อนช้อย หญิงสาวเช่นนี้ ไม่มีชายคนใดจะ จงเกลียดได้ลง
แต่ว่า หากแม้นเว่ยกุ้ยเฟยอ่อนละเมียดเฉกเช่น กับรูปลักษณ์ภายนอกของนางจริงๆ จะสามารถดำรง ตำแหน่งนางสนมขั้นสูงในวังหลวงกินคนเช่นนี้ได้ อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถกำเนิดโอรสให้ฮ่องเต้โดยสงบได้อีก