ตอนที่ 379 ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย
การโจมตีนั่นขององครักษ์ ราก่อนหน้า สรุปแล้วก็ได้มอบการ บาดเจ็บครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่โม่จื่อเฟิง ไม่ว่าเขาจะอดกลั้นอย่าง สุดขีด แต่ท้ายที่สุดกลับถลาล้มลงในนาทีนั้น
หลินซีนเยียนพุ่งสู่เบื้องหน้าของโม่จื่อเฟิง กลับเห็นหนีหว่านที่ ใบหน้าเศร้าโศกกำลังพยายามยื้อลมหายใจของไม่จื่อเฟิง ฝีเท้าของนางชะงักอีกโดยพลัน โดยเฉพาะยามหนีหวานเลย หน้าขึ้น ค่อยๆ ส่ายหน้าให้นางอย่างช้าๆ นางแทบจะหมดสติลง ตรงนั้น
หนีหว่านร่ำไห้ หนีหวานที่ฉกาจฉกรรจ์กว่าผู้ชาย กำลังหลั่ง น้ำตาไห้รำพันขึ้นมา ในปากพึมพำไม่หยุด “เป็นไปไม่ได้ เป็น ไปไม่ได้ ไม่อาจเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้านายได้…
ชายชุดดำที่อยู่รอบด้านเองก็เสมือนกับยังไม่ได้ตอบสนองว่า เรื่องราวจะบังเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเป็นฉากที่ทำให้คนยากจะ ยอมรับได้เพียงนี้ ในอกของพวกเขาทุกคน ไม่จื่อเฟิงล้วน เป็นการดำรงอยู่ของพระเจ้าก็ไม่ปาน ดังนั้นพวกเขาไม่เคยคาด คิดว่าจะมีสักวัน ที่พระเจ้าอันเคารพนี้ก็มียามสูญสิ้นเช่นเดียวกัน
ชั่วครู่หนึ่ง ภายในสวนนอกจากเสียงระทมทุกข์ของหนีหว่าน แล้ว ก็ไม่ได้ยินสรรพเสียงอื่นใดอีกเลย
สีหน้าของทนนเยียนซีดเผือดปราศจากสีเลือดฝาด นางสุด ลมหายใจลึก และสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง ขบกัดเรียวปากล่างของตนแน่นสนิท บางทีเพราะใช้แรงมากเกินไปหน่อย วินาทีนั้น เรียวปากล่างของนางถูกกัดแตก โลหิตสดไหลเข้ากลางปากของ นาง ความรู้สึกขมเพื่อนกลับเทียบไม่ได้กับความเจ็บร้าวในกลาง อก
“เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดจึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า หลินซินเยียนเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ดังนั้นจึงสายศีรษะไม่ยอมหยุด จากนั้นเสียงฟุบหนึ่งซัดลมที่พื้น หน้าผากของนางขนาบบนแผ่น พื้นอันเย็นเยียบ เบื้องหน้านอกจากดินตนแล้ว ก็ปราศจากสิ่งอื่น ไดอีก
ความคิดของนางยุ่งเหยิงสะเปะสะปะอย่างสมบูรณ์แบบ ภายในสมองต่างประมวลฉากภาพประเดประดังทั้งชีวิต นับจาก สมัยประถมที่ถูกเพื่อนร่วมห้องรังแก จนถึงเพื่อนจอมป่วนร่วม ห้องนอนสมัยมหาวิทยาลัย ยังมีกลุ่มคนร่วมงานไร้จรรยาเหล่า นั้นที่อยู่ในห้องทำงาน สุดท้าย ฉากภาพล้วนเป็นโม่จื่อเฟิงกอด เสี่ยววี่จิ่งเอาไว้ บุคคลที่สูงส่งเกรียงไกรเพียงนั้น โอบรัดเด็กคน หนึ่งอย่างระแวดระวัง เป็นฉากแสนขบขัน แต่กลับอ่อนโยนเสีย จนทำคนหลั่งน้ำตาออกมา
“ไม่ ให้เขาตายแบบนี้ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้!” หลินซืน
เขียนปาดคราบน้ำตา จากนั้นมือทั้งสองข้างประสานกันไว้เลียน แบบพฤติกรรมการปฐมพยาบาลฝึกช่วยชีวิตคนเบื้องต้นกล กระตุ้นแรงเต้นหัวใจและผายปอด
นางจำได้ แรกเริ่มที่มีการฝึกอบรม อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ยิ่ง เป็นคนหนุ่มที่สูญเสียลมหายใจและการเต้นของหัวใจไปกะทันหันแบบนี้ ยิ่งเป็นไปได้สูงที่จะมีโอกาสฟื้นกลับมา เนื่องจากสมรรถภาพอวัยวะของพวกเขานั้นดี ความเป็นไปได้ที่ จะฟื้นคืนจ๋งมาก
ดังนั้นนางจึงกดกระตุ้นแรงเต้นหัวใจที่บริเวณหน้าอกของโม่ จื่อเฟิงหลายต่อหลายที กดหลายๆ ที่จึงค่อยช่วยผายปอด หนึ่ง ครั้ง กระทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา
ผู้คนรอบด้านไม่รู้ว่านาง กำลังทำการใดอยู่ ทว่าถึงยามนี้แล้ว กลับปราศจากคนไปยับยั้งผู้หญิงซึ่งใบหน้าเปี่ยมความโศกาสิ้น หวังคนนี้ พวกเขาล้วนถูกจองจำอยู่ในโลกอันแสนเศร้าของ ตนเอง เสมือนเสาะหาทิศทางการกลับไม่พบ
ฟื้นเข้ามาสิ ฟื้นขึ้นมา กลับมามีชีวิตอยู่ จะต้องกลับมามีชีวิต อยู่ ในก้นบึงหัวใจ หลินซีนเยียนกู่ร้องตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าในแง่ของการเคลื่อนไหว นางกลับไม่ได้หย่อนคล้อยลงเลย สักนิด นางพยายามรำลึกถึงทุกการปฏิบัติที่อาจารย์แนะนำ ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการช่วยชีวิตคนเบื้องต้นอย่างสุดความ สามารถ ขอเพียงกระทำไปจนถึงระดับมาตรฐานสูงสุด จึง สามารถมีความหวังอันเปี่ยมล้นได้
“พอเถิด หากว่าเจ้านายไปแล้วจริงๆ ก็ให้เขาจากไปอย่าง สงบใจเถิด… หนีหว่านเห็นว่าหลินซินเยียนมีการเคลื่อนไหวที่ จุมพิตไม่จื่อเฟิงไม่หยุดหย่อน ราวกับค่อนข้างไม่พอใจ นำเอา เพลง โทสะอันเต็มปรระบายใส่เรือนกายของนาง ล้วนเป็น เพราะเจ้า! หากไม่ใช่ว่าเพื่อช่วยชีวิตเจ้า เจ้านายจะถูกคนพวก นั้นจับจุดอ่อนได้อย่างไรกัน ล้วนเป็นเพราะตัวปัญหาอย่างเจ้าตอนมีชีวิตอยู่เจ้านายถนอมเจ้าปานนั้น ปัจจุบันเจ้านายจากไป แล้ว เจ้าสมควรจะจากไปกับเขาด้วย! และไม่ต้องห่วงว่าเจ้านาย จะคลั่งไคล้เจ้าเลยสักนิด!
สีหน้าของหนีหว่านเริ่มเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมา ถ้อย วาจาพรรค์นี้ ไม่เพียงแต่เอ่ยกับหลินซีนเยียน ราวกับกำลังกล่าว ย้ำเตือนตัวนางเองด้วย นางก้มหยิบดาบยาวที่ถูกขว้างทิ้งบนพื้น ขึ้นมาโดยไม่ให้ลุ้มให้เสียง จากนั้นจึงวางบนลำคอของหลินซีน เขียนช้าๆ พลางกล่าวเสียงเย็น “ข้าบอกว่า พอแล้ว!”
หลินซีนเขียนถูกหยาดน้ำตาพร่ามัววิสัยทัศน์ ทั้งใจนึกเพียง อยากช่วยชีวิตไม่จื่อเฟิง จะมีกะใจไปคิดเกี่ยวกับการกระทำและ คำพูดของหนีหว่านเสียที่ไหน ดังนั้นนางจึงเสมือนกับไม่ได้รู้สึก ถึงดาบยาวที่อยู่บนลำคอตนเอง ยังคงโน้มตัวลงไปช่วยไม่ จื่อเฟิงผายปอดอยู่เช่นเดิม
มีอยู่ครู่หนึ่ง แม้กระทั่งหนีหว่านเอง ก็นิ่งทอ ดังนั้นจึงหลงลืม การเคลื่อนไหวไปสิ้น ปล่อยให้ดาบยาวเชือดเฉือนลำคอของ หลินซีนเยียน แทบจะโดยสัญชาตญาณ นางหดมือกลับ คราวนี้ จึงทำให้หลินซีนเยียนหลบหนีจากบทสรุปแห่งความตายในครั้ง นี้ลง
หนีหวานที่จิตใจกระด้างเรื่อยมา แม้กระทั่งตนเองก็ไม่ชัดเจน เหตุใดจึงยอมละทิ้งโอกาสทำให้หลินซีนเขียนตกขุมนรกไปใน วินาทีสุดท้าย บางครั้ง เพราะค่าบัญชาของไม่จื่อเพิ่งยังคงส่ง ผลกระทบในจิตใต้สำนึกต่อการกระทำของนางกระมัง โม่จื่อเฟี งบัญชานางให้ปกป้องหลินซีนเขียน ดังนั้น ในกระดูกกระเดี้ยวนางจึงดำรงอยู่ซึ่งค่ามั่นแห่งการปกป้องหลินขึ้นเขียนเอาไว้
โลหิตสตบนสําคอของหลินซีนเขียนไหลรินตามแนวที่นางโน้ม ตัวลง เลือดสดที่ร้อนระอุไหลหยดใส่ระหว่างริมฝีปากบางอันเป็น เยียบของโม่จื่อเฟิง เสมือนดอกโบตั๋นแดงสดที่เบ่งบาน วาด วิจิตรให้ริมฝีปากแบบบางของเขาปรากฏแววแห่งความสดงาม
ฉับพลัน เสียงไอแผ่วเบาดังลอยมาจากปากของไม่จื่อเพิ่ง
น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งนัก หากว่าไม่ฟังอย่างถี่ถ้วนอาจมองข้าม อย่างสิ้นเชิง ทว่า หลินซืนเยียนที่ฟุบบนเรือนกายของเขากลับ ได้ยินเข้า และได้ยินชัดเจนเสียด้วย
นางไม่แยแสบสดแผลของตนเอง รีบหันหน้าไปตะโกนทางหนี หวาน “ในกายมียาช่วยชีวิตอันใดหรือไม่ รีบนำเอามาเร็ว!
หนีหว่านปราศจากการตอบสนองกลับมา “เจ้านายเขาได้…”
“มีหรือว่าไม่มี!” หลินซีนเยียนแผดเสียงต่ำ ไม่มีเวลาไปสนใจ คําไร้สาระของหนีหว่าน
หนีหว่านมองดูไม่จื่อเฟิง ค้นพบอย่างตกตะลึงว่าแผงอกของ ไม่จื่อเฟิง การกระเพื่อมขึ้นอย่างเนิบนาบแล้ว นางตื้นตันจน เกือบจะสูญน้ำเสียง ล้วงเอาขวดอันหนึ่งออกมาจากกลางอกมือ เป็นพัลวัน ตื้นตันเสียจนไม่มีกะใจไปอธิบายว่าในขวดนั้นสรุป แล้วเป็นสิ่งใดเลยสักนิด
หลินซีนเยียมรับขวดลายครามมา เปิดจุกขวดออก นำเอาของ ข้างในขวดนไล่กลางปากของไม่จื่อเฟิง เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้นางไม่ได้คาดคิดเลยก็คือสิ่งที่ภายในขวดนั้นบรรจุอยู่ก็คือ โลหิต
สด
โลหิต…
ขณะนั้น หลินซีนเขียนก็รู้แล้วว่านี่คือของสิ่งใด
โลหิตกิเลน ยาวิเศษที่สามารถต้านทานพิษภายในกายของไม่ จื่อเฟิงเอาไว้ได้ประเภทนี้ อันที่จริงแล้วเป็นของที่มีพิษมากกว่า พิษในกายเขาเสียอีก การต้านทานทั้งหมดทั้งมวล ก็เป็นการใช้ พิษถอนพิษนั่นเอง
โม่จื่อเฟิงที่ดื่ม โลหิตกิเลนแล้วกลับยังไม่ได้ฟื้นสติขึ้นมาใน ทันที ยังคงอยู่ท่ามกลางห้วงภวังค์ดิ่งลึก แต่ว่าร้ายก็ได้ถอย เท้าออกมาจากประตูผีกลับมาแล้วข้างหนึ่ง
ในที่สุดหลินซ๊นเขียนก็ทอดถอนใจลึกๆ นางลูบไล้หน้าผาก ของโม่จื่อเฟิงอย่างอ่อนโยน หลั่งน้ำตาแล้วประทับจุมพิตลงบน หน้าผากของเขา ความรู้สึกเมื่อสักครู่ ใจหายใจคว่ำเกินไป ชั่ว ชีวิตนี้ นางล้วนไม่นึกอยากให้มาอีกครั้ง
“จื่อเฟิง ชั่วชีวิตนี้ให้ข้าตายต่อหน้าท่าน ได้ไหม” ในที่สุดนาง ก็ได้ประสบมันด้วยตัวเองครั้งหนึ่งอย่างจัง ความรู้สึกแห่งการไม่ ร้องขอให้กำเนิดพร้อมกัน แต่อ้อนวอนให้ตายพร้อมกัน นางไม่ กล้าคิดเลยสักนิดว่าถ้าหากช่วยชีวิตไม่จื่อเพิ่งกลับมาไม่ได้จริงๆ นางจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร เสียวจึงจะมีชีวิตอย่างไรกัน
ชะตาชีวิตของนางและเสี่ยวจึง ได้ผูกโยงเข้าด้วยกันไม่ จื่อเฟิงตั้งแต่แรกแล้ว ศัตรูของโมซื่อเฟิงก็คือศัตรูของพวกนางยามโม่จื่อเฟิงผู้เป็นต้นใหญ่กำบังลมทรุดลง คนเหล่านั้น ยังจะ หลงเหลือให้พวกนางสองแม่ลูกมีชีวิตลำพัง? นี่ก็คือสังคมแห่ง สัจธรรม ผู้ประสงค์ โดยไม่หวังผลมีน้อย ผู้ประสงค์ร้ายนั้นมี
มาก