ตอนที่ 387 ความตายมาเยือนอย่าง กะทันหัน
ความตาย มักจะมาเยือนอย่าง กะทันหันในตอนที่เหล่ามนุษย์คิดว่า ยังอีกยาวไกล
หลินซีนเยียนคิดไม่ถึง เซียวผ่าน จะตายไปอย่างสงบเช่นนี้ สีหน้าของ เขาช่างสงบยิ่ง เสมือนกับวินาที สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เสียใจภายหลังแม้ สักนิด
หากไม่ใช่ว่าโลหิตสดและร่างไร้ วิญญาณของเขาอยู่ตรงเบื้องหน้าของ หลินซีนเยียน หลินซีนเยียนปฏิเสธที่ จะเชื่อว่าเขาจากไปอย่างง่ายดาย เพียงนี้แน่ เขาเคยเป็นทูตสวรรค์แห่ง ศาลาความลับแห่งสวรรค์ เขาเป็น บุคคลอัจฉริยะด้านการผลิตอาวุธ เขา คือเซียวต้าเจียที่นางทั้งสักการะและ เลื่อมใส ไฉนจึงตายอย่างง่ายดาย เพียงนี้
ทว่า ความเป็นจริงมักจะโหดร้าย ความตาย นั้นง่ายมาก ปราศจาก กระบวนการอันสวยงาม ไร้ซึ่งการร่อง ขึ้นและดิ่งลง ก็ตายจากไปอย่าง ง่ายดายเช่นนี้แล
หลินซีนเยียนกอดร่างไร้วิญญาณ ของเซียวผ่านเอาไว้ จนกระทั่งร่าง ของเขาเย็นซีดลงไปอย่างสมบูรณ์ แบบ ทั้งกายของนางยังคงไร้ความ รู้สึก ดวงตาของนางว่างเปล่าและ สับสน ราวกับยังคงจมดิ่งอยู่ในโลก ของตนเอง ไม่เต็มใจยอมรับความจริง อันโหดร้ายข้อนี้
ฟ้า มืดพอแล้ว ราตรี เย็นเยียบ พอแล้ว แต่พระเจ้าราวกับยังรู้สึกว่า เพียงพอ แม้ในตอนกลางดึกเกล็ด หิมะก็ล่องลอยลง บุปผาเกล็ดหิมะ บานเบ่งภายในสวนทีละดอก ทำให้ โลกทั้งใบรายล้อมด้วยความหนาว เหน็บประเภทที่กรีดกระดูก
ตอนที่หนีหว่านมายังภายในสวน อีกครั้ง มองเห็นว่าหลินซีนเยียนกอด ร่างไร้วิญญาณของเซียวฝานไม่ยอม ปล่อย นางที่เป็นหญิงแกร่ง ขอบตาก็ เริ่มแดงก่ำ นางกำหมัดแน่นหลายต่อ หลายครั้ง และท้ายที่สุดก็คลายออก ครูใหญ่ต่อมา นางกระแอมลำคอจึง ค่อยกล่าวคำออกมา นางเอ่ยกำชับผู้ ติดตามที่อยู่ด้านข้าง “ทำตามคำสั่ง ของเจ้านาย ให้พวกนาง…รีบออกไป เสีย…
ผู้ติดตามทั้งสองสบมองกันแวบ หนึ่ง พยักศีรษะจากนั้นจึงเดินไปทาง หลินซีนเยียน
“สนมรอง…” หนึ่งในนั้นเพิ่ง ปริปาก ก็ถูกคนที่อยู่ด้านข้างถลึงมอง ฉับพลันจึงดึงสติกลับมาเปลี่ยนคำพูด แม่นางหลิน เชิญท่านออกไปเสีย “ เถิด”
หลินซีนเยียนประดุจไร้ความรู้สึก กอดร่างไร้วิญญาณที่ราวกับคนตาย เดินได้ของเซียวฝานเอาไว้
ทั้งสองเหลือบมองกันและกัน ล้วนไม่รู้จะแนวทางจัดการ ทำได้ เพียงมองย้อนกลับไปขอความช่วย เหลือจากหนีหว่านอย่างไร้ทางเลือก ไกลออกไปหนีหว่านมีสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดสุดพลังแล้ว จึงค่อยตัดสินใจแน่วแน่ ทำสัญญาณ มือให้แก่คนทั้งสอง
ทั้งสองนิ่งงัน แต่กลับพยักหน้า จากนั้นคนหนึ่งก็คว้าแขนข้างหนึ่งของ หลินซีนเยียนไว้แล้วลากนางออกไป ข้างนอก
คราวนี้หลินซีนเยียนจึงฟื้นจาก ท่ามกลางภวังค์ความสิ้นหวัง เพียงแต่ ในต่อมความรู้สึกของนาง ยังคงมี เพียงร่างไร้วิญญาณของเซียวผ่าน เท่านั้น นางดิ้นรนราวกับต้องการไป คว้ามือของเซียวผ่านมาจับไว้ กล่าว เอ่ยแผดต่ำ “พวกเจ้าปล่อยข้า ข้าเดิน เอง ข้าจะนำศิษย์พี่ใหญ่ของข้าไป ด้วย!”
เดิมทีทั้งสองก็ไม่อยากใช้กำลัง กับหลินซีนเยียน ได้ยินนางกล่าวเช่น นี้ จึงผละปล่อยโดยเร่งรีบ
หลินซีนเยียนหลั่งน้ำตา กอดร่าง ของเซียวฝานแน่น จากนั้นจึงกัดฟัน แบกเอาร่างของเขาไว้บนหลังของ ตนเอง จากนั้นเดินห่างจากสวนออก ไปทีละก้าว นางไม่ได้ไปก้มเก็บใบหย่าบนพื้น สำหรับนางแล้ว นั่นไม่สำคัญอีกต่อไป เนื่องจากในส่วนลึกก้นบึ้งหัวใจ มีของ บางสิ่งได้แตกสลายไปเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว
บุปผาเกล็ดหิมะ ร่วงใส่บนผม ของนาง ราวกับดวงดาวก็ไม่ปาน เป็น จุดดวงเล็กๆ แต่เพียงไม่นานก็ละลาย ไป บางที หัวใจของนาง คนของนาง ต่างก็ถูกแช่แข็งเป็นความเจ็บปวดใน ตอนนั้นแล้วกระมัง
จนกระทั่งหลายปีต่อจากนั้น หนี หว่านยังคงระลึกถึงฉากภาพอันนี้ได้ ท่ามกลางพายุหิมะ เคยมีผู้หญิงที่ ผอมบางขนาดนั้นคนหนึ่ง แบกร่างไร้ วิญญาณของชายชาตรีคนหนึ่งเอาไว้ ย่างก้าวอย่างเนิบนาบ ทีละก้าวๆ แต่ กลับมั่นคง
“เจ้านาย พวกท่านกลับไม่ได้แล้ว จริงๆ เชียวหรือ…” ตอนที่หลินซีน เยียนจากไปนั้น หนีหว่านพึมพำ ประโยคนี้ ท้ายสุดก็อดไม่ได้ที่จะ ร้องไห้ออกมา
เมื่อก่อนนางริษยาหลินซีนเยียน มักรู้สึกว่าผู้หญิงแบบนี้อย่างหลินซีน เยียน ไม่ควรได้รับความรักจากเจ้า นายมากเพียงนั้น ทว่าตอนนี้ ตอนที่ ทั้งสองเดินมาถึงขั้นนี้ นางกลับรู้สึกว่า หัวใจ เจ็บมาก เจ็บมาก นางคาดหวัง ตั้งเท่าไร พระผู้เป็นเจ้านี้จะสามารถดี ต่อชะตานกเป็ดคู่อันขมขื่นสักหน่อย ก็ ทำให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน จะเป็นไร ไป
ฟ้ายังไม่ทันสาง หิมะยังตกไม่ทัน
หยุด
เมื่อหนีหว่านกลับมายังห้อง รับแขกที่หรูหราที่สุดในเรือนพักแขก แสงเทียนภายในห้องยังคจุดสว่าง ด้านหน้าต่าง โม่จื่อเฟิงที่นั่งอยู่บน เก้าอี้ล้อหมุนทอดสายตาตกไปบน บุปผาเกล็ดหิมะที่ร่วงลอยเหล่านั้น บน ใบหน้าของเขา ยังจะมีความเย็นชา และเพลิงโทสะเพียงสักครึ่งที่ใดกัน ที่ มีอยู่ เป็นเพียงแค่ความโศกเศร้าและ ทุกข์ตรมเท่านั้น
“นาง… ” ในน้ำเสียงของ โฒ่จื่อเฟิง เป็นเสียงสะอื้นที่ตนเองก็ ยังไม่รับรู้ “จากไปหรือยัง”
หนีหว่านพยักหน้า เดินมายังข้าง กายของเขา หยิบเสื้อกันลมขึ้นมา คลุมบนหัวไหล่เขาเอาไว้ นางนึก อยากเอ่ยคำที่ปลอบประโยมเขาได้ บ้าง ทว่าคำพูดมาถึงเรียวปากกลับ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกันแน่ ทำได้เพียง นิ่งเงียบอย่างช่วยไม่ได้
เพียงแต่ โม่จื่อเฟิงราวกับไม่มี ท่าทีต้องการให้นางเอ่ยคำ เพียงแค่ กล่าวรำพันกับตัวเอง “เรียกตัวหลง โส่วเว่ยในองครักษ์มังกรกลับมาเสีย จากนี้ให้เขาติดตามนางไป”
เมื่อหนีหว่านได้ฟัง ก็เบิกตากว้าง โพลง “เจ้านาย หลงโส่วเว่ยใช้เวลา ไปตั้งห้าปีกว่าจะได้รับการไว้วางใจ จากตระกูลหรง ภายภาคหน้าพวกเรา ต้องเข้าสู่ตระกูลหรง ไม่ว่าจะ ปลอดภัยสงบสุขหรือไม่ ก็ต้องพึ่งพิง หลงโส่วเว่ยแล้ว!
“เรียกตัวกลับมาปกป้องนาง! ” โม่ จื่อเฟิงเพียงกล่าวประโยคนี้อย่างกด ต่ำ เป็นน้ำเสียงอันไร้ข้อกังขา
หนีหว่านกัดเรียวปากล่าง ขอบตา รื้นชื้น แต่ว่าท้ายที่สุดก็ยังคงเกร็งหนัง ศีรษะพยักหน้า
หิมะนอกหน้าต่าง ยังคงตกอย่าง ต่อเนื่อง ตลอดคืนนี้ ลิขิตให้หลายต่อ หลายคนนอนไม่หลับทั้งราตรี หลินซีนเยียนแบกร่างของเซียว ผ่านมาบนถนนใหญ่ เดินอย่างมองไม่ เห็น ก้าวเดินไป บางทีหัวใจได้สิ้นหวัง ไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้ความเหนื่อยล้า จนกระทั่งร่างกายนำซึ่งความคิด คน ทั้งคนซวนเซล้มพับลงไปที่พื้น
เมื่อหลินซีนเยียนฟื้นขึ้นมา ก็เป็น หลังเที่ยงของวันที่สองไปแล้ว
หิมะหยุดไปแล้ว แสงแดดก็ทอ ประกายสาดส่องออกมาจากด้านหลัง กลุ่มเมฆ ความรู้สึกอบอุ่นพะเน้าพะนอ ระหว่างโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ เสมือนหิมะตกหนักเมื่อวานนี้ล้วนเป็น ภาพลวงตาของเหล่าผู้คน
“ศิษย์พี่! ” หลินซีนเยียนเปิด เปลือกตา ก็พลันร้องอุทานสองคำนี้ เพียงแต่เสียงที่นางแผดเปล่งนั้นแหบ ห้าวเต็มทน เพียงปริปาก ความเจ็บ ปวดในลำคอก็แผ่ซ่านไปยังทุกอณู กายชัดแจ้ง
“แม่นาง แม่นาง? ” หญิงชราหลัง ค่อมคนหนึ่งประชิดมายังเบื้องหน้า ของหลินซีนเยียน
สายตาของหลินซีนเยียนค่อยๆ ชัดเจน มองเห็นหญิงออกเรือนแปลก หน้าอยู่ตรงหน้า นิ่งทื่อ และฟื้นฟู สายตาอันเฉยเมย กลับคืนมา “นี่คือ ที่ไหน”
“นี่ก็คือบ้านข้าอย่างไร อัยยะ แม่ นางเจ้าจำไม่ได้หรือ? เจ้าเป็นลมล้ม อยู่หน้าประตูบ้านข้า หากไม่ใช่ว่าตา แก่บ้านข้าออกไปพบเจ้าเมื่อเช้ามืด ตอนนี้เจ้าคงแข็งตายไปแล้ว” หญิง ชราสายศีรษะ ก่อนหมุนกายไปกลาง ห้องก้มหยิบเอาฟืนแห้งสองท่อนโยน เข้าไปในเตาเผาความร้อน
ฟืนแห่งลุกโชน เปลวไฟอันโชติ ช่วงทำให้อากาศรอบด้านอบอุ่นขึ้นมา หลายขนัด
“เช่นนั้นศิษย์พี่ของข้าอยู่ที่ใด ท่านยาย ท่านเห็นข้าเพียงคนเดียว หรือไม่” หลินซีนเยียนถามอย่างรีบ ร้อน
หญิงชราคนนั้นกลับมายังข้าง เตียงอีกครั้ง พยักศีรษะ “ตาแก่บ้านข้า คนนั้นก็เห็นเจ้าล้มอยู่หน้าประตูคน เดียว ไม่ได้เห็นว่าข้างกายเจ้ายังมี บุคคลอื่นอีก ทำไม เจ้ากับคนใน ครอบครัวพลัดหลงกันแล้วหรือ”
คำของหญิงชรา ทำให้หลินซีน เยียนเหน็บชา นางพลิกกายแล้วลุกขึ้น นั่ง เลิกผ้าห่มออกเตรียมลงจากเตียง ทว่านางเอนนอนนานเกินไป การ เคลื่อนไหวแบบทันทีนี้ ร่างกายยัง ไม่ทันปรับสภาพ จึงพลันลงฟุบลงบน พน