ตอนที่ 382 อาการน้ำท่วมปาก
“ร้องไห้ง่ายดายเพียงนี้เชียว” ไม่ซื้อเพิ่งพลันถอนหายใจยาว และกล่าว “ข้าไร้เรี่ยวแรงยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาแทนเจ้า อย่าร้องเลย ต่อให้เจ้าเป็นผีสาว ข้าเองก็ไม่อาจปล่อยเข้าไป ได้หรอก ไม่ใช่ว่าเป็นวิญญาณที่มาจากโลกอีกใบหรือ ข้า สังหารคนนับครั้งไม่ถ้วน จากในมือของข้าไม่รู้ว่ากลายเป็น วิญญาณผีไปแล้วตั้งเท่าไร ตอนมีชีวิตอยู่พวกเขาไม่ใช่คู่ ต่อสู้ของข้า พวกเขาตายแล้วข้ายังจะมีความกลัวอันใด ดัง นั้น เจ้าคิดว่า ข้าจะกลัววิญญาณแค่ดวงเดียวของเจ้า? เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว ข้าก็ยังไม่ทันได้พูดว่าไม่ต้องการเจ้า
โม่จื่อเฟิงใช้สายตาประเภทรักใคร่ทะนุถนอมสุดซึ้งอย่าง หาได้ยากมองหลินซีนเขียน หลังจากที่หลินซีนเยียนเปิดใจ พูดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตนเอง ไม่รู้ว่าเหตุใด ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายกลับยิ่งชิดใกล้กันขึ้นมาหนึ่งชนิด
ครูใหญ่ หลินซีนเยียนราวกับยังไม่ได้ตอบสนอง จนกระ ทั้งไม่จื่อเฟิงเปล่งเสียงยิ้มจางอีกครั้ง นางจึงค่อยมีสติกลับ คืนมา แผดร้องอย่างประคบประหงม “ท่านเข้าข้า”
ไม่จื่อเฟิงบอกปัด ยิ้มเจือจาง “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้า กำลังเผยใจจริงแก่เจ้าอยู่ หรือว่าเจ้าฟังไม่ออกกัน หนนเขียนแค่นเสียงเย็น หมดค่อยเข้าไล่บนแผงอกของเขา พลางกล่าว ” ไม่จื่อเชิงท่านตัวดี พอฟื้นขึ้นมาก็เล่น ละครตบตา…”
คำว่า “ข้า” นั้นยังไม่ทันเอ่ยออกปาก ก็เห็นไม่จื่อเฟิงพลัน ใบหน้าซีดเผือด กระอักเลือดสดออกมา โลหิตสดกระเด็นมา ใส่หลังมือของหลินซีนเขียน ความรู้สึกร้อนระอุนั้นสมจริง และชวนสยอง
“อา!” หลินซีนเยียนเปล่งเสียงตกตื่น ตะโกนอย่างร้อนรน “เป็นอะไร เป็นอะไร ไม่จื่อเฟิง ไม่จื่อเฟิง ท่านอย่าข่มขวัญ
นางรำพันไม่เปล่งเสียงไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทำเพียงเบิก ตากว้างจ้องโม่จื่อเฟิงที่ปิดเปลือกตาลงอีกครั้งด้วยสีหน้า ขีดเขียว
หนีหว่านพาท่านหมอมาด้วยความรวดเร็วก็กรูเข้ามา ท่าน หมอช่วยวัดชีพจรแก่โม่จื่อเฟิง บรรยากาศภายในห้องพลัน แปรเป็นขึงขังขึ้นมาเป็นอย่างมาก
สักพัก การวินิจฉัยของท่านหมอจึงสิ้นสุด หลินซืนเขียนไม่ กล้าถามถึงผลลัพธ์ ทำเพียงจ้องเขาตาปริบๆ
“มหัศจรรย์ ช่างมหัศจรรย์เกินไปจริงๆ ท่านอ๋องถึงแม้ยัง คงเจ็บสาหัส ทว่าเปรียบกับสถานการณ์ก่อนหน้าถือว่าดีขึ้น มากทีเดียวแล้ว กระหม่อมคิดว่าเขาต้องรอถึงวันพรุ่งจึงจะ แน่ใจว่าก้าวพ้นประตูยมบาล คิดไม่ถึงว่าความสามารถในการฟื้นฟูของเขาจะทำให้คนตกตะลึงได้เพียงนี้
ท่านหมอกล่าวถ้อยวาจาเหล่านี้ ทำให้หนีหว่านที่ กระวนกระวายยิ่งลนลานเข้าไปใหญ่ มือข้างหนึ่งคว้าลำแขน ของท่านหมอเอาไว้พลางร้องกล่าว “สิ่งที่ท่านพูดหมายความ ว่าอย่างไรกันแน่ อย่าสิ้นเปลืองเวลาเชียว!
ท่านหมอถูกข่มขวัญเข้าให้แล้ว เร่งรีบใช้หนึ่งประโยค ชี้แจงให้ชัด “ความหมายของกระหม่อมคือ ท่านอ๋องไม่อาจ เกิดอุปสรรคใหญ่แล้ว ขอเพียงประคบประหงมสักระยะหนึ่ง ก็สามารถฟื้นฟูดังเดิมได้แล้วขอรับ”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว?” หนีหว่านราวกับยังคงไม่อาจรับข้อ เท็จจริงอันนี้ได้มีความรู้สึกจำพวกไม่อยากเชื่ออยู่ นางมอง ทางหลินชินเยียน เอ่ยถาม “ท่านได้ยินแล้วหรือยัง”
หลินซีนเยียนพยักหน้าอย่างเลื่อนลอยสามเท่า “ได้ยิน แล้ว ได้ยินแล้ว”
ไม่จื่อเฟิงไม่เป็นอะไรแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ข่มขวัญนาง แทบแย่จริงๆ!
เพียงแต่ อาจเพราะหัวใจผ่านการระส่ำระสายขั้นรุนแรง หลินซีนเยียนค่อนข้างจะรับไม่ไหวกับการกรีดแทงนี้ น้ำคำ เพิ่งเอ่ยจบ ทั้งเรือนร่างพลันหมดสติไป ท่านหมอที่ยังไม่ทัน ได้เดินออกจากประตูก็รีบกลับมาช่วยนางตรวจวินิจฉัยโรค ก
ภายในเรือนพักแขก ท่านหมอและผู้ช่วยจ่ายยาต่างยุ่ง พัลวันตลอดหนึ่งคืนเต็ม ตอนที่ฟ้าสาง ท่านหมอสูงวัยจึงเริ่ม ฝืนไม่ไหวหาห้องว่างงีบหลับไป
หนีหว่านเฝ้าอยู่หนึ่งราตรี กลับยังคงไม่ยอมปลีกตัวออก จากห้องของโม่จื่อเฟิง คนรอบกายของนางมาแล้วหลาย ต่างก็นึกอยากผลัดเปลี่ยนแทนให้นางไปพักผ่อน ทว่าจะ อย่างไรนางก็ไม่ยอม
กระทั่งยามเที่ยง ไม่จื่อเฟิงที่หลับลึก ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาอีก ครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ เปรียบกับการฟื้นตื่นตอนก่อนหน้านั้น เห็นได้ชัดว่ามีชีวิตชีวาหลายขนัดนัก
“หนีหว่าน” โม่จื่อเฟิงปริปาก ทำให้หนีหว่านที่ยืนแน่นิ่ง อยู่ข้างเตียงดึงความสนใจกลับมา
“เจ้านาย ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ต้องการให้เรียกท่านหมอมาโดยทันทีหรือไม่ หรือว่าให้ห้อง ครัวเดี่ยวโจ๊กใสเข้ามาให้ก่อนดีเจ้าคะ” หนีหวานมายังข้าง เตียงไถ่ถามอย่างนอบน้อม
โม่จื่อเฟิงไม่ได้ใส่ใจข้อสอบถามของนาง ยังกวาดมอง รอบห้อง ไม่เห็นคนที่หวังว่าจะเห็น ขมวดคิ้วถาม “นางเล่า?”
หนีหวานรู้ว่าคนที่เขาถามคือใคร ดังนั้นจึงกล่าวโดยพลัน สนมรองเหนื่อยล้ามากนัก มีอาการวูบเล็กน้อย ตอนนี้น่าจะ กำลังหลับอยู่ในห้องข้างๆ ต้องการให้ข้าไปปลุกนางหรือไม่”
หนีหวานกำลังจะเคลื่อนไหว โม อเฟิงกลับรีบเรียกนาง เอาไว้ “ไม่ล่ะ ให้นางพักผ่อนเถิด ไปเรียกท่านหมอมาช่วยข้า วัดชีพจร กหน่อยก่อน
“เจ้าค่ะ” หนีหวานตอบรับ หมุนกายออกจากประตูโดย พลัน ผ่านไปไม่กี่นาที ก็ลากเอาท่านหมอที่เพิ่งจะนอนไป ไม่ทันเท่าไรเข้ามา
ท่านหมอเดินปัดตุเปีมาถึงภายในห้องและช่วยตรวจ ชีพจรให้โม่จื่อเฟิง หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ก็เอ่ยถาม “ท่าน อ๋องปัจจุบันมีความรู้สึกว่าไม่สบายตรงไหนขอรับ”
ไม่จื่อเฟิงมั่นคิ้ว ส่งสายตาไปทางหนีหว่าน หนีหว่าน ติดตามเขามานานเนิ่น ย่อมรู้ความหมายของเขาเป็น ธรรมดา ดังนั้นจึงทำสัญญาณมือให้องครักษ์รอบด้าน เหล่า องครักษ์ห้อมล้อมห้องเอาไว้อย่างรวดเร็ว รับประกันว่าไม่ อาจมีบุคคลอื่นสามารถได้ยินบทสนทนาภายในห้องได้
“ข้าไม่ได้มีความรู้ว่าไม่สบายตรงไหน…” สีหน้าของโม่ จื่อเฟิงเคร่งขรึมมาก ขณะที่ท่านหมอนั้นกำลังจะพูด เขา กลับรู้ประโยคหนึ่ง “ถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือ ข้าไม่มีความรู้สึก ใดๆ เลย”
ท่านหมอผู้นั้นนิ่งที่เป็นอันดับแรก ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบ สนองต่อความหมายที่เขาเอ่ย ล้วงเอาเข็มเงินออกจากกลางอก โดยพลัน ซูเข็มเงินขึ้นก็กลงไปยังมือเท้าของไม่จื่อเพิ่ง และยังถามอย่างตึงเครียด “ท่านอ๋อง มีความรู้สึกหรือยัง?
โม่จื่อเฟิงเคร่งขรึมสักพัก ราวกับกำลังพยายามต่อความ รู้สึก ทว่าท้ายที่สุดก็ยังคงส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
ท่านหมอผู้นั้นเห็นการตอบสนองของเขา ขวัญเสียเสียจน หน้าผากผุดหยาดเหงื่อเม็ดเป้งออกมา กุลีกุจอหยิบเข็มเงิน ไปปักยังบริเวณอื่นๆ ทว่านับจากลำคอลงมา ไม่จื่อเฟิงยังไม่ ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด
“ท่านอ๋อง มือของท่านสามารถขยับได้หรือไม่ ขยับดูสัก หน่อย ให้กระหม่อมดูว่าเป็นเช่นไร ขณะที่ท่านหมอผู้นั้นเอ่ย ถามประโยคนี้ออกมา กระทั่งน้ำเสียงก็ล้วนสั่นระริก ราวกับ กําลังสะกดกลั้นความหวาดกลัวของตนเองเอาไว้อย่างสุด พลัง
พ้นผ่านคืนวาน ท่านหมอผู้ที่ได้รับรู้ถึงความสำคัญของ บุคคลตรงหน้านี้แล้ว เขาเป็นเพียงหมอระดับเล็กคนหนึ่งของ ชานเมืองแคว้นหมัน หากว่าคนใหญ่คนโตผู้นี้เกิดเรื่องอันใด ขึ้น ในมือของเขา ต่อให้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เขาเองก็ ถอดถอนความเกี่ยวโยงออกไปไม่ได้ ในครอบครัวของเขา ยังมีคนเฒ่าลูกเล็กอยู่ ทั้งครอบครัวยังเฝ้ารอให้เขาจุนเจือ แต่ละวัน หากว่าได้รับความอื้อฉาวเพราะการนี้แล้ว เช่นนั้น คนรุ่นหลังค่อนชีวิตภายในครอบครัวของเขาก็ไร้ซึ่งการตั้ง รกรากแล้ว
ไม่จื่อเฟิงพยักหน้า จากนั้นจึงพยายามขยับเขยื้อนนิ้วมือ ของตน เขานอนเอนหลัง มองไม่เห็นว่ามือของตนขยับหรือ ไม่ ทำได้เพียงไปเอ่ยถามท่านหมอและหนีหว่านที่อยู่ด้าน ข้าง “มือของขาขยับหรือไม่”
หนีหว่านและท่านหมอมองกันและกันแวบหนึ่ง ทั้งสองมอง ออกถึงความขึงขังจากท่ามกลางดวงตาของอีกฝ่ายในเวลา เดียวกัน หนีหวานขอบตาแดงก่ำ ยามที่หยาดน้ำตาไหล พราก ก็ขบเรียวปากล่างเอาไว้แน่นพลางส่ายหน้า
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ยังดีตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาคืนวานกลาง ดึกไม่ได้เผยข้อด่างพร้อยต่อหน้านาง” ไม่จื่อเพิ่งทอดถอนใจ ยาว ไม่ได้รีบร้อนสอบถามท่านหมอว่ายังพอมีวิธีการรักษา หรือไม่ แต่หันไปออกคำสั่งกับหนีหวาน ในฉับพลัน “เรื่อง ร่างกายของข้าไม่อาจให้นางล่วงรู้ได้
“เจ้านาย จนป่านนี้แล้ว ท่านยังนึกถึงความรู้สึกของนาง ตอนนี้ไม่ควรเป็นช่วงเวลาที่ท่านต้องการนางมากที่สุดหรือ หัวใจของหนีหว่านกระตุกปวดระลอกใหญ่อีกครั้งเพราะ ประโยคนี้ของโม่จื่อเฟิง