เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] – ตอนที่ 29 ข่าวลือเรื่องหลักๆ
สายตาคนจำนวนไม่น้อยหันมองมา ไม่ช้าก็เริ่มวิจารณ์กันสนุกปาก
……
วันถัดมา
เยี่ยเม่ยได้ฟังข่าวใหม่แต่เช้าตรู่ ซือหม่าหรุ่ยเดิมหน้าคล้ำเข้ามาเล่าให้เยี่ยเม่ยฟัง “เมื่อคืนมู่หรงเหยาฉือสำแดงอิทธิฤทธิ์อีกแล้ว คนจำนวนไม่น้อยเห็นนางเสื้อผ้าหลุดรุ่ยหน้าประตูจวนองค์ชายสี่ นางร้องไห้กลับจวนไป ข้างนอกมีเรื่องเล่าหลายแบบมาก ส่วนเรื่องหลักๆ…”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยชะงักเล็กน้อย
เยี่ยเม่ยมองนางทีหนึ่ง ถามว่า “หลักๆ ที่ว่าคืออะไร”
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยอย่างระวัง เอ่ยปากเล่าไปตามความจริงว่า “ที่….ก็คือเมื่อองค์ชายสี่กับมู่หรงเหยาฉือทำ…จากนั้น ท่านหญิงเหยาฉือขอให้องค์ชายสี่แต่งงานกับนาง แต่เขาจะแต่งกับเจ้า ให้ท่านหญิงเหยาฉือเป็นพระชายารอง ท่านหญิงเหยาฉือไม่ยินยอม รู้สึกน้อยใจจึงร้องไห้วิ่งออกมา”
“อ้อ!”
เยี่ยเม่ยตอบรับนิ่งๆ คำหนึ่ง
ซือหม่าหรุ่ยถามว่า “เยี่ยเม่ย เจ้าไม่ใส่ใจเลยหรือ”
ทำไมต้องใส่ใจเล่า
ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องการแต่งงานกับเยี่ยเม่ย แต่เรื่องนี้ไม่ได้ขัดขวางเรื่องสตรีมาติดพันเขาเลย มู่หรงเหยาฉือยังมีโอกาสเล่นลูกไม้อีก?
ซือหม่าหรุ่ยเห็นว่า ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเม่ยก็สมควรโมโห แต่ว่าดูจากท่าทีของเยี่ยเม่ยแล้ว…
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง
จัดชายเสื้อของตน เอ่ยปากว่า “หากบอกว่าเป็นคนอื่น ข้าอาจจะเชื่อ แต่บอกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าไม่เชื่อสักนิด! เพราะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้ดี ข้าเคยบอกเขาไปนานแล้วว่าข้าไม่ยอมรับการใช้สามีร่วมกับคนอื่น หากเขาคิดแต่งงานกับข้า ไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาอย่างในตอนนี้แน่ ปล่อยให้มู่หรงเหยาฉือโพนทะนาไปเถิด!”
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเสินเซ่อเทียน เป่ยเฉินอี้ หรือกูเยว่อู๋เหิน เยี่ยเม่ยก็ไม่อาจมั่นใจถึงขั้นนี้
เพราะนางไม่เคยบอกกับพวกเขาว่านางไม่ยินยอมมีสามีร่วมกับผู้อื่น
ดังนั้นตามความคิดปกติของบุรุษอย่างพวกเขามีสามภรรยาสี่อนุได้ ในเวลานี้กอดหญิงงามเอาไว้ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าแปลกตรงไหน แต่ว่าหากเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
หากเขาทำเรื่องแบบนี้ออกมา เมื่อคืนก็ไม่คงไม่ปรากฏกายในห้องนางเอ่ยคำพูดเหล่านั้นแล้ว
ซือหม่าหรุ่ยฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
แต่เบื้องลึกในใจนางรู้สึกว่ามู่หรงเหยาฉือช่างเป็นหญิงหน้าไม่อายที่หาได้ยากในรอบร้อยปีเลยทีเดียว ยังคิดจะก่อเรื่องอีกมากเพียงใดกัน ลูกไม้แบบนี้ยังงัดออกมาได้ นางไม่กลัวเสียหน้าหรือ
ซือหม่าหรุ่ยมุ่นคิ้ว มองเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “ข้าไม่เข้าใจเลย นางทำเช่นนี้มีผลดีอันใดกับนางกัน หรือว่านางคิดว่าพอชื่อเสียงเสื่อมเสียแล้ว องค์ชายสี่จะรับผิดชอบนาง”
นี่ก็ออกจะโง่ไปแล้ว ใครบ้างไม่รู้จักนิสัยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้เรื่องข่าวลือ ไม่แน่ว่ายังจะกำจัดสตรีนางนี้ เพราะก่อเรื่องภายนอกทำลายชื่อเสียงเขาไปด้วย
ดังนั้นมู่หรงเหยาฉือคิดจะทำอะไรกันแน่
“นางมุ่งเป้ามาที่ข้า!” เยี่ยเม่ยช้อนตาขึ้นมองซือหม่าหรุ่ย ตอบว่า “เป้าหมายของนางคือก่อเรื่องนี้ให้ใหญ่โตเพื่อให้ข้ารู้ เจ้าลองคิดดู ข้าขอเวลาสามวันกับฮ่องเต้ หากข้าเชื่อนาง ย่อมมีปัญหากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในช่วงสั้นๆ นี้แน่ ในเวลาเช่นนี้ผู้หญิงปกติมักจะทำอะไร”
ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจแล้ว “หากเป็นสตรีทั่วไป มักใช้อารมณ์ในเวลานี้ ต่อให้คิดจะแต่งงานกับองค์ชายสี่ ก็อาจเปลี่ยนความคิด ไปแต่งกับคนอื่นได้”
“ถูกต้อง! เป้าหมายของนางก็คือข้า!” เยี่ยเม่ยเอ่ยพลางยกยิ้มเยาะเย้ย “ข้าล่ะเลื่อมใสนางจริงๆ แผนการของนาง ยังรู้ใจเบื้องลึกของจิตใจคน หากบอกว่าเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ข้าก็เชื่อ!”
เพียงแต่จุดที่มู่หรงเหยาฉือคาดเดาผิดไป
นั่นก็คือเยี่ยเม่ยไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป เยี่ยเม่ยเป็นสาวแกร่ง ในโลกของนางใช้เหตุผลตัดสินเรื่องราว ไม่เคยทำไปด้วยอารมณ์ ทั้งเป็นไปไม่ได้เลยที่เยี่ยเม่ยจะวิเคราะห์ปัญหาในตอนนี้ไม่ออก
จนกระทั่งตกหลุมพรางของมู่หรงเหยาฉือ
ถึงซือหม่าหรุ่ยจะไม่เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาคืออะไร แต่ความหมายโดยรวมในคำพูดของเยี่ยเม่ยนางก็เข้าใจ
ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “คนอย่างมู่หรงเหยาฉือ ข้าได้แต่บอกว่า นางช่างลำบากเหลือเกิน!”
สตรีนางหนึ่งที่เคี่ยวกรำตนเองได้ขนาดนี้ ทั่วหล้านี้เกรงว่าไม่มีผู้ใดอีก
เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็ยกยิ้ม ถามว่า “ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงเลย เจ้าไม่ใช่บอกว่าโอวหยางเทากับเซียวเซ่อหยางกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ”
“ถูกต้อง! พวกเขาช่วยรวบรวมยาแก้พิษจิ่วหุนมาแล้ว ข้ากำลังปรุงยาอยู่ ไม่เกินครึ่งเดือนก็สำเร็จ ต้องรักษาจิ่วหุนจนหายให้ได้” ยังมีเวลาอีกตั้งเดือนเศษ กว่าจิ่วหุนจะต้องตายเพราะพิษกำเริบ ดังนั้นซือหม่าหรุ่ยไม่กังวลเลย
เยี่ยเม่ยพยักหน้า
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยอีกว่า “พวกเขาอยากพบเจ้า มีเรื่องสำคัญที่จะหารือกับเจ้า!”
“เชิญพวกเขาเข้ามาเถอะ!” เยี่ยเม่ยรีบตอบ
ซือหม่าหรุ่ยรีบออกไป “ข้าจะไปตามพวกเขา!”
……
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
เยี่ยเม่ยมองภาพสองแผ่นบนโต๊ะ ดวงตานิ่งเย็น เอ่ยถามว่า “นี่ก็คือแผนที่ขุมสมบัติหรือ”
“ถูกแล้ว!” เซียวเซ่อหยางพยักหน้า เล่าว่า “ปีนั้นอดีตฮ่องเต้แบ่งแผนที่สองแผ่นนี้ให้ตระกูลของพวกเราสองคนเก็บรักษา เมื่อเอาภาพสองใบมารวมกันก็จะเป็นแผนที่ขุมสมบัติ!”
โอวหยางเทารีบเสริมว่า “คลังสมบัติของราชสำนักจงเจิ้งในปีนั้นยังเฟื่องฟูมาก ขุมสมบัตินี้เป็นของที่ผู้นำในยุคก่อนเก็บไว้ ดังนั้นจึงไม่มีคนของเป่ยเฉินระแคะระคาย!”
ทรัพย์สมบัติของท้องพระคลังล้วนอยู่ครบ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาอยู่ดีๆ จะคิดหรือว่าในโลกนี้ยังมีขุมสมบัติอยู่ได้อย่างไร
เยี่ยเม่ยมองภาพนี้
สถานที่ตั้งคือบนเขาลูกหนึ่งของแผ่นดินจงเจิ้งในอดีต ห่างจากเมืองหลวงมาก เยี่ยเม่ยไม่อาจออกจากเมืองหลวงเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกลแห่งนั้นได้ เพราะทันทีที่นางออกจากเมืองหลวงก็จะถูกระแวงสงสัยทันที
สายตานางมองเซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทา ถามว่า “แผนที่นี้นอกจากข้าแล้ว ยังมีใครคนอื่นเคยเห็นอีกหรือไม่”
“มีแค่พวกเราแล้ว! เป็นครั้งแรกที่พวกเราสองคนเอาภาพทั้งสองใบมาต่อกันเพื่อยืนยันที่ตั้ง ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยทำมาก่อน!” คำพูดนี้เซียวเซ่อหยางเป็นคนตอบ
นี่คือคำสัญญาระหว่างสองตระกูล ก่อนที่จะพบเจ้านาย ใครก็ไม่อาจเปิดเผยภาพแผนที่โดยง่าย เพื่อกันมิให้คนทั้งสองตระกูลถูกขุมสมบัติล่อลวง ทำเรื่องทรยศต่อเจ้านาย
เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็พยักหน้า
นางมองเซียวเซ่อหยางกับโอวหยางเทา เอ่ยว่า “ดังนั้นเรื่องนี้ข้าได้แต่ขอร้องให้พวกเจ้าสองคนไปดำเนินการแล้ว! ยามนี้ข้ามีตำแหน่งอ๋องในราชสำนักเป่ยเฉิน ไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้โดยพลการ ดังนั้นพวกเจ้าสองคนเดินทางไปที่แห่งนี้เพื่อช่วยข้าตรวจสอบให้มั่นใจ!”