ตอนที่ 467 สหายเก่า
อาคารที่สูงที่สุดในเมืองมีสามชั้นและตั้งอยู่ในใจกลางเมืองชั้นที่หนึ่งและสองเป็นร้านอาหารและชั้นที่สามเป็นโรงน้ำชาตะวันลับตาอีกครั้งหลินซีนเยียนพาหนีหว่านขึ้นมาบนชั้นสองดื่มน้ำและกินอาหารเย็นเล็กน้อยจากนั้นก็ให้เสี่ยวเอ้อร์ช่วยพาหนีหว่านขึ้นไปที่ชั้นสาม
มองหาที่พิงหน้าต่างแล้วนั่งลงและมองออกไปนอกหน้าต่างสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองยามพระอาทิตย์ตก
เสี่ยวเอ้อร์ยกรินน้ำชาแล้วคำนับหลินซินเยียนและหนีหว่านจากนั้นก็ออกไปหลินซินเยียนและหนีหว่านไม่มีใครพูดทั้งสองจึงนั่งเงียบและมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างสายตาของทั้งคู่มีความอาลัยอาวรณ์บางอย่างเพราะไม่มีใครรู้ในยามอาทิตย์อัสดงสวยงามเช่นนี้พวกเขายังมีโอกาสได้ดูอีกสักกี่ครั้ง
หลินซีนเยียนถือถ้วยชาและดื่มอยู่ดวงตาของนางก็มองไปที่ปากทางเข้าเมืองเพราะระยะทางไกลเกินไปมันก็เลยมองเห็นได้ไม่ค่อยชัดเห็นแค่ว่ามีอูฐสามตัวเดินไปที่ซุ้มประตูคนบนอูฐก็ถูกหยุดโดยคนที่เฝ้าทางเข้าดูเหมือนว่าจำนวนเงินไม่เพียงพอสำหรับคนพวกนั้นชายวัยกลางคนที่มีมีดจึงด่าทอต่อว่าแล้วจึงปล่อยให้คนสองสามคนเข้าไปในเมือง
นางไม่รู้ว่าทำไมเมื่อนางเห็นคนสามคนค่อย ๆ เข้ามาในเมืองหัวใจของหลินซีนเยียนก็เต้นแรงอย่างฉับพลันนางขมวดคิ้วและตั้งใจมองดูดีอย่างละเอียดแต่ด้วยระยะทางไกลเกินไปนางเห็นได้แค่สามร่างที่คล้ายชายชรานางต้องการที่จะเห็นอย่างละเอียดอีกครั้งทั้งสามคนก็หันหลังและเข้าซอยและไม่สามารถมองตามไปได้อีก
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”หนีหว่านมองตามสายตาของนางก็ไม่ไม่เห็นความผิดปกติอะไรจึงถามด้วยความสงสัย
หลินซีนเยียนดึงสายตากลับมา ถ้วยน้ำชาคาในมือลืมวางลงได้ยินคำพูดของหนีหว่านถึงได้สตินางยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นแล้วตอบด้วยเสียงต่ำว่า “ไม่มีอะไร”
ถึงปากจะพูดว่าไม่มีอะไรแต่ว่ามีเพียงใจนางเท่านั้นที่รู้ดีเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่บนอูฐก่อนหน้านั้นชั่วขณะหนึ่งนางกลับคิดว่าคนนั้นคือโม่จื่อเฟิง
แต่ว่าจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?รูปร่างโม่จื่อเฟิงสูงใหญ่แต่คนเหล่านั้นรูปร่างเหมือนชายชราดูจากรูปร่างภายนอกแล้วไม่มีส่วนไหนที่คล้ายเคืองโม่จื่อเฟิงเล็กสักนิด
แต่ว่าความรู้สึกนั้นนางพูดไม่ถูกราวกับว่านางรู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา
นางส่ายหัวและยิ้มอย่างเย้ยหยันดูเหมือนว่านางกำลังจะเข้าสู่แหล่งกำเนิดเกิงจีนนางไม่แน่ใจเกี่ยวกับอันตรายที่จะได้พบเจอในข้างหน้าบางทีนางอาจจะหายไปอย่างสมบูรณ์ในโลกนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า? ดังนั้นนางจึงคิดถึงเขาไม่ขาด
ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับตัวเองหลินซีนเยีนก็ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอีก
ในตอนเที่ยงของวันถัดมาในที่สุดก็มาถึงเวลาที่นัดหมายกันของทั้งสามตระกูลใหญ่ตระกูลหรงเหมาห้องของชั้นสองทั้งหมดจากนั้นอีกสองตระกูลก็มาถึง
หรงเย่และหลินซีนเยียนพักอยู่ห้องแรกใกล้บันไดบนชั้นสองคนแรกที่มาถึงคือตระกูลหลิงประมุขของตระกูลคือชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าหน้าตาคล้ายประมุขน้อยของตระกูลหลิงที่เสียชีวิตไปแล้วเขาเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้าที่แสนเย็นชาด้านหลังมีผู้ติดตามเจ็ดแปดคน
“เฮ้!ประมุขหลิงเป็นคนตรงเวลาจริงๆมานั่งเร็วยกน้ำชามาเร็ว!”หรงเย่ลุกขึ้นทักทายแล้วพาประมุขหลิงเข้ามาในห้องถึงได้หันไปแนะนำหลินซีนเยียน“แม่นางหลินคิดว่าเจ้าน่าจะยังไม่เคยเห็นมาก่อนท่านนี้คือประมุขหลิงหลิงสู่”
หลินซีนเยียนลุกขึ้นแล้วหันไปคำนับหลิงสู่อย่างมีมารยาท
หรงเย่ตบไหล่หลิงสู่เบาๆแล้วแนะนำกับเขาว่า“ประมุขหลิงนี่ก็คือแม่นางหลินที่ทั้งสามตระกูลใหญ่ได้ร่วมมือกันทำการครั้งนี่ทั้งหมดเป็นการติดต่อของแม่นางหลินและอีกอย่างทำการครั้งนี้ยังต้องพึ่งพาแม่นางหลินอีก”
“อืม” ต่อหน้าการแนะนำที่กระตือรือร้นของหรงเย่ดูเหมือนหลิงสู่มีแต่การตอบสนองเฉยชาไม่พูดอะไรมาก
ท่าทีของหลิงสู่ทำให้บรรยากาศภายในอึดอัดเล็กน้อยโดยเฉพาะสายตาทเขาใช้มองหลินซีนเยียนภายในนั้นมีความเคียดแค้นโผล่ออกมา
ความเกลียดชังของเขาหลอนซีนเยียนเข้าใจเป็นอย่างดีในเมื่อการตายของลูกชายเขามีความเกี่ยวข้องกับนาง นางไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยหากไม่ใช่เพราะสถานะตอนนี้ของนางมีความสำคัญเขาคงหาเรื่องนางต่อหน้านี้แล้วแต่ว่าตอนนี้เขาไม่ใช่แค่ไม่สามารถเอาเรื่องนางได้ยังต่อปกป้องนางก่อนที่จะไปถึงแหล่งสมบัติอีกด้วยคงคับแค้นใจน่าดู
เขาคับแค้นใจหลินซีนเยียนยิ่งรู้สึกพอใจดังนั้นใบหน้าก็ยิ้มขึ้นมาโดยอัตโนมัติ“ดูเหมือนว่าประมุขหลิงดูจะไม่พอใจข้าเท่าไรทำไมหรือประมุขมีอะไรเข้าใจข้าผิดหรือเปล่า?”
นางเน้นคำว่าเข้าใจผิดเป็นพิเศษเมื่อหลิงสู่ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเขาก็ยิ่งเย็นยะเยือก
เด็กบ้านี้ตั้งใจกระตุ้นเขา!เป็นถึงประมุขของตระกูลใหญ่แค่ลูกเล่นเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ยังมองไม่ออกละก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วแต่ว่าตอนนี้ก็ไม่สามารถฉีกกระชากหน้าได้!
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลิงสู่ยังคงกระตุกและในที่สุดมันก็ยังยากที่จะบีบคำสองคำออกมา “ไม่มี”
“ไม่เข้าใจผิดอะไรหรือเช่นนั้นก็ดี”หลินซีนเยียนยิ่งยิ้มอย่างสดใสมากขึ้น
หรงเย่เห็นท่าทีของทั้งสองเช่นนี้ในใจก็ยิ้มเย็นอย่างไรก็ตามบนใบหน้าก็ยังคงเดิมเขาและหลิงสู่พูดคุยกันสักพักก็ให้คนพาหลิงสู่ไปพักผ่อน และไม่พูดถึงเรื่องที่รู้ว่าคนของตระกูลหลิงมาถึงเมืองนี้นานแล้ว
หลินซีนเยียนมองพวกเขาที่ปั้นหน้าใส่กันบางครั้งก็ระหว่างคนรู้สึกน่าขันยิ่งนักทั้งๆที่รู้ว่าต่างฝ่ายมาถึงเมืองนี้หลายวันแล้วแต่ว่าก็ยังร่วมกันแสดงให้ใครดู?
ตระกูลหลิงเพิ่งเข้ามาไม่นานก็มีคนมาบอกว่าคนของตระกูลหลี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน
หรงเย่ทำเหมือนก่อนหน้านี้ออกไปต้อนรับรอยยิ้มบนใบหน้าไม่มีท่าทีไม่พอใจแม้แต่น้อย
คนของตระกูลหลี่ที่มาก็ยังคงเป็นหลี่ไห่แต่คนที่ตามหลี่ไห่มาด้านหลังยังมีอีกคนที่คาดหวังไว้หลี่อวิ๋นซ่าน
เมื่อหลีอวิ๋นซ่านก้าวเข้ามาในห้องหลินซินเยียนรู้สึกถึงสายตาที่ร้อนแรงนางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยนางก้มศีรษะของนางเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งสายตาที่มันเบาราวกับสายลมเงียบความสงบสุข
“ท่านนี่ก็คือประมุขของตระกูลหลี่ที่น่านับถือละสิเป็นวีรบุรุษตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆตอนที่ข้าและพ่อเจ้าพบกันเวลานั้นเหมือนว่าพี่สะใภ้ยังแบกท้องโตอยู่เลยคิดถึงถึงชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้วตอนนั้นเด็กที่ยังอยู่ในท้องฮูหยินวันนี้จะเติบใหญ่และยังยิ่งใหญ่เช่นนี้ดีๆๆ”หรงเย่เชิญหลี่อวิ๋นซ่านขึ้นนั่ง
หลี่อวิ๋นซ่านคำนับอย่างมีมารยาทแสดงให้เห็นถึงความเจตนาดีของเขาจากนั้นก็ไปนั่งยังที่ของเขาหลี่ไห่ที่ติดตามข้างหลังเขาก็รบน้ำชาให้กับพวกเขาช่วยไม่ได้ในห้องนี้สถานะตำแหน่งของทุกคนสูงกว่าเขาเรื่องเช่นนี้ก็มีเพียงเขาที่ต้องทำ
อาจเพราะสายตาที่มองหลี่อวิ๋นซ่านมองมันชัดเจนเกินไปทำให้หลิงสู่เห็นถึงความผิดปกติเขาหัวเราะแห้งไปสองทีแล้วพูดว่า“ประมุขหลี่กับแม่นางหลินรู้จักกัน?”
หลินซีนเยียนไม่พูดอะไรกลับเป็นหลี่อวิ๋นซ่านพยักหัวเบาๆ“สหายเก่า”