ตอนที่ 495 บทสรุปครั้งยิ่งใหญ่ (ห้า)
ค่ำคืนกลางทะเลทราย เงียบสงบจนน่ากลัว
ลม หนาวสะท้านเหลือ พัดอยู่บนใบหน้าของไม่กี่คน ก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดน้อยๆ
บริเวณปากทางออกของหุบถ้ำ มีอูฐชั้นดีตระเตรียมไว้รอแต่เนิ่นๆ แล้ว ยังมีคนที่รอปรยนิบัติอยู่ตลอดอีกด้วย
สิ่งที่ทำให้หลินซีนเยียนประหลาดใจก็คือ คนที่มาในครั้งนี้คือจินมู่ นางไม่ได้พบจินมู่มาเป็นเวลานานมากแล้ว สถานที่ที่จินมู่มักจะปรากฏกายอยู่เสมอ ล้วนเป็นสถานที่ที่โม่จื่อเฟิงปรากฏกายในนามของอ๋องอู่เสวียน ทว่าปัจจุบันอยู่ตรงบริเวณชุมทางระหว่างสามประเทศ จินมู่มาแล้ว ทำให้หลินซีนเยียนประหลาดใจเข้าไปใหญ่
“ชายา” จินมู่เอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม
หลินซีนเยียนตอบรับคำเล็กน้อย หันหน้าไปถามโม่จื่อเฟิงอย่างงงงวย “ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วโลกว่าอ๋องอู่เสวียนแห่งประเทศหนานเยว่ถูกประเทศเป่ยหมิงลอบสังหาร จวบกับที่ปัจจุบันถึงเวลาสงครามระหว่างสองประเทศแล้ว ดังนั้นจินมู่ในฐานะผู้บัญชาการองครักษ์ของอ๋องอู่เสวียน จึงมาถึงด่านตรวจชายแดนอย่างเต็มยศ?”
แววตาโม่จื่อเฟิงวิบวับ นิ้วมือจิ้มเข้าที่ปลายจมูกของนาง “เจ้ามักจะหลักแหลมเช่นนี้เสมอ ประจวบกับเป็นเช่นนี้ อีกอย่าง ไม่เพียงแต่จินมู่มาแล้ว ยังมีกองกำลังประเทศหนานเยว่ของอ๋องอู่เสวียนก็ล้วนมากันหมดแล้ว”
“มาหมดแล้ว?” ในใจของหลินซีนเยียนยิ่งเพิ่มความกังขามากขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกว่าเรื่องที่ประเทศหนานเยว่เปิดศึกกับประเทศเป่ยหมิงนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ตอนนี้ได้ยินคำของโม่จื่อเฟิง ความกังขาในใจก็ยิ่งทวีขึ้น
“เอาล่ะ ยามดึกหมอกหนา พวกเรารีบเดินทางเร็วสักหน่อยดีกว่า” โม่จื่อเฟิงกล่าวเช่นนี้ ประคองเอวของหลินซีนเยียนขึ้นและอุ้มนางวางบนโหนกหลังอูฐ จากนั้นตนเองก็พลิกกายไปนั่งด้านหลังของนาง
หลังจากจากไปแล้ว หลินซีนเยียนอดหันหน้าไปมองเงื้อมผาอันปกคลุมด้วยเถาวัลย์ท่ามกลางยามราตรีแวบหนึ่งไม่ได้ ปากทางเข้าของกรุเกิงจีนนี้ได้ถูกปิดตายลงแล้ว นางเคบตรวจสอบดูแล้ว กลไกบริเวณก้อนหินผันสามารถเปิดได้เพียงหนึ่งครั้ง ถ้าหากนึกอยากหอบสมบัติในที่นี้ออกไปอีก กรงว่าคงทำได้เพียงต้องคิดวิธีอื่นแล้วกระมัง
บางที นี่อาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางที่บรรพบุรุษก่อนหน้าของตระกูลเฟิ่งกำหนดเอาไว้ หากไม่ใช่รุ่นลูกหลานของตระกูลเฟิ่งเข้ามา หากว่าสมบัติเหล่านี้ตกอยู่ในมือของคนอื่น เช่นนั้นหุบถ้ำนี้ก็จะปิดตายลงโดยสมบูรณ์
“กำลังมองอะไรอยู่เล่า” มือของโม่จื่อเฟิงกำสายบังเหียนและรวบนางเข้ามาในอ้อมอก
หลินซีนเยียนส่ายหน้า อดซักไซ้ไม่ได้ “ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่กำลังคิด ที่นี่เป็นคลังสมบัติอันใหญ่โตขนาดนี้ อ๋องอู่เสวียนของพวกเราถึงกับทำใจได้เชียวหรือ ท่านไม่ใจเต้น?”
เห็นว่านางหันหน้ามามองตนเองอย่างซุกซน หัวคิ้วของโม่จื่อเฟิงก็ค่อยๆ ขมวดขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าพูดมาก็ถูก ทรัพย์สมบัติมากมากเพียงนี้ จำนนไปก็น่าเสียดายแย่เลย ไม่สู้…รอหลังจากจัดการเรื่องราวทั้งหมดเสร็จสิ้นเสียก่อน ข้าจะพาเอากุญแจเนื้อคนพาเจ้ากลับมาล่าสมบัติที่นี่อีกครั้ง? แต่ไม่รู้ว่าเลือดในร่างกายของเจ้ายังจะพอใช้หรือไม่…”
“ท่านกล้า!” หลินซีนเยียนแค่นเสียงเย็น นิ้วมือกำผิวหนังบนท่อนแขนของเขาเอาไว้แน่นแล้วบิดขึ้นมา
โม่จื่อเฟิงไม่ได้หลบเลี่ยง และไม่ได้ร้องด้วยความเจ็บปวด ทำเพียงปล่อยให้นางบิดเขาอยู่อย่างนั้น สักพักหนึ่ง รอให้นางบิดจนเหนื่อยแล้วจึงกล่าว “ของเหล่านี้ เก็บไว้ให้คนรุ่นหลังดีกว่าเถิด รอหลังจากที่จัดการเรื่องราวทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้ใช้ขุมสมบัติเหล่านี้แล้ว แต่ว่าเสี่ยววี่จิ่ง หากว่าภายภาคหน้าเขามีข้อเรียกร้องหรือความเห็นอะไรล่ะก็ สิ่งของในนี้ก็จะสามารถเป็นส่วนช่วยเสริมแรงให้เขาได้บ้าง ของเหล่านี้…ก็เก็บไว้ให้เขาเถิด”
หลินซีนเยียนคาดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจถึงแหล่งที่ไปของขุมสมบัติเหล่านี้อย่างใจกว้างเช่นนี้ ในอกก็ค่อนข้างเสียใจ ก่อนจะไปถลกแขนเสื้อของเขาขึ้นมาดู ก็เห็นผิวหนังบนลำแขนของเขาดำปื้นเป็นวง
“เอ่อ…” นางกะพริบตาปริบๆ สีหน้าค่อนข้างอึดอัดใจ
โม่จื่อเฟิงกลับยิ้มเบาๆ “ ทำไม ปวดใจหรือ หากว่าปวดใจแล้วล่ะก็ จากนี้…ก็ชดเชยให้ข้าเป็นอย่างดีก็พอแล้ว…” เขาพูดด้วยท่าทางจริงจัง ทว่ากลับดึงมือของนางไปวางไว้ระหว่างหน้าขาทั้งสองข้างอย่างแยบยล
ปลายนิ้วสัมผัสถึงความแข็งแรง ความรู้สึกอันร้อนแรง ทำให้หลินซีนเยียนตกใจจนต้องชักมือกลับโดยสัญชาตญาณ ทว่าเขาจับอย่างแน่น จึงไม่ได้มีโอกาสให้แก่นาง
หลินซีนเยียนอดเหลือบไปมองสองคนข้างหลังไม่ได้ จินมู่นำผู้ติดตามสิบกว่านายเดินตามอยู่เบื้องหลัง ยังมีเสี่ยวหลงและหนีหว่าน ชั่วขณะนั้นรู้สึกว่าใบหน้าค่อนข้างก่ำแดง ในอกก็ยิ่งสลดอย่างสาหัส นี่ก็ตั้งเวลาไหนแล้ว เขายังนึกอยากจะรังแกผู้หญิงอยู่อีก
ตลอดทาง หลินซีนเยียนเคยถามโม่จื่อเฟิงว่าสรุปแล้วจะพานางไปพบใครกันแน่ เสี่ยววี่จิ่งหรือ ทว่าโม่จื่อเฟิงพูดเพียงว่าถึงแล้วก็รู้เอง ถึงช่วงสำคัญที่สุดก็ไม่เต็มใจเปิดเผยต่อนางแม้เพียงนิดเดียว
ตลอดระยะทางหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดขบวนคนก็เดินทางมาถึงเมืองด่านตรวจชายแดนของประเทศหนานเยว่
ห้องพักแขกที่ใหญ่ที่สุดถูกคนล้อมรอบเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นแล้ว หลินซีนเยียนถึงห้องพักแล้วก็ให้เด็กรับใช้ไปเตรียมน้ำอุ่น ความโกหาหลหลายวันติดต่อกันมานี้ ทำให้ร่างกายของนางแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนนี้มีโม่จื่อเฟิงอยู่เคียงข้างกาย หัวใจทั้งดวงของนางกลับสงบลงอย่างมหัศจรรย์ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์เข็ญอันใหญ่หลวง ดูเหมือนว่านางก็ไม่เกรงกลัวอีกแล้ว ภายในกระดูก มีเสียงๆ หนึ่งกำลังบอกนางไม่หยุด มีเขาอยู่ มีเขาอยู่ ทุกอย่างล้วนไม่น่ากลัว
แช่อยู่กลางน้ำอุ่น รูขุมขนทั่วร่างล้วนค่อยๆ เปิดออก ความรู้สึกอันแสนสบายนั้นทำให้นางผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่นางตื่นขึ้นมานั้น ก็ได้สวมอาภรณ์และนอนหงายอยู่บนฟูกเตียงแล้ว นางเปิดเปลือกตา ยังไม่ทันได้มองเห็นทุกอย่างชัดเจน เรือนร่างอันร้อนรุ่มเป็นไฟก็กดทับลงมาเสียแล้ว นางสะดุ้งตกใจ เบิกตากว้าง กลับมองเห็นเรียวคิ้วอันคุ้นตา ความคับแน่นในจิตใจพลันมลายลง และหลังจากนั้น มือของนางก็เป็นฝ่ายลุกล้ำเข้าไปในอาภรณ์ของเขาเสียเอง
แต่น่าเสียดาย กลางดึกสงัด กลับไม่มีเวลาเพียงพอให้คนทั้งสองสอดประสานกัน
ผ่านค่อนคืนแล้ว ภายในสวนก็มีเสียงสนั่นรบกวนเสียงหนึ่งดังขึ้น ว่าตามหลักแล้วเรือนพักแขกนี้ได้ถูกคนของโม่จื่อเฟิงล้อมรอบเอาไว้ ไม่น่าจะมีคนนอกเข้ามาได้ และคนของโม่จื่อเฟิง ย่อมไม่กล้าก่อกวนเขาโดยพลการเป็นแน่
คนผู้นี้แผดกล่องเสียงตวาดลั่นภายในสวน แต่กลับไม่มีใครกล้าออกมาขัดขวางเขาแม้แต่คนเดียว ก็เห็นชัดแล้วว่าสถานะของเขานั้นพิเศษ
หลินซีนเยียนเรือนกายปวกเปียกทั้งร่าง ท่ามกลางความสะลืมสะลือก็ได้ยินเสียงคนกำลังโวกเวก นางมุ่นคิ้ว พลิกเรือนกาย ขณะที่กำลังอุดหูจะเตรียมจะนอนต่อ ทว่าทันใดนั้น ดวงตาของนางพลันลืมโพลง พลิกร่างแล้วลุกขึ้นนั่ง เน องจากนางได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจนไม่อาจคุ้นชินได้มากกว่านี้แล้วนั่นเอง
“ศิษย์น้อง!”
นั่นมัน…เสียงของอู๋อี้
หลินซีนเยียนผลักโม่จื่อเฟิงที่นอนอยู่ด้านข้าง ถามอย่างค่อนข้างวิตก “ข้าหูเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่”
โม่จื่อเฟิงเองก็ลุกขึ้นนั่งตามอย่างหัวเสีย กล่าวด้วยสีหน้าเยียบเย็น “คนผู้นี้มาอย่างว่องไว แค่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา!” ในน้ำเสียงมีความขุ่นเคืองไม่พอใจอยู่มาก
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้แล้ว หลินซีนเยียนเองก็พลันลำดับขึ้นมาว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรได้แล้ว เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าโม่จื่อเฟิงจะติดต่อกับอู๋อี้ได้แล้ว
นางเร่งรีบสวมอาภรณ์ให้ดีแล้วเดินออกจากห้อง พลันก็มองเห็นอู๋อี้กำลังพาเอ้อร์ยาเดินเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อน อู๋อี้มองเห็นนาง ก็ตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง กึ่งวิ่งกึ่งเดินถลาเข้ามาบยังเบื้องหน้าของนาง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นราวกับนึกอยากสวมกอดนาง ทว่ากลับตระหนักได้ว่าชายหญิงแบ่งแยก ดังนั้นวงแขนจึงค้างเติ่งกลางอากาศไม่กล้าขยับการกระทำแม้แต่นิดเดียว
หลินซีนเยียนหัวเราะคิกคัก ไม่สนว่าเขาจะชะงักวงแขนค้าง พุ่งถลาเข้าสู่อ้อมอกและกอดเขาเอาไว้ “ศิษย์พี่ เห็นว่าท่านไม่เป็นไร ช่างดีเสียจริง!”