บทที่ 545 เจ้าย่าชานหยาง
การเดินทางสู่ทะเลทรายนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้ายาวนานและน่าเบื่อ
ด้วยความช่วยเหลือของปังกง คณะเดินทางและนักเดินทางจึงสามารถพูดได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว
ในไม่ช้า ก็ผ่านไปเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน ในช่วงเวลาตกเย็น พวกเขาก็ไปถึงกลางทะเลทราย
ที่นี่ไม่มีร่องรอยของผู้คน สุดลูกหูลูกตาออกไป ล้วนคือทะเลทรายที่ไร้ขอบเขต
พระอาทิตย์กำลังจะตก ทุกคนเองก็ไม่เดินทางต่อแล้วเช่นกัน
พอดีกับที่ที่นี่อาคารที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ทุกคนจึงเข้าไปด้านในเพื่อหลบความหนาวเย็น
“ไม่รู้ว่าพี่ชายคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เขากลับไปแล้วหรือเปล่านะ?”
ในเวลานี้ฉินหยาที่นั่งอยู่ข้างกองไฟก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงพี่ชายที่ช่วยตัวเองเอาไว้
“ฉันไม่คิดอย่างนั้น เขาดูไม่เหมือนผู้ชายแบบนั้น เขาดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงอย่างมาก! ”
เฉินเมิ่งเสว่เอ่ยขึ้นเช่นกัน
“เสี่ยวหยา ทำไมคุณมักจะเอาแต่คิดถึงเขา เธอไม่ได้บอกว่าเธอชอบเฉินเกอหรอกหรือ เธอคงไม่ได้เห็นว่าเขาคล้ายกับเฉินเกอ ดังนั้นถึงได้…..”
เฉินเมิ่งเสว่มองออกถึงบางอย่าง ในใจจึงมีความรู้สึกไม่พอใจบางอย่างเกิดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
“ไม่นะ! ก็เขาอุตส่าห์ช่วยพวกเราเอาไว้ ดังนั้นฉันถึงได้เป็นห่วงเขา! เมิ่งเสว่ ดูเหมือนเธอก็เอาแต่คิดถึงเขาตลอดเวลาเหมือนกันนี่? ”
ฉินหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“หึหึ เขาหรือ เขาทำให้ฉันรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างมาก ฉันชอบผู้ชายแบบนี้ อีกทั้งดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้ฉันรู้สึกถึงความลึกลับแข็งแกร่ง แฟนในอุดมคติของฉัน ก็คือแบบเขา!”
เฉินเมิ่งเสว่กลับไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“พูดแบบนี้ เธอชอบเขาแล้วหรือ?”
ในใจของฉินหยาเอ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
“ฉันเองก็ไม่รู้ อาจจะอย่างนั้น ในหัวของฉันเอาแต่คิดถึงเขา ฉันอยากเจอเขาอีกครั้ง มากๆ!”
เฉินเมิ่งเสว่จับแก้มของตนเอาไว้และมองไปที่ดวงจันทร์
ฉินหยาเองก็เก็บความคิดในใจและมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
“ฉันเองก็อยากเจอเขา มากๆ!”
เธอพูดความในใจ
ในตอนนั้นเอง
“เสี่ยวหยา เมิ่งเสว่ทำอะไรน่ะ? มาดื่มน้ำร้อนหน่อยเถอะ พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว ที่นี่เย็นมากอย่างยิ่ง! ”
หลี่ว่านหาวเดินเข้ามา
“ฉันไม่กระหาย!”
ฉินหยาส่ายหัว
แน่นอนเธอรู้ดีว่า หลี่ว่านหาวคิดอย่างไรกับตัวเอง
แม้ว่าหลี่ว่านหาวจะมีท่าทางและรสนิยมของคนจากตระกูลร่ำรวย แต่เมื่อพิจารณาจริงจังแล้ว เขากลับไม่ใช่คนประเภทที่ตนเองชอบ
แต่ว่า เพื่อตนเองแล้ว เขาสามารถทำให้ได้เกือบทุกอย่าง
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ในใจของฉินหยาก็ยิ่งรู้สึกผิด นั่นเพราะตนกับเขานั้นแต่เดิมก็ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้
“ถ้าไม่กระหาย นั่งอยู่ที่นี่เฉยๆ ออกจะน่าเบื่อ ทำไมคุณไม่ไปที่นั่งฟังเรื่องราวของปังกงแทนล่ะ น่ากลัวไม่น้อย!”
หลี่ว่านหาวเอ่ย
“ดูสิ แม้แต่ศาสตราจารย์หยางก็ยังถูกดึงดูดจนต้องเข้าไปฟังด้วยเลย!”
เขาชี้
ฉินหยาและ เฉินเมิ่งเสว่มองหน้ากัน
พวกเธอออกมาก็เนื่องจากเป็นผู้สื่อข่าวของคณะ กลับไปยังต้องเขียนต้นฉบับ หากได้ฟังเรื่องราวบางอย่างมาจริงๆ
ไม่แน่ว่าอาจช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจให้กับตนเองได้
ดังนั้นทั้งสองสาวจึงเข้าไปล้อมวงด้วยเช่นกัน
ในขณะที่เข้าไป ปังกงกำลังเอ่ยเล่าเรื่องด้วยสีหน้าจริงจัง เกี่ยวกับตำนานเจ้าย่าชานหยาง
ว่ากันว่าในทะเลทราย มักจะมีหญิงชราคนหนึ่ง มีคนบอกว่าเธอดูราวกับครึ่งคนครึ่งผี อีกทั้งยังดื่มเลือดคนเป็นอาหาร
การฆาตกรรมเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ มีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าย่าชานหยางจะทำเช่นนั้น เธอดูดเลือดของคนเหล่านั้น
อีกทั้งเธอยังมีอานุภาพไร้ขีดจำกัด ไม่กลัวกระสุน ฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย หากคนทั่วไปเจอเธอ ก็เท่ากับถึงวันโดนตัดสินประหารชีวิตเข้าแล้ว!
“มันชั่วร้ายขนาดนั้นจริงๆ หรือ? หากบนโลกนี้มีของแบบนั้นจริงๆ คงดังไปนานแล้ว!”
มีคนไม่เชื่อ
แต่บางคนก็ยังหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดออกมา
“ชั่วร้ายขนาดนั้นเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น จะบอกอะไรให้ เจ้าย่าชานหยางนั้นมีอยู่จริง ฉันเคยเจอมาก่อน!”
ปังกงลดเสียงลงต่ำในทันที
ประโยคนี้ของเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกสั่นสะท้าน
ศาสตราจารย์หยางหัวเราะเสียงดัง “ปังกงชอบพูดเล่นแล้ว คุณอย่าได้ทำให้เด็กพวกนี้ตกใจ! ”
“ใครล้อเล่นกัน ฉันเคยเจอจริงๆ ตอนนั้นฉันอายุเจ็ดขวบและเห็นตอนที่ฉันตามพ่อเข้าไปในทะเลทราย! ”
สีหน้าของปังกงจริงจัง ในขณะที่เอ่ยพูด สีหน้าก็แฝงด้วยความตื่นตระหนก
ศาสตราจารย์หยางก็หยุดยิ้มเช่นกัน เห็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าปังกงจะไม่ได้โกหก
“วันนั้น เป็นเวลาค่ำแล้ว เหมือนตอนนี้ พระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ฉันกับพ่อกางเต็นท์นอนกันเพราะเราต้องเตรียมหาแหล่งน้ำสำหรับวันรุ่งขึ้น ด้านข้างมีลำธารสายหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ฉันจึงไปยังริมธารกับพ่อและเตรียมตัวเก็บสำรองน้ำ ”
“จากนั้น ที่ริมฝั่ง ฉันก็เห็นเธอ!!!”
ทุกคนจ้องไปที่ปังกงตาโต
“เธอก้มตัวลงเพื่อดื่มน้ำ ภายใต้แสงจันทร์ ฉันมองไม่เห็นหน้าตาของเธออย่างชัดเจน แต่กลับมีภาพจำไม่ลืม ลิ้นของเธอยาวเกินไป ผมของเธอกระเซอะกระเซิง ตอนที่พวกเราเข้าไป เธอก็หันมาสบตาเข้าพอดี ดวงตาของเธอ เป็นสีเขียว!”
“ตอนนั้นพ่อของฉันก็นิ่งไป เขาร้องตะโกนเสียงดัง เสี่ยวเหนียน รีบหันกลับมา ห้ามมอง!”
ฉันกับพ่อหันหลังกลับมาพร้อมกัน จากนั้นจึงนั่งคุกเข่าเข้าหาดวงจันทร์
นั่นเพราะพ่อของฉันเคยบอกว่า หากพบเข้าเจ้าย่าชานหยางเข้าให้ ให้หันหลังให้เธอ อย่าได้หันไปมอง!
“จากนั้นล่ะ?”
มีนักเดินทางถามขึ้น
“จากนั้น เธอก็เดินมาหาพวกเราสองพ่อลูก ฝีเท้าของเธอเงียบอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเบากริบ ได้ยินเพียงแค่เสียงกรอบแกรบเท่านั้น เธอเดินช้าอย่างยิ่ง!”
“เสี่ยวเหนียน! เสี่ยวเหนียน! รีบหันมา อย่ามอง!”
ข้างหลังของฉันมีเสียงดังขึ้นเหมือนเสียงร้องของลูกแพะ มันคือเจ้าย่าชานหยางที่กำลังเรียนแบบคำพูดของคน
“หลังจากนั้นล่ะ?
มีคนถาม
“จากนั้น พวกเราก็คุกเข่าอย่างเงียบเชียบเป็นตายอยู่ที่นั่น ตลอดทั้งคืน ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา!”
ปังกงกล่าว
คนในห้องเองก็เงียบลงเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวๆ ทั้งหลาย หน้าผากถึงกับมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา
“กรอบแกรบบ…”
ในเวลานี้เอง เนื่องจากทุกอย่างเงียบสงบ ดังนั้นจึงได้ยินเสียงดังกรอบแกรบเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากด้านนอกอย่างชัดเจน
ราวกับมีใครบางคนกำลังมาทางนี้
“อ๊า!”
มีผู้หญิงบางคนกรีดร้องขึ้นด้วยความกลัว
อีกทั้งเงาร่างนั้นกลับยิ่งเข้าใกล้เข้ามา จนทำให้ผู้คนในนั้นกำลังตึงเครียดด้วยความประหม่า
แต่ทันใดนั้นก็เห็นเป็นชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ปและหน้ากากกำลังเดินเข้ามา
“ตกใจแทบตาย!”
สาวๆ โอดครวญร่ำไห้
“พี่ชาย เป็นคุณ!!!”
เฉินเมิ่งเสว่ยืนขึ้นด้วยความยินดีและประหลาดใจ
คนๆ นี้ หากไม่ใช่เฉินเกอแล้วจะเป็นใครได้อีก
“บังเอิญแล้ว!”
เฉินเกอยังไม่ถอดหน้ากาก เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“บังเอิญอะไรอย่างนี้! เมื่อกี้ฉันยังคิดอยากให้คุณมาอยู่เลย!”
เฉินเมิ่งเสว่ยิ้มอย่างมีความสุข
พูดจบ เธอก็หน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้
ฉินหยาเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน ดวงตาของเธอจ้องมองที่ดวงตาของเฉินเกอ
หลี่ว่านหาวเมื่อเห็นฉากตรงหน้า เขาก็เอ่ยเยาะเย้ย
“หึ ทำไม? ไม่มีที่ไปแล้ว แล้วก็ไม่มีน้ำด้วยสินะ ดังนั้นเมื่อเห็นขบวนของพวกเราถึงได้รีบตามมา ฮ่าฮ่า ไม่อย่างนั้น ชีวิตๆ น้อยๆ คงรักษาเอาไว้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ยังมีหน้ามาทำอวดดี บอกไม่ต้องการ!”
“ก็แค่บังเอิญ!”
เฉินเกอเอ่ยเสียงเรียบ
และไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
เขาเดินไปที่มุมหนึ่งและนั่งลงอย่างเงียบ ๆ
“เอ่ออะหมิงกับอะย่วน ทำไมยังไม่กลับมา? ”
ในเวลานี้ จู่ๆ ก็มีคนในกลุ่มทัวร์เอ่ยขึ้น
“อะไรนะ? พวกเธอออกไปเมื่อไหร่? ” ปังกงเอ่ย
“ออกไปได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว พวกเธอออกไปถ่ายรูป!”
มีคนเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้การ ต้องออกไปตามหา ดึกดื่นแบบนี้อันตรายเกินไป!”
ปังกงเอ่ย
จากนั้นเขาก็พาคนออกไป
และคอยตะโกนเรียกอย่างไม่หยุด
“อ๊า!!”
ในเวลานั้นเอง มีเสียงของหญิงสาวหลายคนกรีดร้องขึ้นด้วยความสยดสยอง