บทที่557 ความดื้อดึงของฉินหยา
“ดังนั้นผมถึงได้เก็บความลับนี้ไว้ในใจมาตลอด ที่พ่อของผมกลับมาไม่ใช่เพราะท่านเข้มแข็งแล้ว แต่เป็นเพราะท่านอ่อนแอลง ผู้ชายที่เข้มแข็งสมชายชาตรีมาตลอด ผมไม่เคยเห็นท่านร้องไห้เลยสักครั้ง แต่คืนนั้น ผมกลับเห็นท่านร้องไห้พร้อมกับตะโกนเสียงดังออกมา”
“พ่อของผมเป็นฮีโร่ในใจของผมมาตลอด แต่หลังจากคืนนั้นมา ผมก็เริ่มลังเลใจ ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท่านกลายเป็นแบบนี้ งานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมจะต้องสืบให้ได้ ผมต้องพัฒนาพลังความสามารถของตัวเองไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม ผมกลัวความพ่ายแพ้”
โม่ชางหลงพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ
“จากความหมายของพ่อคุณ ดูเหมือนคนพวกนั้นจะยังไม่ตาย แต่ถูกพาไปอยู่ที่อื่นใช่ไหมคะ”เฉินเกอถามอย่างประหลาดใจ
เรื่องนี้คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับซูมู่หานเลย ล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บเพราะสิ่งของที่เรียกว่าป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนแรกเฉินเกอก็สงสัย ว่าซูมู่หานยังไม่ตาย แต่ถูกคนจับตัวไปแล้ว
และพอมาฟังสิ่งที่โม่ชางหลงพูด ก็สามารถยืนยันตรงจุดนี้ได้พอดี
หรือว่ากลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับป้ายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ และภาพสุริยันจะถูกจับตัวไปจริงๆ
แต่โลกใบนี้จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แล้วพวกเขาถูกจะจับตัวไปขังไว้ที่ไหนกันล่ะ
“ใช่ครับ เป็นที่ที่พ่อของผมไม่กล้าไป และไม่อยากจะไปมากที่สุด”โม่ชางหลงพูด
“ผมขอร้อง ให้ผมได้ตายในงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเถอะครับ”
โม่ชางหลงคุกเข่าลงกะทันหัน
“พวกคุณสองพ่อลูกนี่มัน อะไรก็กล้าทำจริงๆนะ”เฉินเกอหมดคำพูดจริงๆ
“จะไม่ให้คุณตายง่ายมาก ผมต้องการให้คุณรับปากผมสามข้อ”
เฉินเกอพูดเสียงเย็นชา
“ว่ามาได้เลยครับ”
“ข้อแรก จากนี้ไปถ้าคนของตระกูลโม่เห็นคนตระกูลเฉิน จะต้องล่าถอยออกไป”
“ผม… ผมรับปาก”
“ข้อที่สอง ก่อนที่งานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จะเปิด คุณห้ามก้าวออกจากตระกูลโม่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ผมฆ่าคุณแน่ ตอนนี้คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม”เฉินเกอพูด
“ผมเข้าใจครับ ผมจะไม่ปรากฏตัวออกมาแน่ๆครับ”
“ส่วนข้อที่สาม ของคุณ ผมขอยึดไว้ชั่วคราว”
พอพูดจบ เฉินเกอก็ยื่นมือออกไป แล้วกระจกวิเศษที่อยู่ในมือของโม่ชางหลงก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือของเฉินเกอ
“ผมทำการวางหนอนพิษกู่ไว้ในตัวคุณและอย่าคิดจะลองเอามันออกมา ถ้าคุณไม่ทำผิดสามข้อที่ผมขอไว้ หนอนพิษกู่ตัวนี้จะกัดกินอวัยวะภายในของคุณจนหมด แน่นอน ถ้าคุณคิดจะลองบีบมันออกมาจริงๆ งั้นก็หมายความว่าคุณหาเรื่องใส่ตัวเอง”เฉินเกอพูดเสียงเข้ม
“อะไรนะ”โม่ชางหลงเบ้ปาก
เฉินเกอผู้นี้ จิตใจโหดร้ายมากจริงๆ
ฆ่าเขาให้ตายไปเลยยังจะดีซะกว่า
แต่ว่าโม่ชางหลงทำอะไรไม่ได้จริงๆ เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ผม… ผมรับปากก็ได้ครับ”
“ไปซะ”
เฉินเกอโบกมือไล่ ที่ยอมปล่อยตัวโม่ชางหลงไป ไม่ใช่เพราะเฉินเกอใจอ่อน แต่เป็นเพราะว่าคุณปู่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เลย นั่นก็เท่ากับว่าเขาจะไปเป็นครั้งแรกและไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะต้องมีสักคนที่รู้เรื่องนี้อยู่ข้างกายสักคน
ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อเข้าไปในงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
แต่โม่ชางหลงคนนี้ กลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เพราะตอนนี้ตัวเองได้ควบคุมเขาไว้ได้แล้ว ถึงจิ้งจอกตัวนี้จะจะเจ้าเล่ห์มากแค่ไหน ก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา
ถ้านับเวลาดูแล้ว ระยะเวลาห่างจากงานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เปิด เหลือเวลาอยู่ไม่ถึงสามเดือนแล้ว
อีกทั้งเรื่องความลับของโลงศพอมตะ เฉินเกอยังไม่ได้สืบข้อมูลเลย
แล้วอีกอย่าง ตัวเองก็ใกล้จะข้ามระดับปรมาจารย์แล้ว ไม่รู้ว่าคำทำนายความตายนั่นยังมีผลอยู่เหรือเปล่า
ดังนั้น เฉินเกอต้องรีบเดินทางออกจากทะเลทรายโดยเร็ว
มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ตลอดทาง เฉินเกอพยายามตามหาฉินหยานหยาไปด้วย แต่พบว่าไม่มีข่าวคราวของพวกเธอเลย
แต่พอจะเหลือร่องรอยของพวกเธออยู่บ้าง เฉินเกอพบว่า พวกฉินหยาได้เดินทางออกจากทะเลทรายแล้ว
และก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ในโรงแรมเล็กๆอย่างโรงแรมเป่ยไห่แห่งนี้ เฉินเกอพบพวกเธอแล้ว
แต่ว่า คนในกลุ่มส่วนใหญ่เดินทางกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกที่ต้องการเที่ยวต่อกับผู้หญิงที่อยู่ในทีมวิจัยอีกหนึ่งคน
เธอหยุดลงที่นี่ ดูเหมือนจะทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ด้วย
“เฉินเกอ ดีจังเลยที่ได้เจอกับคุณที่นี่”
หญิงสาวคนนั้นพอเห็นเฉินเกอ ขอบตาของเธอก็เริ่มแดงก่ำ
“คุณฉินหยา คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน ผมบอกไปแล้ว ว่าผมไม่ใช่เฉินเกอ ผมมีชื่อว่าเฉินเสวียน”
เห็นว่าเธอไม่เป็นอะไร ในที่สุดเฉินเกอก็วางใจสักที
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะยังอยู่ที่นี่
“คุณยังคิดจะโกหกฉันอีกเหรอคะ ฉันรู้หมดแล้ว คุณก็คือเฉินเกอ เพราะถึงแม้รูปร่างของคุณเปลี่ยนได้ นิสัยจะเปลี่ยนได้ แต่ดวงตาคู่นั้นของคุณ ไม่มีทางเปลี่ยนไปได้ คุณก็คือเฉินเกอ”
ฉินหยาวางจานชามลง ก่อนจะเดินมาพูด
เฉินเกอยืนมองนิ่ง
“ทำไมคุณถึงไม่กลับไปพร้อมกับกลุ่มวิจัย แต่กลับมาเก็บจานให้ลูกค้าอยู่ที่นี่ งานดีขนาดนี้ คุณไม่ทำแล้วเหรอ”
เฉินเกอหลบสายตาของฉินหยาแล้วพูด
“ไม่ทำแล้วค่ะ ฉันแค่อยากอยู่ที่นี่รอคุณกลับออกมา ถ้าคุณยังไม่ออกมา ฉันก็จะรอต่อไปเรื่อยๆ ถึงจะต้องรอไปสิบปีฉันก็จะรอ”
ฉินหยาพูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย “ฉันอยากจะถามคุณ ว่าทำไมต้องโกหกฉันด้วย บนโลกใบนี้ ไม่มีคนที่หน้าตาเหมือนกัน คุณปิดบังฉันได้ แต่สายตาของคุณโกหกใครไม่ได้ คุณพูดสิคะ ทำไมต้องโกหกฉันด้วย”
ฉินหยาตะโกนเสียงดัง ทำให้เรียกความสนใจของแขกเป็นจำนวนมาก
ส่วนเฉินเกอ ตอนนี้เขารู้สึกตื้นตันใจมาก ผู้หญิงคนนี้ คงคิดจะรอเขาอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตจริงๆ
แต่ว่าฉินหยา ผมไม่สามารถทำร้ายคุณเป็นครั้งที่สองได้อีก คุณเข้าใจไหม
เฉินเกอร้องตะโกนอยู่ในใจ
“คุณฉินหยาครับ ผมคิดว่าคุณคงจะเข้าใจผิดจริงๆครับ ก็ได้ครับ ผมรับปากคุณ ให้เวลาผมหนึ่งปี ผมจะหาเฉินเกอที่คุณกำลังตามหามาให้คุณ”เฉินเกอพูด
“เอาล่ะ ผมคุณก็เจอแล้ว คุณกลับไปทำงานเถอะครับ”เฉินเกอพูดจบ เตรียมจะออกจากโรงแรม พอหมุนตัวไปเตรียมจะเดินออกไป
ปึง
ในเวลานี้เอง ด้านหลังก็มีเสียงของตกลงบนพื้น
เป็นฉินหยาที่ตัวอ่อนแรงจนทรุดลงไปนั่งบนพื้นสลบไปทันที
“เสี่ยวหยา”
พอเฉินเกอเห็นก็รีบวิ่งกลับมา
“คุณ… คุณยังจะบอกว่าคุณไม่ไช่เฉินเกอ เสียงของคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เหมือนกับเขามาก”
ฉินหยารีบคว้าแขนเขามาจับไว้แน่น “ฉันไม่ยอมให้คุณหนีไปอีกแน่ๆ ถึงจะต้องตามคุณไปตลอดชีวิต ฉันก็ยอม” ฉินหยาจับแขนของเฉินเกอไว้แน่น
แต่เฉินเกอกลับขมวดคิ้วแน่น “คุณบ้าไปแล้วเหรอ ผมเห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนกันถึงเป็นห่วงคุณ แต่คุณกลับโกหกผม ช่างเถอะ ผมไม่อยากให้ข้างกายมีตัวถ่วง ขอให้คุณโชคดี”พูดจบ เฉินเกอก็เดินออกไปทันที
“เฉินเกอ”
ฉินหยารีบลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งตามหลังไป
เฉินเกอเดินเร็วมาก แต่ฉินหยายังคงพยายามเดินตามหลังไปไม่หยุด
เธอเดินตามมาจนออกจากหมู่บ้าน ด้านหน้าของเธอคือเส้นทางทะเลทราย เดินข้ามเส้นทางนี้ไป ถึงจะเจอถนนใหญ่ เส้นทางเส้นนี้ ไร้ผู้คน มีแค่ต้นสนร่ายเรียงเป็นแถวๆอยู่
ฉินหยาไม่รู้ว่าถนนเส้นนี้ต้องเดินอีกไกลแค่ไหน สีหน้าของเธอซีดเผือด ริมฝีปากแห้งผาก แต่เธอก็ยังเดินไปตามทางที่เฉินเกอเดินจากไป
“เฉินเกอ ฉันจะไม่ยอมปล่อยคุณหนีไปอีกแล้ว ทำไมคุณต้องหลบหน้าฉันด้วย ทำไม”เธอบ่นพึมพำ
ฝ่าเท้าของเธอไม่รู้ว่าถูกทรายบาดจนเป็นแผลกี่แผลแล้ว รองเท้าผ้าใบขาว เหมือนถูกย้อมไปด้วยเลือด
เธอรู้สึกมึนหัว หลังจากกลับมาจากทะเลทราย เธอก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ที่สลบไปเมื่อตะกี้ ไม่ใช่การเล่นละครจริงๆ
ปึง
เธอทรุดตัวลงบนพื้น เพราะไม่มีแรงแล้วจริงๆ
แต่ว่า เธอยังคงกัดฟันทนพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
เธอน้ำตาไหลนองหน้าพร้อมกับเดินต่อไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เดินมาหนึ่งวันเต็ม ทำให้ฉินหยารู้สึกว่าขาทั้งสองข้างปวดเมื่อยไปหมด
ในที่สุดเธอก็เห็นถนนใหญ่ ด้านหน้ามีร้านน้ำชาเปิดอยู่
“โอ๊ะโอ สาวน้อย สีหน้าของคุณซีดมาก มาดื่มน้ำก่อนเถอะ” เจ้าของร้านพูด
“ราคา…แก้วละเท่าไหร่คะ”
“ถูกมาก แค่สิบเหรียญเอง” เจ้าของร้านพูด
ฉินหยารีบล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองดู เธอรีบร้อนวิ่งตามมา เธอไม่มีเงินติดตัวมาเลย