เมื่อรถม้าดำเนินจากไป
เยี่ยเม่ยมองส่งเป่ยเฉินอี้ นางไม่พูดอะไร หมุนกายเดินเข้าจวน มองซือหม่าหรุ่ยยิ้มเอ่ยว่า “ช่วยข้าเตรียมงานแต่งงานเถอะ!”
“ได้!” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า เวลานี้ซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงต่างวิ่งออกมา หลังจากนั้นพวกนางก็เอ่ยปากว่า “พวกเราก็ช่วยเจ้าเตรียมงานได้!”
ความจริงพวกนางไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ได้ฟังแค่ประโยคสุดท้าย
เพียงแต่
ซินเยว่เยี่ยนก็ถามขึ้นอีกว่า “คือว่าเยี่ยเม่ย เจ้าเลือกใครแล้ว เลือกอู๋เหินบ้านข้าหรือเปล่า”
ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยพลางใช้สายตาเฝ้ารอมองเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยเห็นสีหน้าซินเยว่เยี่ยน พลันรู้สึกขอโทษอีกฝ่ายอยู่บ้าง นางลูบจมูกไม่ตอบ
ด้วยเหตุนี้ ในใจของซินเยว่เยี่ยนค่อยจมดิ่งลง นางรู้ว่าเยี่ยเม่ยมิได้เลือกกูเยว่อู๋เหิน
ซินเยว่เยี่ยนขมวดคิ้ว “เจ้าไม่เลือกอู๋เหิน?”
“อืม!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
“โอ้! แย่แล้ว!” ซินเยว่เยี่ยนหันกลับไปมองซือหม่าหรุ่ยและจงรั่วปิง เอ่ยปากว่า “เรื่องงานแต่งพวกเจ้าจัดการกันไปเถอะ ข้าต้องกลับไปดูว่าอู๋เหินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว!”
นางพูดจบ ก็รีบวิ่งแน่บออกไป
หลังจากวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หยุดฝีเท้าลง หันกลับมามองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ถือสา เจ้าเลือกคนที่เจ้าชอบก็พอแล้ว ถึงเจ้าไม่เลือกอู๋เหินข้าจะเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่โทษเจ้าเลย พวกเรายังเป็นสหายเหมือนเดิม! เพียงแต่ข้าเป็นห่วงอู๋เหิน ดังนั้น…”
“ข้าเข้าใจ!” เยี่ยเม่ยพยักหน้ารับ
รู้ว่าซินเยว่เยี่ยนกลัวนางเข้าใจผิด ว่าที่อยู่ๆ อีกฝ่ายไม่ช่วยเตรียมงานแต่ง เพราะว่านางไม่เลือกกูเยว่อู๋เหิน ซินเยว่เยี่ยนจึงไม่ยินดี
เยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนค่อยวางใจ รีบจากไปทันที
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ถาม “กูเยว่อู๋เหินดูแล้วเป็นคนเฉยชา จะเกิดเรื่องอันใดได้ ซินเยว่เยี่ยนตื่นเต้นเกินกว่าเหตุหรือเปล่า”“นั่นก็พูดยาก!” จงรั่วปิงตอบรับ นางเอ่ยว่า “ยิ่งเป็นคนมีนิสัยเฉยชา ยามที่จริงจังขึ้นมาก็…ในเมื่อซินเยว่เยี่ยนแสดงออกเช่นนี้ นางย่อมเข้าใจคนอย่างกูเยว่อู๋เหิน ดังนั้นข้าเดาว่า เรื่องนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน!”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้
ซื้อหม่าหรุ่ยก็มองเยี่ยเม่ย ถามว่า “อย่างนั้นเยี่ยเม่ย เจ้าจะไปดูกูเยว่อู๋เหินหรือไม่ ไม่แน่ว่า…”
ไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องจริงๆ ก็ได้
เมื่อซือหม่าหรุ่ยถาม เยี่ยเม่ยก็ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ตอบเสียงนิ่ง “เจ้าว่าเวลานี้ข้าไปดูดีหรือไม่ไปดีกว่า ตามหลักแล้ว ข้าสมควรแสดงออกอย่างเป็นห่วง แต่ในความเป็นจริง…”
เยี่ยเม่ยถอนใจเบาๆ “ในเวลานี้หากข้าไป กลับทำให้ผู้อื่นคิดไปไกลอีก”
“ข้าว่าไม่ไปจะดีกว่า!” จงรั่วปิงเสนอ
ไม่ช้า นางก็มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ก็ไม่ต้องให้ความหวังใดๆ กับเขาอีก อีกทั้งก่อนหน้ามีข่าวลือระหว่างเจ้ากับกูเยว่อู๋เหินจำนวนไม่น้อย ในเมื่อเจ้าเลือกองค์ชายสี่แล้ว ยามนี้วิ่งไปดูกูเยว่อู๋เหิน หากแพร่ออกไป…จะไม่ดีต่อพวกเจ้า!”
คำพูดของจงรั่วปิงสมเหตุสมผล
ความจริงเยี่ยเม่ยไม่สนใจข่าวลือจะว่าอย่างไร แต่เมื่อคิดๆ ดู เพราะว่าตอนอยู่หน้าประตูวัง นางเอ่ยคำพูดเย็นชาไร้หัวใจ เห็นท่าทางเสียใจถึงปานนั้นของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางไม่อาจกลั้นใจทำให้เขาเจ็บช้ำได้วันละสองเวลา
หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้ ว่าหลังจากนางกลับมาก็ไปพบกูเยว่อู๋เหิน แค่ลองคิดดูนางยังรู้สึกปวดใจแทนเขาเลย
ยิ่งไม่พูดถึงว่า จงรั่วปิงเอ่ยได้ถูกต้อง ในเมื่อเลือกแล้ว ก็ไม่ต้องทำให้กูเยว่อู๋เหินเกิดความเข้าใจผิดอันใดอีก
คิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าตัวเองออกจะเสแสร้งเหลือเกิน
ปากพูดจาไร้เยื่อใย ในใจเห็นว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นสามีของตนไปแล้ว ทั้งยังคอยเตือนตัวเองว่า เขาก็เป็นคนเป่ยเฉิน แต่ว่า…
ในเวลานี้ นางยังคำนึงถึงความรู้สึกของเขา
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ เยี่ยเม่ยพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้ ไม่ไป มีซินเยว่เยี่ยนไม่น่าเกิดอะไรขึ้น! แต่ว่าจิ่วหุนเล่า”
เยี่ยเม่ยถามออกมา
คนทั้งหมดต่างตะลึงไปเล็กน้อย ทุกคนพบว่าเหมือนไม่เห็นจิ่วหุนมาหลายวันแล้ว เจ้าเด็กนี่อยู่ๆ ก็หายไป ไม่บอกใครเลยสักคำ
ซือหม่าหรุ่ยก็อึ้งไป “จริงด้วย ข้ากำลังหาเขาอยู่ ด้วยพิษในกายเขา ยาที่จำเป็นต้องใช้ข้าปรุงออกมาเสร็จเมื่อเช้านี้แล้ว แต่ตลอดเช้ายังไม่พบตัวเขาเลย เดิมข้าหลงคิดว่าเขาไปกับเจ้าด้วย ไปคุ้มครองเจ้าแล้ว!”
วรยุทธ์ของจิ่วหุนสูงส่ง ดังนั้นไม่มีใครกังวลว่าเขาจะเกิดเรื่อง เมื่อพบว่าเขาหายไป ทุกคนจึงไม่ใส่ใจ แต่มาพูดถึงตอนนี้
เยี่ยเม่ยในเวลานี้ยิ่งกลัดกลุ้ม โทษที่หลายวันมานี้เอาแต่คิดว่าตัวเองจะเลือกใครดี ถึงกับไม่ทันสังเกตว่าจิ่วหุนหายตัวไป
นางถามว่า “ครั้งสุดท้ายที่พวกเจ้าพบจิ่วหุน คือเมื่อไร”
“น่าจะเป็นสามวันก่อน ตอนเจ้าเพิ่งกลับถึงจวน วันที่จิ่วหุนไปรับเจ้ากลับมา!” จงรั่วปิงตอบ
เยี่ยเม่ยเดินกลับเข้าจวน ถามอีกว่า “บ่าวที่รับใช้จิ่วหุนก็ไม่รู้หรือ ไปตามพวกเขามาพบข้า”
“ขอรับ!” พ่อบ้านรีบรับคำสั่ง!
ไม่ช้า คนที่รับใช้จิ่วหุนก็ปรากฏตัวต่อหน้าเยี่ยเม่ย หญิงสาวถามพวกเขา “คุณชายเล่า พวกเจ้าปรนนิบัติเขา เมื่อเขาหายไป ทำไมไม่มีใครมารายงาน”
หรือว่าการปกครองในจวนแม่ทัพย่ำแย่ถึงเพียงนี้เชียว บ่าวไพร่ล้วนไม่ทำงานกันหมดแล้ว
เมื่อนางถามออกมา
บ่าวรีบเอ่ยปากว่า “ท่านอ๋องโปรดละเว้นด้วย ก่อนคุณชายเสี่ยวจิ่วออกไป บอกกับพวกเราแล้ว! เขาบอกว่าจะออกไปทำธุระข้างนอก ไม่อยากรบกวนท่าน สั่งให้พวกเราไม่ต้องพูด ดังนั้นพวกเราจึงไม่มารายงาน!”
หลังจากนั้นก็มีคนรับคำต่อว่า “ถูกแล้ว แต่ว่าพวกเราคิดไม่ถึงเลย เขาจะไปหลายวันขนาดนี้ เขาก็ไม่บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ตอนเขาจากไปก็ไม่บอกว่าจะจากไปนาน ดังนั้นพวกเรา…”
บ่าวไพร่ต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้าลนลานร้อนใจ
เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว มองสีหน้าพวกเขาไม่คล้ายโกหก ยิ่งทำให้นางกังวล เอ่ยเสียงต่ำ “จิ่วหุนยังมีเรื่องอันใดให้ออกไปจัดการนอกจวนอีก”
“บางทีอาจมีธุระสำคัญจริงๆ ก็ได้” ซือหม่าหรุ่ยปลอบนาง “เขาดูออกว่าสองวันนี้เจ้าจิตใจสับสนวุ่นวายดังนั้นไม่อยากรบกวนเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่แน่อีกสองวันเขาก็กลับมาแล้ว!”
เมื่อถึงเวลานี้ เยี่ยเม่ยพลันคิดได้ว่า นางไม่เข้าใจจิ่วหุนเลยสักน้อย
ก็เหมือนกับตอนนี้ จู่ๆ เขาก็จากไป แม้จะไปตามหาที่ไหนนางยังไม่รู้เลย เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยเริ่มถามตัวเองว่า นางมีคุณสมบัติเป็นพี่สาวของเสี่ยวจิ่วจริงหรือเปล่า
พี่สาวที่ไม่ใส่ใจเขา จิ่วหุนหายตัวไปสามวันแล้วถึงค่อยรู้ว่าเขาหายไป?
เยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ส่งคนไปตามหา!”