บทที่ 585 เก้าคนที่หายไปในตอนนั้น
ฟางเจี่ยนนันมองไปที่เฉินเกออย่างสงสัย
ถึงได้ค่อยๆเข้าใจว่า เซ่งจู้น้อยที่หยิ่งยโสคนนี้ ได้ถูกเฉินเกอควบคุมไว้แล้ว
“ฉันทำเรื่องผิดมากมาย ขอโทษ!”
เขาคุกเข่าก้มกราบลงกับพื้น
แม้ว่าก่อนหน้านี้ ฟางเจี่ยนนันยังมีใจที่อยากจะฆ่าเขา
แต่เมื่อเห็นสภาพที่น่าเวทนาของเขาในตอนนี้ เลยพูดขึ้นว่า
“คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษกับฉัน คนที่ควรไปขอโทษ คือคนที่โดนคุณทำร้ายเหล่านั้น ทั้งครอบครัวของเรา ครั้งนี้แค่เพียงได้รับความตกใจแค่ไม่มีอันตราย แต่คนเหล่านั้น ก็ไม่เหมือนกันแล้ว! เฉินเกอลงจะโทษคุณยังไง ก็ตามที่เขาต้องการ ฉันฟังเฉินเกอเท่านั้น!”
ฟางเจี่ยนนัน เหลือบมองไปที่เฉินเกอเล็กน้อย
บางครั้งผู้หญิงก็เป็นแบบนี้ ถ้าตอนแรกไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักหรือเปล่า แต่ถ้าตอนที่เธอได้เกิดการพึ่งพาทางจิตใจอย่างมากกับผู้ชายคนนี้ ก็เกือบจะมั่นใจได้ว่า ได้ตกหลุมรักแล้ว
และตอนนี้ ฟางเจี่ยนนันก็มีความรู้สึกนี้ต่อเฉินเกอ ทำไมตอนที่วีรบุรุษช่วยสาวงาม ถึงสามารถทำให้สาวงามมอบใจให้ง่ายที่สุด
พูดตรงๆก็คือ ปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเธอ ในเวลาที่เธอต้องการมากที่สุด ช่วยเธอแบกภาระที่เธอแบกไว้ ดังนั้นเธอจึงมีความรู้สึกพึ่งพา นับถือ ไว้วางใจ และอื่นๆ!
เฉินเกอก็ดูเหมือนจะสังเกตถึงความหมายบางอย่างในน้ำเสียงของฟางเจี่ยนนัน อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวในใจเล็กน้อย
เพราะตอนนี้ตัวเอง ไม่ได้มีความหมายแบบนั้น
สำหรับเถียเฉิง ในตอนนี้ ได้เห็นบาปของตัวเองถูกชะล้างไปแล้ว ก็คุกเข่าคลานไปหาเฉินเกอ
“คุณชายเฉิน ความปรารถนาทั้งหมดของฉันได้สมหวังแล้ว ขอบคุณมากจริงๆ ตอนนี้ ชีวิตของฉัน คุณสามารถเอาไปได้เลย ฉันไม่มีความเสียใจแล้ว!”
เถียเฉิงพูดอย่างเชื่อมั่นปิติ
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะฆ่านายตอนนี้ ตรงกันข้าง ฉันยังอยากให้นายช่วยฉันทำเรื่องหนึ่ง!”
เฉินเกอมองไปที่เถียเฉิง แล้วพูดขึ้น
“คุณชายเฉินคุณพูด!”
เถียเฉิงมองไปที่เฉินเกออย่างซาบซึ้ง
“ฉันจะไปตามหาวังราชาสมุทรต้องการคนช่วยอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะผู้ช่วยอย่างนาย ที่เชี่ยวชาญวิชากุยซีกง วิชาหดตัว สามารถอยู่ในทะเลได้เป็นเวลานาน นายเต็มใจหรือเปล่า?”
เฉินเกอถาม
“สามารถติดตามข้างกายคุณชายเฉิน ทำงานให้กับคุณชายเฉิน เถียเฉิงเต็มใจ ในที่สุด ฉันเถียเฉิง ก็สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนทั่วไปแล้ว ฉันเต็มใจที่จะติดตามคุณชายเฉิน!”
เถียเฉิงตกใจและดีใจมาก
“นายต้องคิดดีๆ จะสละทิ้งฐานะของเซ่งจู้น้อยจริงๆหรือ?” เฉินเกอถาม
“สละทิ้ง ฉันสละทิ้ง!”
เถียเฉิงไม่ลังเลเลย
หลังจากที่เฉินเกอได้ฟังเขาระบายออกมาทั้งหมด และยังไขปมในใจให้กับเขา
ยังไว้ชีวิตตัวเอง
เดิมที เถียเฉิงก็รู้สึกซาบซึ้งมากแล้ว
โดยเฉพาะบนตัวของเฉินเกอมีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง เถียเฉิง
ก็ไม่สามารถพูดได้ว่า คุณสมบัติอย่างนี้คืออะไรกันแน่ สรุปก็คือ มันทำให้เถียเฉิงประทับใจ
เขารู้สึกว่า ตัวเองติดตามอยู่เคียงข้างคุณชายเฉิน เสมือนว่าจะได้ไม่อยู่ในโลกนี้อย่างไร้ประโยชน์โดยแท้จริง
“ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ นายตามฉันไปที่วังราชาสมุทร! พอดีเลย ฉันก็อยากจะตรวจสอบดู ว่าหญิงสาวชุดขาวที่ช่วยชีวิตนายในตอนนั้น กับคนที่ฉันตามหา มีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่!”
เฉินเกอพยักหน้า
และในตอนนี้
กู่หยูเซียวได้พาชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เข้าไปในห้องนั่งเล่นของห้อง เฉินเกอ
เมื่อเห็นฟางเจี่ยนนันที่ใกล้ชิดกับเฉินเกอยิ่งนัก แล้วเห็นรูปร่างหน้าตาที่สวยงามของฟางเจี่ยนนัน ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเองเลย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวใจของ กู่หยูเซียวรู้สึกอึดอัดในทันที
ในขณะนั้น น้ำเสียงก็แย่ลงอย่างไม่มีสาเหตุ
“เฉินเกอ! คนที่นายตามหามาถึงแล้ว คุณหยางได้นำข้อมูลทั้งหมดบนเกาะในตอนนั้นมาให้แล้ว!”
กู่หยูเซียวพูดอย่างเย็นชา แล้วไปยืนอยู่ข้างๆ
ส่วนฟางเจี่ยนนัน ก็มองพิจารณาหญิงงามที่ติดตามเฉินเกออย่างละเอียด
ผู้หญิงทั้งสองคน ดูเหมือนจะอยู่ในสถานะบางอย่างในพริบตาเดียว
“คุณเฉิน!”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ ถือเอกสารไว้แล้วพูดขึ้น
“คุณหยาง เชิญนั่ง!”
“คุณหยางคนนี้ ชื่อว่าหยางเทียนหัวทำงานในกระทรวงวัฒนธรรมของโม่เฉิงสามารถพูดได้ว่า เขารู้ประวัติการพัฒนาของ โม่เฉิงตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน หากต้องการตรวจสอบประวัติความเป็นมาของเกาะโม่เต่า ก็ต้องเป็นเขาแน่นอน
หลังจากทักทายรู้จักกันอย่างคร่าวๆ
หยางเทียนหัวก็เริ่มเข้าสู่ประเด็น
“ได้ยินมาว่าคุณเฉินสนใจประวัติศาสตร์การก่อตั้งสร้างเมืองของเกาะโม่เต่าในช่วงบ่ายวันนี้ ฉันไปค้นหาข้อมูลจำนวนมากโดยเฉพาะ โม่เฉิงนี้ เดิมทีเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงริมชายฝั่งเล็กๆ มีเพียงร้อยกว่าครัวเรือนเท่านั้น และต้นกำเนิดของประวัติศาสตร์นี้ อาจยาวนานเป็นหมื่นปี โดยมีหลักฐานมาจากฟอสซิลที่ขุดพบบนเกาะเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว……”
“นี่เป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ที่จริงจังมาก คุณหยางมีพงศาวดารที่เป็นตำนานเรื่องเล่าอย่างมีชื่อเสียง แต่ก็มีหลักการหรือไม่?” เฉินเกอฟังจบ อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“พงศาวดาร? คุณเฉินชอบฟังพงศาวดาร? หากจะพูดถึงพงศาวดารตำนานที่เกี่ยวกับ เกาะโม่เต่า นั้นก็มีเยอะแยะมากเกินไปแล้ว ขออภัยที่ฉันพูดเยอะ ฉันมีงานอดิเรกในชีวิตอย่างหนึ่ง นั่นก็คือศึกษาพงศาวดาร แล้วรวบรวมหลักฐาน มาลบล้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ครั้งนี้คุณเฉินหาถูกคนแล้ว!”
หยางเทียนหัวพูดยิ้ม
จากนั้นก็เริ่มเล่าพวกตำนานยาวนานให้เฉินเกอฟัง
“น่าจะเป็นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ฉันเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน โอกาสโดยบังเอิญในครั้งหนึ่ง ฉันได้เห็นหนังสืออักษรเก่าธรรมดาๆเล่มหนึ่ง ในห้องสมุดของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งก็คือหนังสืออักษรเก่าธรรมดาๆเล่มนั้น ทำให้ฉันมองจนตกอยู่ในภวังค์!”
“เพราะอักษรในตอนนั้น ค่อนข้างแตกต่างจากอักษรโบราณโดยทั่วไป ในสมัยมหาวิทยาลัย ฉันได้ลงเรียนภาควิชาโบราณคดี ดังนั้นศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง จึงได้สอนเกี่ยวกับความหมายของอักขระโบราณบางอย่างให้กับฉัน ในนั้น มีพงศาวดารตำนานเรื่องเล่ามากมาย!
พูดยังไงดี คนที่บันทึกตำนานเหล่านี้ ใช้คำพูดในปัจจุบันก็คือ เหมือนเป็นการบันทึกความทรงจำ!”
หยางเทียนหัวพูดต่อ “พงศาวดารนี้ เป็นคนสมัยก่อน ได้จดบันทึกจากศิลาจารึก เล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของชายชราคนหนึ่ง พูดให้ถูกต้องก็คือ เป็นเรื่องราวของชายชราที่รอดชีวิตมาได้!”
“เขาบอกว่า ตอนที่เขายังหนุ่ม เคยโชคดีที่ได้รับเลือก ให้เข้าร่วมในพิธีศพที่พิเศษงานหนึ่ง ทำไมถึงพิเศษ เพราะเขาจะไปฝังศพของหญิงสาวนางฟ้าคนหนึ่ง และที่ฝังศพก็อลังการยิ่งนัก ซึ่งก็คือ ราชวังใต้น้ำ!”
ได้ยินถึงตอนนี้ เฉินเกอก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันไปมากับกู่หยูเซียว
“ต่อจากนี้ ก็จะพูดถึงขั้นตอนการขนย้ายโลงศพ ตลอดจนมาถึงที่เกาะโม่เต่าของเรา พวกเขาทั้งกลุ่ม รวมทั้งอาจารย์หมอมีทั้งหมด สามสิบเจ็ดคน เนื่องจากเจอพายุใหญ่ เลยได้หยุดพักที่เกาะโม่เต่า!”
ส่วนหนังตาของเฉินเกอ ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกเล็กน้อย
นี่……คือเนื้อหาของภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งหกไม่ใช่หรือ?
ใช่แล้ว นี่น่าจะเล่าถึงเรื่องราวหลังจากที่พวกเขามาถึงบนเกาะโม่เต่า
เพราะตอนที่ออกจากเกาะโม่เต่าภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงให้เห็นว่า ขอทานชราได้พาไปคนยี่สิบเจ็ดคน หายไปเก้าคน
และข้อความนี้ ที่จดบันทึกจากศิลาจารึก ดูเหมือนจะเป็นจำพวกตัวหนังสือที่จารึกเกียรติประวัติของผู้ตาย ของหนึ่งในเก้าคนที่หลงเหลือบนเกาะ
หรือว่า หลังจากที่ทั้งเก้าคนได้หลงเหลือไว้ ก็ไม่ได้ตาย? แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้หลงเหลือกะทันหัน?”
“เขาบอกว่า มาถึงเกาะโม่เต่าได้เปลี่ยนชีวิตของเขา ยิ่งได้เห็นฉากที่เขาลืมไม่ลงตลอดชีวิต ในค่ำคืนหนึ่ง พวกเขาพักอยู่ในเต็นท์ ในเวลานี้ ก็รู้สึกเหมือนว่า ฟ้าดินวิปริตแปรปรวน ทั้งเกาะกำลังจะจมหายไป ทุกคนล้วนคิดว่า ความหายนะมาเยือนแล้ว จึงรีบออกมา แต่กลับได้เห็นบ้านบินทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่!”
“ได้ลอยอยู่กลางอากาศ! บ้านบินหลังนี้ใหญ่มากเกินไป และที่สำคัญที่สุดก็คือ มีคนอยู่ข้างใน มีคนเคยเดินออกมา ตอนที่เปิดประตูของบ้านบิน ยังสามารถได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนของคนส่วนหนึ่งจากข้างใน อนาถยิ่งนัก!”
“ในเวลานั้น พวกเขาหวาดกลัวอย่างยิ่ง เพราะเสียงครวญครางโหยหวนนั้น ร้องจนทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ.