“หึ…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเย็นชาคำหนึ่ง
ความจริงเขาคาดการณ์ได้อยู่แล้ว แต่ว่าพอเรื่องเกิดขึ้นมา จะบอกว่าไม่ใส่ใจก็เป็นไปไม่ได้
อวี้เหว่ยถอนใจคำหนึ่ง ความจริงเรื่องที่เกี่ยวข้องทุกอย่าง อวี้เหว่ยเป็นคนสืบออกมาเอง เขาจะไม่รู้ชัดได้อย่างไร พูดตามตรงว่าการที่แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ยอมตั้งครรภ์ลูกของเตี้ยนเซี่ย ก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรเสียใครจะตั้งท้องให้ลูกของศัตรูได้
เพียงแต่
แม่นางเยี่ยเม่ยทำเช่นนี้ เป็นความโหดร้ายต่อองค์ชายสี่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ถ้าเป็นใครก็คงทนไม่ได้ทั้งนั้น วันแรกของการแต่งงาน ภรรยาดื่มของแบบนั้นไป ช่าง…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองอวี้เหว่ย สั่งว่า “บอกซือหม่าหรุ่ยไปว่าภายหน้าเรื่องของจวนองค์ชายสี่ไม่จำเป็นต้องรบกวนนาง ทุกวันจะมียาป้องกันบุตรหนึ่งชามเตรียมไว้ ไม่มีวันขาดแน่!”
อวี้เหว่ยชะงักไปเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่ง “ต้องทำเช่นนี้จริงหรือ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันมองเขา
อวี้เหว่ยรีบหมุนตัวไปตามหาซือหม่าหรุ่ยที่ห้องเยี่ยเม่ย
……
ยามคำพูดของอวี้เหว่ยถ่ายทอดเข้าหูซือหม่าหรุ่ยและเยี่ยเม่ยอย่างไม่ตกหล่นเลยสักคำแล้ว เยี่ยเม่ยก็พยักหน้า “เข้าใจแล้ว!”
อวี้เหว่ยก็รีบจากมา
เขาเองก็ไม่อยากพูดอะไร ทั้งยังพูดไม่ออก แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ได้ทำผิด แต่ว่าองค์ชายสี่ก็เป็นผู้บริสุทธิ์ อวี้เหว่ยต่อให้ตัวเองมีสติปัญญาด้านอารมณ์ดีขนาดไหน ก็ไม่รู้จะเริ่มเกลี้ยกล่อมจากที่ใด
รอจนอวี้เหว่ยออกไป
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “จะเสียใจไหม”
อย่างไรเสียเยี่ยเม่ยดื่มยาป้องกันบุตรเองกับการที่ภายหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนเตรียมให้นาง ก็ให้ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ต่อให้เยี่ยเม่ยกำลังดื่มยา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้ความแล้ว ส่งสัญญาณบอกซือหม่าหรุ่ยไม่ต้องกังวล
แต่ก็เป็นความหมายเดียวกัน
เขาเห็นด้วย หรือบางทีเขาอาจไม่ต้องการให้นางคลอดลูกของเขา
เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ว่าหนทางภายหน้าเป็นอย่างไร ทุกอย่างข้าล้วนเป็นคนเลือกเอง ข้าไม่มีสิทธิ์เสียใจ”
นางเอามีดไปวางไว้ในมือผู้อื่น บีบบังคับให้เขาแทงใส่ร่างนาง
กลับบอกว่าตัวเองเจ็บปวด เสียใจมาก? นี่ไม่เรียกว่าเสแสร้งหรือ
ในเวลานี้
จงรั่วปิงเดินเข้ามามองหน้าเยี่ยเม่ย “เมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นองค์ชายสี่ออกจากจวนไป สีหน้าเลวร้ายอย่างยิ่ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จงรั่วปิงกล่าวต่อ “จริงสิ ท่านพ่อข้าเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องให้ข้าฟังหมดแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าไม่ลองคิดดูว่าจะพูดความจริงกับข้าได้หรือยัง”
นางเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยกับซือหม่าหรุ่ยต่างมองหน้ากัน
จงรั่วปิงกล่าวต่อว่า “พูดตามตรง จู่ๆ ก็รู้ว่าตาแก่นั่นไม่ใช่พ่อแท้ๆ ข้าก็ยังอดตกใจไม่ได้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีหน้าตาหล่อเหลาไม่ต่างจากพวกองค์ชายสี่เท่าไหร่”
คราวนี้กลายเป็นเยี่ยเม่ยที่สงสัยในรูปลักษณ์ของไป๋หลี่ซือซิว
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยถามว่า “เล่าหรือไม่”
“บอกไปเถอะ!”
เยี่ยเม่ยตกลง พร้อมกับเล่าว่า “ความจริงนี่ก็แค่เรื่องส่วนตัวของข้า ไม่ได้กระทบต่อแผนการใหญ่ เจ้าเล่าไปก็ได้!”
……
“เตี้ยนเซี่ย…” มู่หรงเหยาฉือมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา…
บุรุษผู้นั้นจูบเขา
ฉีกทึ้งเสื้อผ้านางอย่างหยาบโลน จากนั้นในสวนดอกไม้ก็มีเสียงรัญจวนดังออกมา…
……
หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหายจากจวนเป็นเวลาสามวัน
ใครก็ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน แม้แต่อวี้เหว่ยยังร้อนรนตามหาเขาไปทั่ว กลับเป็นเยี่ยเม่ยที่นิ่งเฉยอย่างร้ายกาจ หลังจากพักฟื้นร่างกายแล้ว สมควรทำอะไรนางก็ไปทำสิ่งนั้น
อย่างไรเสียวรยุทธ์เขาก็ดีออกปานนั้น
ไม่น่าเกิดเรื่อง
ผ่านไปสามวันเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมาแต่เช้าตรู่ ยามนี้เยี่ยเม่ยนั่งอ่านตำราสงครามอยู่ในสวนดอกไม้ คนทั้งสองมองทักทายกัน เพียงแค่สบตากันคราหนึ่งจากนั้นต่างฝ่ายต่างถอนสายตากลับ
แววตาเยี่ยเม่ยเหลือบไปเห็นชายเสื้อเขา ขาดไปมุมหนึ่ง
นางไม่ทันคิดมาก อ่านหนังสือต่อไป
จงซานส่งจดหมายมาบอกนางว่า พวกเขาเพิ่งได้รับกำลังทหารสองแสนนายมา ยามนี้ไม่อาจเคลื่อนไหวโดยพลการ มิเช่นนั้นจะทำให้ฮ่องเต้ระแวงสงสัย ต้องเก็บตัวสงบเงียบสักระยะค่อยว่ากัน
ดังนั้นเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าประชุมทุกเช้าตามกฎ มีท่าทีจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ สร้างความไว้วางใจให้ฮ่องเต้มากขึ้นทุกวัน
ตอนแรกเสินเซ่อเทียนรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแปลกอยู่บ้าง แต่ก็ทำเหมือนเดิมติดต่อมาได้สามเดือนแล้ว เสินเซ่อเทียนจึงคิดว่าตัวเองคิดมากเกินไป บางทีหลังจากแต่งงานแล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอาจมีการพัฒนาขึ้นบ้างกระมัง
หลายวันมานี้อารมณ์ของเป่ยเฉินเสียงมีบางอย่างผิดปกติ
ใครต่างก็ไม่รู้ว่าเขาดีใจเรื่องอะไร แต่ทุกวันมีรอยยิ้มฉาบหน้า ท่าทางเหมือนสมใจอยู่เนืองๆ เทียบกับองค์ชายสี่แล้วยังดูเหมือนคนเพิ่งแต่งงานเสียมากกว่า
ทำเอาเหล่าขุนนางทั้งหลายงุนงงเหมือนอยู่ในดงหมอก
ระยะเวลาสามเดือนนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาได้เหยียบเขาห้องเยี่ยเม่ยเลยสักครั้ง นับตั้งแต่วันแรกกลับมา คนทั้งสองก็แทบไม่พูดจากัน ต่างฝ่ายต่างเป็นเหมือนคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยอย่างที่สุด เพียงแต่ทุกวันกลับต้องพบหน้า ซ้ำยังจูงมือเข้าร่วมประชุมเช้าด้วยกัน
ขุนนางจำนวนไม่น้อยมองออกว่าระหว่างพวกเขามีความรู้สึกเหินห่าง ทุกคนรู้สึกแปลกใจว่าวันแต่งงานมิใช่ดีๆ กันอยู่หรอกหรือ ไฉนพลันเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ได้
แต่เป็นเรื่องในครอบครัวขององค์ชายสี่ ใครก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม
เยี่ยเม่ยยังคงใช้ชีวิตอย่างสบายใจในจวนองค์ชายสี่ ไม่ว่านางต้องการอะไร ชอบอะไร ชอบกินอะไร ล้วนไม่ต้องเอ่ยปาก สรุปแล้วบ่าวไพร่ที่มีสายตาชั้นเยี่ยมก็มักส่งของมาเสนอ
เยี่ยเม่ยรู้ว่านี่คือความต้องการของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
วันนี้
อวี้เหว่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านเตรียมจะทำสงครามเย็นกับพระชายาไปถึงเมื่อไรกัน”
“สงครามเย็น?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเขาทีหนึ่ง สายตาเหม่อออกไปไกลคล้ายได้ยินเรื่องตลกสักเรื่อง ผ่านไปสักพักเขาก็เอ่ยว่า “ไฉนถึงเรียกว่าสงครามเย็น เยี่ยนก็แค่ไม่อยากทำให้นางรำคาญเท่านั้น”
ในสายตานางพวกเขามีความสัมพันธ์เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เท่านั้น สงครามเย็นต่างฝ่ายต่างขุ่นเคืองใจ ทั้งสองต่างก็ใส่ใจฝ่ายตรงข้ามถึงเรียกว่าสงครามเย็น อย่างพวกเขาเรียกได้ที่ใดกัน
อวี้เหว่ยเงียบไปสักพัก ค่อยถามอย่างอดไม่ได้ “แต่ว่า…คืนแต่งงานพวกท่านเข้าหอกันแล้ว เป็นเวลาสามเดือนเต็มๆ ที่ท่านไม่ได้เข้าห้องพระชายาเลยสักก้าว นี่จะไม่…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ดวงตาคู่ร้ายทอประกายเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายก็ตอบไปคล้ายไม่ใส่ใจว่า “หลังจากเสพสุขแล้วนางกลับดื่มยาป้องกันบุตร นางไม่อยากมีลูกของเยี่ยน แต่ว่ายาป้องกันบุตรจะทำลายร่างกายของสตรี!”
อวี้เหว่ยฟังแล้วพลันไม่กล้าเอ่ยมากอีก
ในขณะนี้มีขันทีผู้หนึ่งนำราชโองการเข้ามา หลังจากเข้ามาแล้วก็เอ่ยว่า “องค์ชายสี่ วันนี้เป็นวันฉลองพระบรมราชสมภพของฝ่าบาท ถึงฝ่าบาทจะบอกแต่แรกว่าไม่ต้องจัดพิธีใหญ่โต แต่ว่าก็ยังมีงานเลี้ยงฉลองในครอบครัวกับขุนนาง ดังนั้นขอให้เตี้ยนเซี่ยกับพระชายาเข้าไปร่วมการเลี้ยงฉลองในวังด้วย!”