บทที่ 742 นักพรตหยิงหยาง
คุณชายต้วนหัวเราะ ผู้จัดการหวางเองก็หัวเราะด้วย
หรือแม้แต่ พนักงานเสิร์ฟอาหารก็ยังต้องยิ้ม เมื่อเห็นกับเหตุการณ์ดังกล่าว
เพราะว่า ถูกจอมมารอย่างคุณชายต้วนนั้น จงใจกระทำอย่างนี้กับตน
และก็ต้องมีจุดจบที่น่าอนาถ
“คุณชายต้วน คุณคงไม่ใช่ว่ากำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม แค่สิบหยวนนี่เหรอ”
ซึ่งเฉินเกอเองก็ไม่เข้าใจว่า คุณชายต้วนคนนี้ ไปเอาความกล้า ความมั่นใจอย่างนี้มาจากที่ไหน
“ใช่ล่ะ สิบหยวน”
คุณชายต้วนได้ยืนยันอีกครั้ง
“ได้ ผมเห็นด้วยตามนี้ แต่ว่า ผมมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
เฉินเกอพูด
“เงื่อนไขอะไรนั่นเหรอ”
“ก็คือ คุณต้องเอาชีวิตของคนในครอบครัวของคุณมาแลกไป ผมก็จะเอาแส้ขนหางจามรีนั้น ขายต่อให้คุณในราคาสิบหยวน ผมว่าข้อเสนออันนี้ เหมาะกับคุณชายต้วนเป็นอย่างมาก”
เฉินเกอพูดขึ้น
“เฮอะ ๆ ดีมาก ที่จริง อาจารย์ก็ได้บอกแล้วว่า คุณนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ผมเองก็ไม่เชื่อ แต่คิดไม่ถึง คุณไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ ซึ่งก็เป็นเพราะเหตุนี้ ผมเลยไว้หน้าคุณบ้าง แต่ว่าคุณ ในเมื่อไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา งั้นผมจะทำให้คุณเห็นว่า การตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
หลังจากที่พูดจบ คุณชายต้วนก็ได้ถ้วยชาลง
เพ๊ง!
และชายที่ใส่ชุดดำนั้น ทันใด ก็กลายเป็นควันสีดำ แล้วมลายหายไป
แล้วหลังจากที่ได้หมุนวนอยู่ในอากาศหนึ่งรอบ จากนั้น ก็ลอยลงไปยังข้าง ๆ ของเฉินเปียวเปียว
เมื่อเขาปรากฏร่างขึ้นมา มือของเขานั้น ก็ได้จับที่ลำคอของเฉินเปียวเปียวไว้เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้ เกิดขึ้นเร็วมาก เฉินเกอแทบจะยังไม่ได้ขยับหรือทำอะไรด้วยซ้ำ
“คุณปู่ อาจารย์ ช่วยผมด้วย”
เฉินเปียวเปียวอยู่ในอาการหวาดกลัวมาก
“ฮ่า ๆ ๆ ”
คุณชายต้วนหัวเราะอย่างเสียงดัง พร้อมกับยืนขึ้นแล้วปรบมือไปด้วย ซึ่งเขาก็ได้มองเฉินด้วยสายตาที่หาเรื่อง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนเฉินเกอ รู้หรือยังว่าอาจารย์ผม เก่งแค่ไหน ถ้าผมอยากให้คุณตาย เมื่อครู่นี้ คนที่โดนบีบคอ ก็น่าจะเป็นคุณ แต่ไม่ว่าอย่างไร หากฉันอยากจะฆ่าคุณ ผมก็สามารถฆ่าคุณได้ตลอดเวลา”
“นี่ก็คือความแตกต่าง อีกอย่าง พวกคุณฝีมือพวกคุณนั้น ยังต่างชั้นกันอยู่มาก เอาแส้ขนหางจามรีมา จากนั้นก็ไสหัวไปซะ เพราะว่าฝีมือของพวกคุณในสายตาของผู้ฝึกตนนั้น เป็นแค่มดตัวเล็ก ๆ เท่านั้น”
คุณชายต้วนส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยอาการที่เซ็ง ๆ
“ใช่แล้ว แต่ละคนก็หน้าไม่อายเลย คิดว่าตัวเองมีเงินเยอะแล้วจะทำอะไรก็ได้ยังงั้นเหรอ ถ้าจะให้ดี สิบหยวนนี้เอาไปสิ จากนั้น ก็เอาแส้ขนหางจามรีมา แล้วก็ไปให้พ้น ๆ ไม่อย่างนั้น พวกคุณคงจะต้องสังเวยชีวิตที่จี้โจวแน่”
ผู้จัดการหวางที่อยู่ข้าง ๆ นั้น ได้พูดขึ้นอาการที่เหยียดหยามพวกเขา
ในสายตาของเขานั้น คุณชายต้วนเป็นดั่งราชา
“ผู้ฝึกตนเหรอ ผมเข้าใจแล้ว ที่คุณชายต้วนนั้น รู้สึกยโสโอหัง ก็เพราะว่ามีผู้ฝึกตนคอยให้ความช่วยเหลือหรอกเหรอ แต่ว่า คุณชายต้วนเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าผู้ฝึกตนคนนี้ คนที่คอยช่วยเหลือคุณอยู่ เขาไม่ได้เป็นผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจอะไรเลย คุณจะทำอย่างไร”
เฉินเกอถามขึ้น
“ฮ่า ๆ ๆ คุณพูดอะไรนั่น ไม่มีฝีมือเหรอ”
ต้วนเฟิงมือกุมหน้าท้องแล้วหัวเราะขึ้นอย่างเสียงดัง
“ใช่แล้ว ไม่มีฝีมือเลย อย่างที่คุณพูดไว้ ไม่เพียงแต่ไม่มีฝีมือนะ แต่กลับเล็กเหมือนดั่งกับมดด้วย ”
เฉินเกอพูดอย่างนิ่ง ๆ แล้งพยักหน้า
“พอได้แล้วเฉินเกอ อย่ามาเสแสร้งแถวนี้ นายจะใช้วิธีแบบนี้มาขู่คุณชายต้วนเหรอ ฝันเฟื่องเสียจริง อีกอย่าง นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ฉันเองก็รู้ว่า ฝีมือของนายนั้นพัฒนาไปมากกว่าเมื่อก่อน แต่ว่า สติปัญญานายนั้น กลับไม่มีเพิ่มขึ้นเลย กลับกัน มีแต่ลดลงด้วยซ้ำ โง่เหมือนเดิม”
และในขณะเดียวกันนั้น ชายชุดดำที่อยู่ข้าง ๆ ก็ได้พูดขึ้น
“เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ว่านายอยู่ระดับไหน แต่ว่าฉันนั้น รู้ดี ดังนั้น นายไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแล้ว รอก่อนเถอะ รอความตายสถานเดียว”
มือของชายชุดดำบีบที่คอของเฉินเปียวเปียวอยู่ จากนั้น ก็ได้พูดขึ้น
เมื่อได้ยินคนคนนี้เอ่ยชื่อของตัวเองขึ้นมา และเมื่อได้ยินเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนว่า เขาจะรู้จักกับอดีตของตัวเองอย่างดี
“เมื่อก่อน พวกเรารู้จักกันเหรอ แต่ฉันกลับทำไมรู้จักเลย คนที่เมื่อก่อนที่ฉันนั้นรู้จัก เป็นผู้ฝึกตนเหรอ”
เฉินเกอถามขึ้นด้วยอาการที่สงสัย
“ฮ่า ๆ ๆ ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แค่พูดประโยคนี้ ถึงทำให้ชายชุดดำนั้นหัวเราะขึ้นมาได้
“ไม่อย่างนั้น ฉันจะรู้ได้ไงว่า นายนั้นโง่ อีกอย่างที่ทำให้ฉันคิดขึ้นได้ก็คือ นายโดนฉันมองออกแล้วว่า นายกำลังใช้แผนอะไรอยู่ แล้วทำไมยังต้องมาเสแสร้งเหมือนตัวเองเก่งอยู่ได้”
“นายอยากรู้เหรอว่าฉันเป็นใคร เกรงว่า หากเห็นหน้าฉันแล้ว นายจะต้องตกใจแน่”
ชายชุดดำพูดออกมาอย่างพอใจ
เฉินเกอมองต้วนเฟิงที่กำลังหัวเราะอยู่ จากนั้น ก็หันไปทางชายชุดดำที่หัวเราะอยู่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า พวกเขานั้นกำลังหัวเราะอะไรอยู่
รู้แต่ว่า สำเนียงเสียงพูดของชายชุดดำนี้นั้น จองหองยิ่งนัก เฉินเกอเองก็ไม่ได้ใช้ดวงตาทองมองด้วย เลยไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่
และเฉินเกอเอง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ดวงตาทองมองเลยด้วยซ้ำ
“งั้น ฉันเองก็อยากจะรู้แล้ว”
เฉินเกอพยักหน้า
“ฮ่า ๆ ๆ งั้นนายก็ดูดี ๆ ว่าฉันนั้น เป็นใคร”
ชายชุดดำเงยหน้าขึ้นพูด จากนั้น ก็เปิดผ้าคลุมสีดำที่ปิดหัวของตัวเองออก
และก็ปรากฏเป็นร่างชายแก่ต่อหน้าของเฉินเกอ ซึ่งเขามีใบหน้าสีขาวครึ่งหนึ่ง และสีดำครึ่งหนึ่ง
จากนั้น เขาก็ได้หัวเราะอย่างเสียงดังขึ้น
ส่วนต้วนเฟิงเองก็เดินหัวเราะเข้ามา แล้วมองยังอาจารย์
“เฉินเกอ คิดไม่ถึงล่ะสิว่า พวกเราจะเจอกันในรูปแบบนี้ และ การปรากฎตัวของฉัน ทำให้นายรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากใช่ไหมล่ะ”
ผู้เฒ่าได้พูดขึ้น
หนังตาของเฉินเกอขยับขึ้นลงไปมา
“เรื่องจริงด้วย ฉันคิดไม่ถึงจริง ๆ และแปลกใจมากด้วย เพราะว่า คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของฉันนั้น น่าจะเป็นแค่ศพใช่ไหม คนที่ฉันได้ฆ่าทิ้งไว้ที่ป่าไม้อันหลิ่งเหรอ”
เฉินเกอยังรู้สึกสงสัย จึงได้ถามขึ้น
ผู้เฒ่าคนนี้ ก็คือ ลุงเก้าในยุคตระกูลฟางตะวันตกเฉียงใต้ ต่อมา ได้ติดตามตนมาเพื่อที่จะสังหารตัวเองทิ้ง แต่ก็กลับโดนตัวเองนั้น ฆ่าทิ้งไป
แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะฟื้นคืนชีพแล้ว
และได้บำเพ็ญตนจนได้เจินชี่มา และกลายเป็น ผู้ฝึกตน ในที่สุด
นี่มันช่างน่าสนุกแล้วล่ะสิ
เฉินเกอรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
เพราะว่า กลิ่นของการบำเบ็ญตนบนตัวเขานั้น ไม่ใช่พลังภายใน และก็ไม่ใช่ความพลังที่เก็บซ่อนไว้ แต่เป็นกลิ่นพลังที่สามารถสัมผัสได้เลยโดยตรง
“ฮ่า ๆ ฉันรู้ว่านายอยากจะถามอะไร จะถามว่า ทำไมฉันไม่ตายเหรอ แต่กลับกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีฝีมือที่เก่งที่สุดในโลกด้วย ตอนนี้ฉันเอง ก็มีชื่อที่เรียกขานของฉันนะ”
เขายังคงหัวเราะเหมือนเดิม ในเวลานี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่า การพอใจของเขาแล้ว
“ใช่แล้ว ฉันเองรู้สึกสงสัยมากว่า เพราะเหตุใดถึงทำให้นายฟื้นคืนชีพได้ และบำเพ็ญตนจนถึงขั้นของผู้ฝึกตนด้วย ซึ่งมันไม่น่าจะถึงขั้นนี้ได้ แล้วสมญานามของนาย คืออันใด”
เฉินเกอพยักหน้า จะพูดไปก็ตลก เพราะตอนนี้สิ่งที่เขารู้นั้น ไม่สู้คนที่เคยตายอย่างกับคนคนนี้ด้วยซ้ำ
“ว่าไปแล้ว คงจะเป็นเพราะวาสนามั้ง ในตอนนั้น ฉันได้เจอกับเรื่องประหลาดที่มหัศจรรย์มาก ก็จริงที่ฉันถูกนายฆ่าไปแล้ว แต่ว่าตัวของฉันได้ถูกฟ้าผ่าลงกลางร่าง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันถึงไม่ถึงกับความตาย และจิตวิญญาณยังถูกรักษาไว้อย่างดี ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฉันถึงสามารถควบคุมร่างของตัวเองได้ และในตอนนั้น ร่างของฉันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไป”
“อะไรคือ การฟื้นคืนชีพน่ะเหรอ นี่ก็คือ พลังภายในที่ฉันพยายามตามหามานาน และก็คือว่า นี่คงจะเป็นพลังขั้นสูงสุดแล้วแหละ ฮ่า ๆ แต่คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่ฉันถูกฟ้าผ่าไป ก็เหมือนกับว่าได้รับพลังเจินชี่มา ในตอนนั้น ฉันคิดว่า ฉันเป็นเซียนแล้ว ฮ่า ๆ ๆ พอมาเล่าให้นายฟัง ก็รู้สึกว่า มันเป็นเรื่องที่น่าดีใจมากจริง ๆ ”
ผู้เฒ่าได้พูดขึ้น
จากนั้น เฉินเกอก็ได้ยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “พอมีเจินชี่แล้ว คิดว่าตัวเองนั้นเป็นเซียนเลยเหรอ”
“ตอนแรก ฉันไม่รู้อะไรหรอก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้พบกับผู้ฝึกตนท่านอื่น ๆ ถึงได้รู้ว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้ฝึกตนแล้วเหมือนกัน จากนั้น ก็ได้รับ สมญานาม ซึ่งผู้ฝึกตนทุก ๆ ท่าน ต่างก็จะมีหน้าที่ที่ต้องดูแลความสงบเรียบร้อย และแน่นอนว่า พวกเขาเหล่านั้น คือผู้ที่มีเกียรติและมีฝีมือที่สุด ซึ่งหาผู้ใดเปรียบไม่ได้แล้ว และนามของฉัน ก็คือ นักพรตหยิงหยาง”