ในขณะใช้ความคิด
เวลาเดียวกันนี้เองทหารจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ คนเหล่านี้มีจำนวนถึงห้าพันนาย ไม่ช้าก็เข้าห้อมล้อมเหล่าทหารนับหมื่นที่อยู่นอกโรงเตี๊ยม ซ้ำยังควบคุมสถานการณ์ได้
เป่ยเฉินอี้ที่สงบนิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
เขาลุกขึ้นกล่าวเสียงหนัก “ในเมื่อข้าเป็นคนจัดงานเลี้ยง ใต้เท้าทั้งหลายไม่ไว้หน้ากันถึงเพียงนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกันเถอะ!”
ครั้นเป่ยเฉินอี้เอ่ยออกมา แม่ทัพจ้าวก็หน้าซีดขาวในบัดดล
ทหารจำนวนห้าพันนายด้านนอกล้วนเป็นคนของอี้อ๋อง เมื่อมีกองกำลังจำนวนเท่านี้กดดันห้อมล้อมอยู่ คนทั้งหลายก็สงบลงได้แล้ว
ในสถานการณ์ที่ไม่มีคำสั่งทหาร แต่รวมกลุ่มกันต่อสู้ในเมืองมีโทษถึงขั้นตัดหัว ยามนี้เมื่อถูกล้อม คนทั้งหลายพากันตะลึงงันไปหมด
แม่ทัพจ้าวก็ได้สติแจ่มแจ้ง รีบวิ่งไปหน้าเป่ยเฉินอี้ เอ่ยว่า “อี้อ๋องโปรดประทานอภัย ขอให้อี้อ๋องโปรดเหลือทางไว้ชีวิตให้ข้าด้วย อย่าให้ฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้เลย หากฝ่าบาททรงรับรู้ ชีวิตน้อยๆ ของข้าก็เกรงว่าจะจบสิ้นแล้ว!”
ยามนี้ซือถูจ้าวรีบก้าวออกมา สำทับขึ้นว่า “ถูกแล้วอี้อ๋อง ไม่สู้พวกเรารีบส่งแม่ทัพเฉินให้ท่านหมอตรวจอาการ เรื่องนี้ก็เปลี่ยนจากเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก เปลี่ยนจากเรื่องเล็กเป็นไม่มีเรื่องเถอะพ่ะย่ะค่ะ?”
เมื่อเขาเอ่ยจบเป่ยเฉินอี้กวาดตามองเขาทีหนึ่ง เอ่ยเสียงขรึมลง “ท่านเสนาบดีคิดว่าเรื่องลุกลามใหญ่โตถึงขนาดนี้แล้ว ข้ายังจะชมดูอย่างไร้เรื่องไร้ราว ฝ่าบาทจะไม่รู้อันใดเลยหรือ”
“นี่…” เสนาบดีพลันพูดไม่ออก
ก็ถูก
ในเวลานี้ คนจากในวังก็มาถึงแล้ว กงกงผู้หนึ่งมาถึงเห็นศพบนถนนและในโรงเตี๊ยม พลันรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้ามืดมิดไปหมด รีบร้อนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม
ดูท่าจะสายไปแล้ว ทหารเหล่านี้ต่อสู้กันถึงชีวิตไปเลย!
หากฝ่าบาททรงรู้เข้าจะต้องโมโหเจียนตายอย่างแน่นอน!
เขารีบเดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง เห็นแม่ทัพเฉินที่ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่บนพื้น ก็ยิ่งรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าโลกหมุนไปหมด นอนไม่รู้เป็นตายอยู่ นี่มันช่าง…
ซือถูจ้าวเห็นกงกงมาถึง สีหน้ากลัดกลุ้มถามออกไปว่า “กงกง ฝ่าบาททรงรับรู้เรื่องนี้แล้วหรือ”
“ไม่ผิด!” กงกงพยักหน้า เอ่ยปากว่า “ท่านเสนาบดี เมืองหลวงนี้อยู่ใต้พระเนตรของพระฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทรงไม่รู้ได้อย่างไร ฝ่าบาททรงเข้าบรรทมแล้ว พลันได้ยินข่าวนี้ก็พิโรธ สั่งให้ข้าน้อยมาถ่ายทอดราชโองการโดยมิให้ตกหล่นแม้แต่น้อย”
ซือถูจ้าวรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าดำมืดไปหมดแล้ว
เจ้าสองตัวที่ไม่ได้เรื่องนี้ทำร้ายพวกเขาก็ช่างเถิด ยังจะลากให้องค์ชายใหญ่พลอยลำบากไปด้วยแล้ว!
เขาถามด้วยความเจ็บใจ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาทรับสั่งว่า คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงวันนี้ทั้งหมด รวมถึงแม่ทัพทั้งสองเข้าวังทันที ฝ่าบาทต้องการสอบสวน!” ขณะกงกงผู้นั้นเอ่ย ยังมองไปที่แม่ทัพเฉินบนพื้น ซ้ำรู้สึกเวียนหัวนัก “แต่แม่ทัพเฉินตกอยู่ในสภาพนี้ นี่…”
เป่ยเฉินอี้มองชิงเกอที่อยู่ด้านหลังตน
ชิงเกอตระหนักได้ทันที ก้าวเท้าออกมาข้างหน้า “ข้าจะแบกแม่ทัพเฉินเข้าวังเอง!”
กงกงผู้นั้นก็พยักหน้า “ก็ดี ก็ดี! จะตามหมอหรือไม่ก็รอหลังเข้าวังเถอะ ดูพระประสงค์ของฝ่าบาทเสียก่อน”
มาถึงยามนี้
คนทั้งหมดต่างเข้าวังไปเข้าเฝ้าภายใต้การนำของเป่ยเฉินอี้
ซือถูจ้าวหันกลับไปมองผู้ติดตามด้านหลังตน “ยังชักช้าอะไรกันอีก! ยังไม่รีบไปตามองค์ชายใหญ่ เข้าไปเก็บกวาดเรื่องนี้ในวัง!”
หากองค์ชายใหญ่ไม่รีบมา คาดว่าไม่ช้า ฝ่าบาทก็ต้องรับสั่งให้คนไปตามตัวเขาเข้าวังแน่
องค์ชายใหญ่เข้าวังมาขอรับผิดชอบด้วยตัวเอง กับฝ่าบาทพิโรธแล้วตามตัวองค์ชายใหญ่เข้าวัง ผลลัพธ์สุดท้ายของสองอย่างนี้ต่างกันอย่างมหันต์
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!” ผู้ติดตามรับคำ ไม่พูดพร่ำก็วิ่งไปที่จวนองค์ชายใหญ่
……
เยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ในจวน หลังได้รับข่าวนี้ต่างก็มองหน้ากันจากนั้นก็ออกจากจวน
เวลามาถึงแล้ว ถึงเวลาที่พวกเขาจะเข้าวังไปแสดงความจงรักภักดีเสียที!
……
ในวังหลวง
ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนชุดออกว่าราชการ สีพระพักตร์ตึงขึง มองกลุ่มคนด้านหน้า พระองค์กริ้วเสียจนตบโต๊ะดัง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตรัสว่า “มีใครบอกข้าได้บ้างว่าเรื่องในวันนี้มันคืออะไรกันแน่ พวกเจ้าล้วนไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดจะก่อกบฏแล้วหรืออย่างไร”
ครั้นฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้ คนทั้งหลายด้านล่างพากันตัวสั่นงก
เวลานี้ซือถูจ้าวก้าวออกมาเป็นคนแรก มองที่แม่ทัพเฉินทีหนึ่งเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท ไม่ว่าจะพูดอย่างก็เชิญท่านหมอหลวงมาทำแผลแม่ทัพเฉินก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ รอจนเขาฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นไม่มีเจ้าเรื่อง เรื่องราวก็ไม่แน่ชัดแล้ว!”
เป้าหมายของซือถูจ้าวก็คือฉวยโอกาสนี้รอให้เป่ยเฉินเสียงเข้าวัง
มาตรว่าฮ่องเต้ทรงโมโหเสียจนแทบโยนแม่ทัพสองคนนี้ออกไปตัดหัวด้านนอก แต่ว่าก็ต้องสืบเรื่องให้ชัดเจนเสียก่อน คำพูดของซือถูจ้าวหาใช่ไร้เหตุผล ดังนั้นฮ่องเต้ทรงสั่งการว่า “ใครก็ได้ ไปตามหมอหลวงมา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากนั้นฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองคนอื่นๆ ตรัสเสียงนิ่งว่า “พวกเจ้าลองเล่ามาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น! ข้าต้องการฟังเรื่องทั้งหมด ท่านเสนาบดี ท่านเล่ามาเถอะ!”
ซือถูจ้าวก้าวออกมาข้างหน้าทันที ทั้งยังกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท เมื่อพูดถึงเรื่องนี้กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล! กระหม่อมต้องการฟ้องร้องจงซาน ยามที่ท่านแม่ทัพทั้งสองทะเลาะกัน เดิมกระหม่อมคิดเข้าไปห้ามปราม แต่ว่าจงซานเจ้าเล่ห์ผู้นี้ เขาพลันรบเร้าพัวพัน หาเรื่องทะเลาะกับกระหม่อม ถึงได้พลาดโอกาสเข้าไปห้ามทัพ เรื่องจึงลุกลามจนไม่อาจรับมือได้!”
สายพระเนตรตวัดมองจงซานทันที
จงซานโต้แย้งทันควัน “ฝ่าบาท คำพูดของท่านเสนาบดีเหลวไหลทั้งเพ! ตอนเกิดเรื่องกระหม่อมก็คิดจะเข้าไปห้ามทัพ แต่ว่าจู่ๆ ท่านเสนาบดีเกิดไม่เคารพกระหม่อมขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขาเรียกชื่อกระหม่อมต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย ยามนั้นกระหม่อมโมโหจนสุดทนถึงได้ถกเถียงกับเขา นี่ถึงทำให้กระหม่อมพลาดโอกาสเข้าไปห้าม! สุดท้ายก็เห็นทหารจำนวนมากเข้ามาแล้ว ถึงกระหม่อมจะไม่พอใจท่านเสนาบดีเป็นอย่างมาก ก็ยังควบคุมอารมณ์ไว้ ให้ท่านเสนาบดีรีบเข้าไปห้ามทัพ แต่ท่านเสนาบดีกลับยืนชมอยู่ด้านข้าง ไม่ขยับเลยสักน้อย ทั้งยังขอร้องอี้อ๋องมิให้ทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ ความจริงกระหม่อมก็อยากรู้ว่า สรุปแล้วท่านเสนาบดีมีเจตนาอย่างไรกันแน่!”
“จงซาน! เจ้ามันคนร้ายชิงฟ้องก่อน!” สีหน้าซือถูจ้าวเขียวคล้ำในฉับพลัน
เวลานั้นเหล่าทหารตะลุมบอนกันแล้วเขายังเข้าไปห้ามได้หรือ ตอนนั้นไม่อาจห้ามได้แล้วต่างหาก
จงซานหันกลับไปเอ่ยว่า “ทั้งๆ ที่ท่านเสนาบดีเมินเฉยต่อเหตุการณ์นี้ ไม่ยอมให้ข้าเข้าไปห้ามแท้ๆ ทั้งยังลบหลู่ข้าอีก!”
“พอแล้ว!” ฮ่องเต้ทรงโมโหเสียยกใหญ่ ยังมีใจฟังพวกเขาทะเลาะกันที่ไหน ทั้งยังเป็นขุนนางใหญ่ทั้งสองคน ที่ไม่อาจลงโทษสถานหนักได้ด้วย ด้วยเหตุนี้พระองค์ตรัสด้วยความโมโห “สิ่งที่ข้าอยากฟังมิใช่เรื่องเหล่านี้ ในเมื่อพวกเจ้าต่างบอกว่าอีกฝ่ายผิด เช่นนี้ก็หักเบี้ยหวัดคนละสามเดือน! ตอนนี้บอกข้าได้หรือยังว่าทำไมพวกเขาทั้งสองถึงทะเลาะกันขึ้นมา!”