“น้อมรับราชโองการ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยรับราชโองการเอาไว้
หลังจากขันทีจากไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองอวี้เหว่ย สั่งการว่า “รีบไปตามนาง”
“ขอรับ” อวี้เหว่ยวิ่งไปห้องแม่นางเยี่ยเม่ยทันที
…
ในวังหลวง
งานเลี้ยงฉลองในวังจัดอยู่ในอุทยาน ขุนนางน้อยใหญ่และภรรยาต่างทยอยมาถึง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยก็เดินเข้ามาเช่นกัน
หลังจากทั้งสองนั่งลงในตำแหน่งที่ได้จัดเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ช่วยคีบอาหารให้เยี่ยเม่ยด้วยความเอาใจใส่ ทั้งค่อยๆ เอ่ยว่า “เสด็จพ่ออาจเสด็จมาช้าหน่อย กินรองท้องไปก่อน”
“อือ” เยี่ยเม่ยตอบรับอย่างไม่ร้อนไม่หนาว
นางไม่คัดค้านที่จะสนิทชิดเชื้อกับเขามากขึ้นยามออกมาข้างนอก ทำอย่างนี้ก็เพื่อต้องการได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ เพียงแต่ไม่ไกลออกไป สายตาของมู่หรงเหยาฉือกลับจับจ้องมาตรงนี้ตลอด มีความกลัดกลุ้มคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่าง
เยี่ยเม่ยสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองนาง
นางหันกลับไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยว่า “เห็นสายตาที่ท่านหญิงมองท่านไหม หากยังมองอย่างนี้ต่อไป เกรงว่านางจะกลืนกินท่านลงไปทั้งเป็นแล้ว ไม่ก็กินข้าลงไปทั้งเป็นแล้ว”
เยี่ยเม่ยรู้ตัวดีว่าคำพูดมีเลศนัยของตน น่าสงสัยว่านางหึงเป็นอย่างยิ่ง
แต่ว่า…
นางก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เห็นมู่หรงเหยาฉือในวันนี้ขัดตาเหลือเกิน โดยเฉพาะสีหน้าของอีกฝ่าย ถึงจะลนลานแต่ว่าดูกล้าหาญมาก เหมือนในมือนางกอบกุมความลับที่มีค่าบางอย่างไว้ เยี่ยเม่ยมองแล้วเกิดความไม่สบายใจ
เมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอึ้งอยู่บ้าง แต่งงานกันมาตั้งหลายวัน นางไม่เคยแสดงออกว่าสนใจเขา เวลานี้กลับมาคิดเล็กคิดน้อยกับมู่หรงเหยาฉือ ไม่อาจไม่บอกว่า…ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาก้มหน้าลงไปใกล้ข้างหูนาง น้ำเสียงไพเราะเจือด้วยความคลุมเครือ “ทำไม ชายารักหึงแล้วหรือ”
ชายารัก
มุมปากเยี่ยเม่ยกระตุกไปเล็กน้อย หางตาก็กระตุกด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่แต่งงานมาจนถึงวันนี้เป็นครั้งแรกที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเรียกนางเช่นนี้ ช่างทำให้คนรู้สึกไม่คุ้นเคยตั้งแต่หัวจรดเท้าเอาเสียเลย
นางหันกลับมามองเขา เอ่ยว่า “ทำไมถึงคิดว่าข้าหึงล่ะ ข้าก็แค่ล้อท่านเท่านั้นเอง หากท่านชอบนาง ก็รับนางเป็นชายารอง ทำไมจะไม่ได้ จวนองค์ชายสี่ใหญ่ออก มีคนมากหน่อยก็คึกคักดี!”
สิ้นเสียงนาง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันเกิดโทสะ ดวงตาของเขามีเพลิงโทสะลุกโชนจ้องเยี่ยเม่ยครู่หนึ่ง กลับไม่โกรธอีกทั้งยิ้มเองว่า “เยี่ยเม่ย คำพูดของเจ้าเป็นจริงหรือ”
ตอนที่อยู่ชายแดน นางเคยพูดไว้ว่า ไม่อาจรับได้ที่บุรุษมีสามภรรยาสี่อนุ นางต้องการสามีเดียวภรรยาคนเดียว
ยามนี้นางกลับพูดต่อหน้าว่าอนุญาตให้เขารับภรรยารอง?
เมื่อเห็นสายตาเขา เยี่ยเม่ยก็สะดุดไปเล็กน้อย เกิดความสงสัยว่าตัวเองทำเกินไปหรือไม่ ถึงนางอยากแสดงออกว่าไม่ใส่ใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ก็มิได้หมายความว่า นางกินอิ่มนอนหลับแล้ว คิดจะเรียกหาคนเป็นพี่สาวน้องสาวอยู่ในจวนองค์ชายสี่ทุกวี่วัน ทำให้การใหญ่ของตนต้องล่าช้า
ดังนั้นนางตัดสินใจเอ่ยเสียงนิ่งว่า “แค่หยั่งเชิงท่านดู อย่าฝันไปเลย!”
อวี้เหว่ย “…” พระชายา ท่านเป็นเหมือนนางมารน้อยกลั่นแกล้งคนจริงๆ ข้าน้อยคิดว่าต้องมีสักวันที่องค์ชายสี่ถูกท่านทำให้ตายได้ ทำให้อวี้เหว่ยตกใจจนขวัญกระตุก เพราะว่านิสัยขององค์ชายสี่….
อวี้เหว่ยยังนับว่าพอเข้าใจ
หากพระชายาองค์ชายสี่พูดว่าไม่เป็นไร ไม่แน่ว่าเตี้ยนเซี่ยอาจจากไปทันที ทำไม่ดีพานจะล้มโต๊ะไปด้วยแล้ว
เห็นสีหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสงบลงในยามนั้น
เยี่ยเม่ยก็เอ่ยต่อว่า “อย่างไรเสียในจวนองค์ชายสี่ก็มีสมบัติล้ำค่าไม่น้อย ข้ายึดครองอยู่คนเดียว ทำไมต้องหาคนมาช่วยข้าแบ่งด้วยเล่า เตี้ยนเซี่ยคิดว่าอย่างไร”
ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทั้งฉิวทั้งโมโห แต่ก็ยังน่าขันอยู่บ้าง
เขาไม่สนใจว่ามีคนจำนวนมาก รั้งเอวของนางเอาไว้ กดจูบลงไปอย่างรุนแรง
ขุนนางทั้งหมดดูกันจนแทบหยุดหายใจ ยังมีสุราที่เพิ่งดื่มเข้าไป ไหลออกมาจากมุมปากอย่างน่ารังเกียจ…
ใครก็คิดไม่ถึงว่าองค์ชายสี่ที่ระยะนี้ดูอยู่ในกรอบในระเบียบ ถึงกับทำตัวขัดต่อมารยาท ทำเรื่องประเภทนี้ในที่สาธารณะ
ทว่าเรื่องขององค์ชายสี่ใครกล้ายุ่ง ใครกล้าถามบ้าง
ทุกคนถอนสายตากลับมองกันไปมาอย่างรวดเร็ว ใครก็ไม่กล้าพูดมาก เช็ดสุราที่ไหลออกจากมุมปาก ทำเหมือนตัวเองไม่เคยเสียอาการมาก่อน
เยี่ยเม่ยก็อึ้งไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะทำอย่างนี้ อย่างไรเสียสามเดือนที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง อย่าว่าแต่สนิทชิดเชื้อเลย แม้แต่พูดกันดีๆ สักประโยคยังไม่มีมาก่อน
จู่ๆ เขาทำเช่นนี้ ชั่วอดใจนั้นนางคิดไม่ถึง ทั้งไม่ได้ปัดป้อง
ดังนั้นคนทั้งหลายจึงได้ชมฉากร้อนแรงแล้ว
รอจนนางค่อยๆ ได้สติกลับมา ก็รีบผลักเขาออกทันที รู้สึกจนคำพูดทั้งไม่เป็นตัวของตัวเอง เอ่ยนิ่งๆ ว่า “นี่มันที่สาธารณะ ท่านทำอะไรของท่านกัน”
เมื่อนางเอ่ยจบ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับก้มหน้าลงมาขบใบหูนาง เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย สามเดือนแล้ว ต้องการสามีหรือไม่”
ยามนี้เยี่ยเม่ยหน้าแดงก่ำแล้ว
จากนั้นเปลี่ยนไปเดี๋ยวคล้ำลงเดี๋ยวซีดเซียว เมื่อคิดถึงคืนนั้น ถึงภายหลังนางจะยั่วโมโหเขา ทำให้ตัวได้รับความเจ็บปวด แต่ว่าก่อนหน้านั้น รสชาติของการแนบสนิทตลอดทั้งคืนซึมลึกลงไปถึงกระดูกนางยังจำได้ดี
เพียงแต่บุรุษผู้นี้กลับไร้ยางอายนัก ถามคำถามเช่นนี้ออกมาได้ ช่างชวนให้คน….
เห็นนางไม่ตอบ
เขากลับหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “ดูท่าเจ้าไม่อยาก แต่สามีคิดอยู่ทุกคืน ไม่สู้คืนนี้…”
เขาเอ่ยไปได้ครึ่งหนึ่ง
เยี่ยเม่ยพลันใช้ตะเกียบหนีบขนมหวานหันกลับไปยัดใส่ปากเขา เอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านกินอะไรหน่อยเถอะ!”
เห็นหลังหูแดงก่ำของนาง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็หัวเราะเสียงต่ำออกมา
ดูท่า นางไม่ได้รำคาญเขาอย่างที่คิด
มู่หรงเหยาฉือเห็นภาพสองสามีภรรยาไม่รู้พูดกระซิบกระซาบอันใดกัน นางก็โมโหขึ้นมาอีก ทั้งอิจฉาด้วย สายตายิ่งเต็มไปด้วยความคับแค้นใจเกินเปรียบ
เยี่ยเม่ยมองด้วยหางตา รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
มู่หรงเหยาฉืออิจฉาก็ไม่แปลก โกรธก็ไม่แปลก แต่ว่าความคับแค้นใจมาจากที่ใดกันเล่า เห็นสายตาไม่ค่อยเข้าใจของเยี่ยเม่ย เอาแต่มองมู่หรงเหยาฉืออยู่ตลอด ก็ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแปลกใจ
เขาถามเยี่ยเม่ยว่า “ทำไม วันนี้นางมีอะไรแปลกไปหรือ”
หากเขาจำไม่ผิด คนจำพวกมู่หรงเหยาฉือ เยี่ยเม่ยไม่อยากมองนางเลยสักนิด เพิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางคับแค้นคล้ายมีเรื่องหนักอกของมู่หรงเหยาฉือ หลังจากมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ก็ลูบท้องตัวเอง
ในเวลานี้เอง ขันทีก็ประกาศเสียงดังว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”