ตอนที่ 65 เยี่ยนหลงคิดว่าฝันไป
เมื่อเยี่ยเม่ยออกมาแล้ว รู้สึกผ่อนคลายเป็นหมื่นเท่า
เสี้ยววินาทีนั้นนางสงสัยว่าตั้งแต่ต้นนางไม่จำเป็นต้องปากแข็งกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลยไม่ใช่หรือ
หลังจากสิ้นเสียงนาง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายกับไม่อยากเชื่อ คำพูดนี้…ยามหลับฝันไป เขายังไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้ฟัง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันปล่อยนาง
เขาต่อยลงไปที่กำแพงหินด้านหลังนางอย่างแรง เลือดไหลออกมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ตามมาด้วย
ส่วนเขาก็ยังไม่หยุด ต่อยหมัดลงไปอีกครั้งหนึ่ง
ผิวหนังบนมือปริแตกออกแล้ว
เยี่ยเม่ยถูกเขาทำให้บื้อไปหมด ไม่เข้าใจสักนิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังทำอะไร ทำไมต้องทำร้ายตัวเอง เมื่อเห็นหมัดที่สามของเขากำลังปล่อยออกไป เยี่ยเม่ยคว้าข้อมือเขาไว้ “ท่านทำอะไรกัน สรุปแล้วเป็นอะไรกันแน่”
ความเจ็บปวดชัดเจนมาก ความร้อนที่นางจับมือเขาก็ชัดเจนเช่นกัน ในที่สุดเขาก็ยิ้มออก รั้งนางเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง บดจูบนางอย่างรุนแรงและเร่าร้อน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่
เขาเกยคางไว้บนไหล่นาง เยี่ยเม่ยรับรู้ได้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังสั่น น้ำเสียงน่าฟังของเขา ค่อยๆ เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย เจ้ารู้ไหม เยี่ยนคิดว่ากำลังฝันไป…”
ครั้นเขากล่าวออกมา นางก็กำหมัดแน่น…
สรุปแล้วนางทำให้เขาเจ็บช้ำล้ำลึกถึงขนาดไหน หลังจากนางเอ่ยปากยอมรับแล้ว เขาถึงได้หลงคิดว่าฝันไป ทุบกำแพงหินครั้งแล้วครั้งเล่า ความจริงก็เพื่อพิสูจน์ว่านี่หาใช่ความฝันอย่างนั้นหรือ
ครั้งแรกที่เขาต่อยหินผิวหนังก็ปริแตก มือคงเจ็บมาก ครั้งที่สองเขายังออกแรงเพิ่มขึ้น แผลที่มือก็ลึกเห็นกระดูก เขายังไม่ยอมหยุด ยังคิดต่อยลงไปอีก
ดังนั้นคำพูดนี้ของนาง สำหรับเขาแล้วเป็นความไม่คาดคิดถึงขั้นไหนเชียว
เยี่ยเม่ยถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง เอ่ยว่า “บางทีข้าสมควรขอโทษท่าน ไม่สมควรหลอกลวงท่านเช่นนี้ ข้าเห็นแก่ตัวเกินไป ข้ากลัวว่าตัวลงจะถลำลึก กลัวว่าจะผิดต่อครอบครัว ดังนั้นไม่กล้าพูดดีๆ กับท่าน ข้าคิดว่าทำเช่นนี้เป็นการดีต่อทุกฝ่าย ท่านปล่อยข้าไปเร็วหน่อยก็ดี…”
เมื่ออธิบายออกมา เยี่ยเม่ยกลับยิ้มขมขื่น “ข้าหวังจากใจจริงว่าท่านจะยอมปล่อยมือ ตั้งแต่ตอนอยู่ชายแดนข้าก็มีความหวังแล้ว แต่ยามที่ท่านคล้ายกับว่าจะปล่อยมือ ข้ากลับ…ทนไม่ได้แล้ว”
นางจอมปลอมเกินไป หรือสตรีต่างเป็นเช่นนี้
หลังจากนางเอ่ยจบ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าวว่า “เยี่ยเม่ย เยี่ยนไม่ใช่ไม่สนใจเจ้า ทั้งไม่อาจทอดทิ้ง สามเดือนที่ผ่านมาไม่ไปหาเจ้าก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะรำคาญ เพราะคืนวันแต่งงานเยี่ยนไม่อาจควบคุมอารมณ์จนทำร้ายเจ้า ไม่มีหน้าไปพบเจ้าอีกก็เท่านั้น”
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่า นางหลงคิดว่าเขาจะทิ้งนาง
แต่นี่ก็หาใช่เรื่องเลวร้าย เพราะว่าสุดท้ายกลับเป็นทุกขลาภ ทำให้นางยอมเผชิญหน้ากับเขาด้วยความจริงใจ เอ่ยคำพูดเหล่านี้กับเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกอดเยี่ยเม่ย กล่าวว่า “เยี่ยเม่ย ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนปล่อยเจ้าไปไม่ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด”
“แต่ข้า…” ถึงแม้จะสารภาพทุกอย่างออกมา แต่ในใจเยี่ยเม่ยก็ยังคงยากรับไหวเหมือนเดิม
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ รู้ว่านางกำลังคิดอะไร น้ำเสียงน่าฟังนั้นปลอบว่า “เยี่ยเม่ย เยี่ยนรู้ เจ้าไม่อาจวางความแค้นของบ้านเมือง ดังนั้นเจ้าไม่อยากมีลูกให้เยี่ยน ไม่ต้องมีก็ได้ เยี่ยนไม่ถือสา ภายหน้า หากเจ้ากอบกู้บ้านเมืองแก้แค้นได้สำเร็จ ต้องสังหารคนของราชวงศ์เป่ยเฉิน เอาชีวิตของเยี่ยน ข้าก็ไม่เสียดายเลย ทั้งไม่โทษเจ้าด้วย”
ขอเพียงนางรักเขา เคยรักเขา ชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว
ตอนที่ 66 สิบนิ้วประสาน
“ดี!”
เยี่ยเม่ยเบาใจลงไปมาก ในเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ นางก็ไม่กังวลเรื่องลูกอีกแล้ว
นางถามเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ท่านออกมาได้อย่างไร”
นางบอกว่าขอตัวออกไปเดินเล่นครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะติดตามนางมา มู่หรงเหยาฉือก็ตามออกมาด้วย พูดกันตามจริง หากบอกว่าเยี่ยเม่ยไม่สงสัยเลยก็เป็นไปไม่ได้
ราวกับเขารู้ว่านางสงสัยอะไรอยู่
ทั้งยังรู้ว่านางใส่ใจเรื่องอะไร เขาหัวเราะน้อยๆ อธิบายว่า “เห็นเจ้าออกมา เยี่ยนก็ต้องออกมาด้วย คิดไม่ถึงว่า มู่หรงเหยาฉือจะตามออกมา พูดเรื่องราวไร้เหตุผลพวกนั้น ยิ่งคิดไม่ถึงว่า เจ้าจะ…”
เอ่ยมาถึงตอนนี้ เขายิ้มออกไม่เล่าต่อไป
เยี่ยเม่ยหน้าร้อนฉ่า รู้ว่าเขาคิดจะเอ่ยว่า คิดไม่ถึงว่านางจะแอบฟังอยู่หลังภูเขาจำลอง อย่างไรเสียเรื่องแอบฟังก็ไม่ใช่เรื่องมีหน้ามีตาอันใด ดังนั้นเยี่ยเม่ยที่กระอักกระอ่วนอยู่แล้ว ยามนี้ถูกเขาเอ่ยออกมาอีก ก็ยิ่งกระอักกระอ่วนไปใหญ่
เยี่ยเม่ยหมุนตัวเดินกลับไปทางงานเลี้ยง “เรื่องที่ควรลืมท่านก็ลืมไปบ้าง!”
เขาหัวเราะเบาๆ
มองนางที่เดินออกไป ก็ตามไปคว้ามือนางไว้ เยี่ยเม่ยชะงัก สุดท้ายก็พลิกข้อมือกลับไปกุมมือเขาไว้ คนทั้งสองสิบนิ้วสอดประสานกัน เดินก้าวไปข้างหน้า
……
มู่หรงเหยาฉือจ้องมองเป่ยเฉินเสียง รอให้เขาตอบนาง
เป่ยเฉินเสียงถอนใจ ยิ้มแต่มิได้ยิมมองมู่หรงเหยาฉือ เอ่ยปาก “ข้ายอมไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่ว่าท่านหญิงเหยาฉือ เรื่องนี้ท่านคิดว่าจะปิดบังได้หรือ ไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น ไม่ช้าท้องท่านก็จะใหญ่ขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นคนทั่วหล้าก็ต้องรับรู้ ท่านตั้งท้องก่อนแต่งงาน ไม่ต้องให้ข้าพูดออกไป ท่านก็จะถูกจับถ่วงน้ำเพื่อรักษาเกียรติของวงศ์ตระกูล”
ระหว่างเอ่ยเป่ยเฉินเสียงยังกลัวว่า มู่หรงเหยาฉือจะไม่เชื่อ เสริมขึ้นอีกว่า “ท่านอย่าลืม ท่านเป็นท่านหญิงที่ราชวงศ์แต่งตั้ง เสด็จพ่อย่อมไม่ยินยอมให้เจ้าทำลายศักดิ์ศรีของราชวงศ์แน่!”
เขาเอ่ยออกมา มู่หรงเหยาฉือก็หน้าซีดเซียว ในใจนางไม่กลัวเลยสักน้อย เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปนางจะพบจุดจบที่น่าอนาถ
ถึงยามนั้นนางยังบอกได้ว่า เด็กคือลูกขององค์ชายสี่ แต่ว่าใครจะเชื่อกันเล่า
ขอเพียงองค์ชายสี่ไม่ยอมรับ ก็ไม่มีใครกล้าเชื่อ
นางเงียบไปครู่หนึ่ง
“ตุบ” มู่หรงเหยาฉือคุกเข่าให้เป่ยเฉินเสียง “องค์ชายใหญ่ในเมื่อเอ่ยเช่นนี้ คิดว่าท่านคงมีหนทาง ข้าน้อยขอให้องค์ชายใหญ่ช่วยชีวิตด้วย ไม่รู้องค์ชายใหญ่มีวิธีใดเพื่อช่วยข้าน้อย”
เป่ยเฉินเสียงฟังแล้ว จ้องมองมู่หรงเหยาฉือ ทำท่าคล้ายลำบากใจ กลับยังเอ่ยว่า “วิธีการไม่ใช่ว่าไม่มีเลย ความจริง…ขอเพียงท่านหญิงยินยอมจัดการ ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอีก”
มู่หรงเหยาฉือสงบนิ่งรอคำพูดต่อไป
จากนั้น
เป่ยเฉินเสียงกล่าวต่อ “หากเจ้าหาคนแต่งงานได้ก่อนท้องจะโตออกมา ก็คงไม่เกิดเรื่องอันใดแล้ว”
“หา? นี่…” มู่หรงเหยาฉือไม่อยากเชื่อเลย สุดท้ายเป่ยเฉินเสียงจะเอ่ยออกมาเช่นนี้
เห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของนาง เป่ยเฉินเสียงกล่าวต่อว่า “ถึงวิธีนี้จะเลอะเลือนไปบ้าง แต่…นอกจากนี้แล้ว ท่านหญิงก็ไม่มีวิธีเอาตัวรอดอื่นอีก!”
“แต่…” มู่หรงเหยาฉือใคร่ครวญโดยพลัน ความจริงนางรู้สึกว่าคำพูดของเป่ยเฉินเสียงเป็นวิธีเดียวจริงๆ
แต่ว่าเป้าหมายของนางคือการแต่งงานกับองค์ชายสี่ หากต้องแต่งกับคนอื่น นั่นไม่เท่ากับนางทอดทิ้งความสำเร็จตรงหน้าหรือ
อย่างนั้นนางที่สู้อุตส่าห์ตั้งท้องเด็กคนนี้ ทำไปเพื่ออันใดเล่า
ในขณะลังเล
เป่ยเฉินเสียงย้ำว่า “ท่านหญิง เจ้าต้องคิดให้ดี ด้วยฐานะของท่าน ท่านตั้งครรภ์แล้วหวังให้ผู้อื่นไม่รับรู้ คือเรื่องเป็นไปไม่ได้”
“นี่ ความหมายขององค์ชายใหญ่ข้าเข้าใจดี แต่ข้า…” มู่หรงเหยาฉือคิดแล้วคล้ายอยากหลั่งน้ำตา เดิมหลงคิดว่าเป็นวิธีเข้าจวนองค์ชายสี่ที่ดีที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วไปๆ มาๆ เปลี่ยนเป็นยันต์คร่าชีวิต
เห็นนางไม่ตอบเป่ยเฉินเสียงก็กล่าวต่อ “หรือท่านหญิงคิดว่า สมควรเอาเด็กคนนี้ออก แต่ว่าไม่ง่ายเลยกว่าท่านจะได้เด็กคนนี้มา ท่านหญิงหักใจได้หรือ”
นางกลั้นความเจ็บปวด เอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย ข้าไม่อาจหักใจได้จริงๆ แต่เตี้ยนเซี่ย ข้าตั้งครรภ์สามเดือนแล้ว ยังมีใครยอมแต่งงานกับข้าอีก”
นางไม่อาจหักใจเอาเด็กออกได้ ประการแรกเด็กคนนี้มาอยู่ในโลกได้สามเดือนแล้ว นางเชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของชายที่นางรักที่สุด นางย่อมรักถนอมเป็นพิเศษ ดังนั้นในใจถึงได้เห็นเป็นสมบัติล้ำค่า ทั้งยังมีสายสัมพันธ์แม่ลูก ความสัมพันธ์ของสายเลือดไม่อาจแยกจาก
ประการที่สอง นี่อาจเป็นโอกาสเดียวระหว่างนางกับองค์ชายสี่ หากเอาเด็กออกแล้ว เกรงว่าสุดท้ายคงไม่เหลืออะไรอีก ระหว่างนางกับองค์ชายสี่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
เมื่อนางพูดจบก็ปาดน้ำตา กล่าว “เตี้ยนเซี่ยก็รู้ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เป็นท่านหญิงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง หากต้องแต่งงานก็ไม่อาจแต่งกับชนชั้นต่ำต้อย มิเช่นนั้นก็ไม่อาจรักษาหน้าของฝ่าบาทได้ แต่ว่าหากมิใช่ผู้ต่ำต้อยกว่า ไฉนจะยอมรับเด็กในครรภ์ข้าได้”
เป่ยเฉินเสียงฟังแล้วถอนใจ “แต่จะทำอย่างไรเล่า หรือว่าเจ้าจะเอาเด็กออกจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรเด็กคนนี้ก็เป็นลูกของน้องสี่ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ เป็นหลานข้า ข้าก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้!”
เขาเอ่ยออกมา มู่หรงเหยาฉือซาบซึ้งใจนัก
คิดถึงองค์ชายสี่ที่ใจจืดใจดำกับนาง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับองค์ชายใหญ่เลย ความสัมพันธ์ขององค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่ก็ไม่ใช่ว่าดี องค์ชายใหญ่มีเมตตาเช่นนี้ เทียบกันแล้วนางยังรู้สึกว่าเป่ยเฉินเสียงเป็นคนดียิ่งนัก
มู่หรงเหยาฉือเอ่ยด้วยความซึ้งใจ “องค์ชายใหญ่ ท่านเป็นคนดีจริงๆ! สำหรับข้าเมื่อเรื่องเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ เกรงว่าจะมีแต่ต้องตายสถานเดียว หวังว่าองค์ชายใหญ่อย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ออกไป เหยาฉือมีชีวิตได้มากอีกวันก็วันหนึ่งเถิด!”
มาถึงยามนี้เป่ยเฉินเสียงถอนใจอีกครั้ง เอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “ในเมื่อไม่มีวิธีอื่นอีก หากข้าไม่มีการหมั้นหมายก่อนแล้ว อาจจะช่วยท่านหญิงได้ แต่ว่าเสด็จพ่อทรงประทานสมรสให้ข้าแล้ว เมื่อมีพระชายาแล้วข้าก็ไม่อาจช่วยท่านหญิงได้ น่าเสียดายนัก!”
มู่หรงเหยาฉือตะลึง “เตี้ยนเซี่ยเตรียมจะช่วยข้า?”
“เจ้าน่าสงสารเพียงนี้ คนที่เห็นใจก็ยินยอมช่วยเจ้า เพียงแต่ตำแหน่งพระชายาของข้าถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจลำบากให้เจ้าเป็นชายารองได้ เรื่องนี้ก็ยากแล้ว! เพียงแต่น่าสงสารเด็กในท้องท่านหญิง ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก ก็ต้องจบสิ้นไปก่อน!” เป่ยเฉินเสียงเอ่ยพลางถอนใจอาลัย
มู่หรงเหยาฉือโขกหัวให้เป่ยเฉินเสียง “ไม่ทราบว่าองค์ชายใหญ่จะรับข้าเป็นชายารองได้หรือไม่”