คราวนี้ขุนนางอื่นๆ ล้วนนั่งไม่ติดอีกแล้ว ทะเลาะกันเป็นเรื่องเล็ก แต่ทะเลาะกันถึงขั้นนี้ เรื่องราวก็รุนแรงขึ้นมา
คนทั้งหมดรีบเข้าไปห้ามปราม
แม่ทัพเฉินนอนแผ่กึ่งเป็นกึ่งตายอยู่บนพื้น ส่วนแม่ทัพจ้าวหน้าเปื้อนไปด้วยเลือด แม่ทัพจำนวนไม่น้อยกลัวจะเกิดเรื่องถึงชีวิตคน จึงรีบเข้าไปห้ามแม่ทัพจ้าว
“พอแล้ว พอแล้ว! แม่ทัพจ้าว ระบายอารมณ์แล้วก็ไม่ต้องต่อยตีอีก หากยังไม่เลิกจะเอาชีวิตคนแล้ว!”
แม่ทัพจ้าวไม่รู้สึกคลายโทสะเลยสักนิด ชี้ไปที่แม่ทัพเฉินที่กองบนพื้น ตอบกลับด้วยความโมโห “ถึงชีวิตหรือ ข้าต้องการให้เกิดเรื่องถึงชีวิต! แค่นี้จะเรียกว่าระบายโทสะได้อย่างไร ข้าคิดอัดเขาให้ตาย มีแต่อัดเขาจนตายแล้ว ข้าถึงระบายโทสะนี้ไปได้หมด!”
“แม่ทัพจ้าว! ท่านอย่าทำเช่นนี้ ท่านตีเขาตายแล้ว ตามกฎหมายบ้านเมืองขุนนางฆ่ากัน ท่านก็ต้องใช้ชีวิตแลกชีวิต คุ้มค่าอย่างนั้นหรือ” ขุนนางผู้นี้ทนไม่ไหวเอ่ยออกมา
แม่ทัพจ้าวหน้าบิดเบี้ยว โมโหจนตาแดงก่ำ แต่ว่าก็สุดท้ายก็ฝืนสะกดโทสะลงไปได้
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายคำ ก็ค่อยสงบลง
ใครจะรู้ว่า
คนทั้งหมดยังมิทันคลายใจ ด้านล่างก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นมา ไม่ช้าทหารจำนวนนับร้อยก็ถือง้าวยาววิ่งขึ้นมาแล้ว
หลังจากเข้ามาถึงก็เอ่ยปากว่า “ใครกัน ใครทำร้ายท่านแม่ทัพของพวกเรา”
คนในค่ายทหาร ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำใจฉันท์พี่น้องที่สุด ขณะที่พวกเขากำลังจะหลับ พลันมีคนวิ่งมาบอกที่ค่ายว่าแม่ทัพของพวกเขาเกือบถูกคนซ้อมจนตายแล้ว
พวกเขาไม่ทันคิดอะไรก็แห่กันมาที่นี่
ทหารกลุ่มหนึ่งเพิ่งยกพลมาถึง ก็มีทหารอีกกลุ่มหนึ่งติดตามขึ้นมาแล้ว กลุ่มแรกที่มาถึงคือทหารของแม่ทัพจ้าว ส่วนกลุ่มหลังคือทหารของแม่ทัพเฉิน
ทหารของแม่ทัพจ้าวเห็นว่าแม่ทัพของตนมีเลือดไหลออกจากหัว แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นที่คนอื่นบอกเล่า ก็แค่หัวแตกเท่านั้น ไม่ช้าก็สงบลง
แต่ทหารฝ่ายแม่ทัพเฉินไม่อาจสงบใจได้
พวกเขามาถึงก็เห็นแม่ทัพนอนแผ่บนพื้น เป็นตายก็ยังไม่รู้ พวกเขาต่างตาแดงก่ำ
ถลึงตาใส่แม่ทัพจ้าวเริ่มด่าว่า “คนแซ่จ้าว! ท่านทำอะไรกับแม่ทัพของพวกเราแล้ว! ท่านคิดว่าค่ายของเราไม่ใช่คนหรือไง ถึงทำกับแม่ทัพพวกเราเช่นนี้ ท่านรังแกกันเกินไปแล้ว! พี่น้องทั้งหลาย ลุย แก้แค้นให้กับท่านแม่ทัพ!”
“บุก!”
ทหารของแม่ทัพเฉินไม่พูดพร่ำ ก็บุกทะลวงเข้าไปสังหารคนแล้ว
เหล่าทหารแม่ทัพจ้าวเห็นว่าแม่ทัพของตนจะถูกรุมโทรม เอ้ย ตะลุมบอน ก็ไม่อาจนิ่งเฉย พุ่งเข้าไปเช่นกัน “พวกเรายังต้องกลัวลูกเต่าอย่างพวกเจ้าอีกหรือ พี่น้อง พวกเราบุก!”
ด้วยเหตุนี้ทหารทั้งสองฝ่ายจำนวนหลายร้อยก็ต่อยตีกันในโรงเตี๊ยมแล้ว
ไม่ช้าโต๊ะในร้านถูกพังเรียบ เหลือก็แต่โต๊ะของเป่ยเฉินอี้เท่านั้นที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ยังหวั่นเกรงต่อเป่ยเฉินอี้อยู่
เมื่อในโรงเตี๊ยมต่อยตีกันขึ้นมา ทหารสองตระกูลอย่างละห้าพันนายที่ติดตามมาอยู่ด้านนอกก็ไม่พูดพร่ำอีก เปิดศึกกันกลางถนนทันที
ตะลุมบอนต่อยตีกันอย่างดุเดือด
คนที่อยู่ในและนอกโรงเตี๊ยมนอกจากจงซานและเป่ยเฉินอี้แล้ว ล้วนตะลึงพรึงเพริดไปหมด ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่แม่ทัพทั้งสองปะทะฝีปากกันแท้ๆ ทำไมสุดท้ายกลายเป็นศึกของทหารเรือนหมื่นได้
คราวนี้แม่ทัพจ้าวที่เพิ่งอัดแม่ทัพเฉินจนสลบไม่ขยับกองอยู่บนพื้นด้วยความโกรธเมื่อครู่ เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกสู่ความตะลึงงัน เขารู้ว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ก็ลุกลามใหญ่โตแล้ว
โทสะสุมอกเมื่อครู่ สูญสลายหมดสิ้นไปในชั่วพริบตา รู้สึกลนลานจนเลือดไหลย้อนกลับ เรื่องนี้ลุกลามมาถึงขั้นนี้ หากฝ่าบาทรู้เข้าเขากับแม่ทัพเฉินมีโทษสถานเบาคือตัดหัว โทษสถานหนักก็คือประหารทั้งตระกูล
สรุปแล้วใครเป็นคนแจ้งให้พวกทหารมาที่นี่กัน
เรื่องนี้ไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือจะจัดการสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรดี หากเขาเป็นฝ่ายเอ่ยให้หยุด ทหารของแม่ทัพเฉินย่อมไม่หยุดแน่ ท่าจะต้องต่อยตีจนใครเป็นใครก็จำไม่ได้แล้วอย่างแน่นอน
คราวนี้จงซานตกใจ ร่ำๆ ว่า “นี่มันอะไรกัน ทำไมคนมากมายเพียงนี้”
เสนาบดีถลึงตากว้างมองเขาอย่างดุดัน กัดฟันเอ่ยว่า “เพราะเจ้า! เพราะเจ้าทะเลาะกับข้า ข้าจึงห้ามพวกเขาไม่ทัน เรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้!”
เรื่องราวเป็นเช่นนี้ แม่ทัพเฉินและแม่ทัพจ้าวสองคนอยู่ใต้บัญชาองค์ชายใหญ่ เกรงว่าองค์ชายใหญ่อาจไม่รอดจากเรื่องนี้ไปด้วย
จงซานกลับไม่อ่อนข้อให้ ถลึงตาใส่ซือถูจ้าว “ใต้เท้าเสนาบดีหากคิดจะห้ามปรามจริงๆ ก็ไม่สมควรยั่วยุข้าถึงจะถูก! ท่านดูแคลนข้าเช่นนั้น ข้ายังจะทนได้อีกหรือ”
“เจ้าก็ถกเถียงอยู่ที่นี่ไปแล้วกัน! อีกเดี๋ยวข้าเข้าวัง จะต้องทูลเรื่องของเจ้ากับฝ่าบาทแน่!” ซือถูจ้าวโมโหจนหมดความอดทน
จงซานหัวเราะเสียงเย็น ยักไหล่แล้วยังเลิกคิ้ว “ข้าจะรอฟัง หากท่านเสนาบดีไม่ทูลเฝ่าบาท ข้าก็ดูแคลนท่านแล้ว!”
“เจ้า!”
ซือถูจ้าวแทบถูกจงซานทำให้โมโหแทบตาย
ขุนนางฝ่ายตรวจการที่เพิ่งมีอำนาจไม่ฝักฝ่ายใด อดทนไม่ไหวอีก เอ่ยปากกับจงซานและซือถูจ้าวว่า “ใต้เท้าทั้งสอง พวกท่านอย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย! ยังไม่รีบคลี่คลายเรื่องนี้อีก หากยังลุกลามใหญ่โตไม่จัดการให้เรียบร้อย เกรงว่าจะทำให้ประชาชนเสียขวัญแล้ว!”
จงซานปรายตามองเขา “ขวัญประชาชนจะสั่นคลอนได้ง่ายเช่นนี้หรือ แต่ท่านก็พูดถูก ตัวข้ายอมรับว่าร่ำเรียนมาน้อย ไม่มีพรสวรรค์ในการห้ามทัพ ท่านเสนาบดียามนี้ถึงเวลาแสดงของท่านแล้ว! ท่านรีบไปเกลี้ยกล่อมเถอะ เมื่อครู่ท่านกล่าวหาข้า คิดว่าท่านน่าจะมีความมั่นใจว่าจะห้ามได้!”
ซือถูจ้าว “…” เจ้าคนเสียสติ! เมื่อครู่แม่ทัพสองคนต่อยตีกัน ต่อให้พวกเขาขาดสติแค่ไหน เห็นตนเข้าไปก็ต้องไว้หน้าเสนาบดีอย่างตนกันบ้าง แต่สถานการณ์ในยามนี้คืออะไร
คนหนึ่งหมื่นตะลุมบอนกัน
เขาเป็นบัณฑิตไม่มีแม้แต่แรงเชือดไก่ เข้าไปห้ามทัพคาดว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ถูกทหารเข้าใจผิดฆ่าตายแล้ว พวกทหารเหล่านี้แต่ละคน สังหารคนจนตาแดง ถูกคุณธรรมน้ำใจล้างสมองจนเลอะเลือน ยังมีใครสนใจว่าเขาซือถูจ้าวเป็นเสนาบดีหรือไม่ใช่เสนาบดีกัน
เห็นซือถูจ้าวไม่ขยับ จงซานจึงเร่งเร้าเขาคำหนึ่งว่า “ท่านเสนาบดี ท่านไม่ใช่จะห้ามทัพหรือ ทำไมไม่เข้าไปห้ามเล่า ท่านเป็นเสนาบดีแห่งราชสำนัก เรื่องใหญ่เช่นนี้ ท่านไม่รีบเข้าไปควบคุม ฝ่าบาทจะมีท่านไว้ทำอะไรอีก!”
เมื่อเถียงกันเช่นนี้ ซือถูจ้าวก็พบว่าเจ้าจงซานทำให้เขาเสียเวลาเข้าวังไปหาองค์ชายใหญ่ในทันทีแล้ว