คนจำนวนไม่น้อยต่างก็ตะลึง
ไม่รู้ว่าแม่ทัพจ้าวกับแม่ทัพเฉินสองคนนี้เป็นอะไร ทำไมพบหน้าก็ใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดคุย
แม่ทัพเฉินแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากว่า “เป็นข้าแล้วทำไม หึ ท่านมาได้ แต่ข้ามาไม่ได้หรือ”
เป่ยเฉินอี้กวาดตามองพวกเขา ท่วงท่าสูงสง่าเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านแม่ทัพทั้งสองนั่งเถิด ไฉนต้องยั่วยุกันเช่นนี้ด้วย”
แม่ทัพเฉินเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่า “มีเขาอยู่ ข้าไม่มีทางสงบใจกินข้าวได้ ขออี้อ๋องโปรดประทานอภัย ข้าเสียมารยาทแล้ว เกรงว่าต้องขอตัวก่อน!”
“เจ้าไปก็ดี ข้าเห็นเจ้าแล้วก็อดโมโหไม่ได้” แม่ทัพจ้าวรีบสำทับขึ้นมาประโยคหนึ่ง
คราวนี้แม่ทัพเฉินบันดาลโทสะแล้ว
หันมองแม่ทัพจ้าว “เจ้าเย่ เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก! วันนี้ข้าไม่จากไปไหน ดูสิว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
“แม่ทัพทั้งสองสรุปแล้วพวกท่านเป็นอะไรกันแน่ ไฉนทะเลาะกันราวกับมีความแค้นแย่งชิงภรรยาเช่นนี้” คำพูดนี้เป็นจงซานเอ่ยขึ้น
จงซานทำท่าราวกับพยายามประนีประนอมสถานการณ์ รีบเอ่ยต่อว่า “ต่างก็เป็นขุนนางราชสำนัก หากมิใช่มีความแค้นแย่งชิงภรรยา ท่านแม่ทัพทั้งสองก็มิต้องโต้เถียงกันแล้ว ถือว่าเห็นแก่หน้าอี้อ๋อง พวกเรานั่งลงกินอาหารกันสักมื้อ !”
จงซานไม่พูดว่าความแค้นแย่งชิงภรรยาก็ยังดี เมื่อพูดออกมาแล้ว แม่ทัพทั้งสองยิ่งเดือดพล่าน
แม่ทัพจ้าวท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ต้าซือคงกล่าวถูกแล้ว มีความแค้นแย่งชิงภรรยากันจริงๆ! ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีความแค้นฆ่าลูกอีกด้วย!”
“สรุปแล้วใครกันแน่ที่หมายตาภรรยาผู้อื่น แม่ทัพจ้าวรู้อยู่แก่ใจที่สุด!” แม่ทัพเฉินตีหน้าเย็นชา เอ่ยประโยคนี้ออกมา
แม่ทัพจ้าวยิ่งเกิดโทสะ “ข้าเข้าใจอะไร เจ้ามันลูกเต่าสารเลว ถือโอกาสที่ข้าไม่อยู่เมืองหลวงหนึ่งเดือน แต่งคู่หมั้นของข้าไป ยังมีหน้ามาบอกว่าข้าหมายตาภรรยาเจ้าอีกหรือ”
เมื่อคนทั้งสองทะเลาะกันเช่นนี้ ดวงตาก็แดงก่ำ
“ช่างน่าขันนัก! ข้ากับนางมีสัญญาหมั้นหมายมานานแล้ว เป็นเจ้าคิดใช้กำลังแย่งชิง ไฉนข้าถึงยอมให้เจ้าแย่งภรรยาข้าไปได้ จ้าวเย่ ข้าทนเจ้ามาหลายวันแล้ว วันนี้ต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้!” แม่ทัพเฉินเอ่ยแล้วก็ยกกำปั้นมุ่งเข้าไปต่อยแม่ทัพจ้าว
แม่ทัพจ้าวเองก็ไม่ใช่อ่อนแอ สวนหมัดกลับไปที่ใบหน้าแม่ทัพเฉินเช่นกัน
ผู้ชมทั้งหลายดูกันด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด จงซานเอ่ยถามอย่างกลัดกลุ้มอยู่ข้างๆ อีกว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ สรุปแล้วมีใต้เท้าท่านไหนรู้ความบ้าง”
มีขุนนางผู้ติดตามจงซานตอบว่า “ใต้เท้าซือคง เดือนที่แล้วแม่ทัพเฉินแต่งงานแล้วมิใช่หรือ หรือว่าภรรยาของเขากับแม่ทัพจ้าว…”
ครั้นเขาเอ่ยออกมา แม่ทัพจ้าวก็ยิ่งทวีโทสะ เดิมทีสมควรเป็นเขาที่แต่งงาน ผลคือเจ้าลูกเต่าแซ่เฉินแต่งงานแล้ว ความคับข้องใจนี้เขาจะกล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร”
ดังนั้นเขายิ่งออกแรงอัดแม่ทัพเฉิน!
จงซานกลับถามด้วยความฉงนอีกประโยคว่า “เมื่อครู่แม่ทัพจ้าวยังบอกว่า มีความแค้นสังหารบุตรอีกด้วย นั่นมันเรื่องอะไรกัน ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแม่ทัพจ้าวแต่งงาน หรือว่ามีบุตรเลย นี่ช่างน่าแปลกใจจริงๆ!”
คราวนี้แม่ทัพเฉินหน้ามืดตามัวไปแล้ว
คำพูดของจงซานเตือนเขาเรื่องที่ภรรยาของตนเคยนอนกับเจ้าลูกเต่าแซ่เจ้า หมวกเขียวเงางามวางสูงตระหง่านบนหัวตัวเอง ยิ่งไม่น่ามองเข้าไปใหญ่
สิ่งที่บุรุษไม่อาจทนได้มากที่สุดก็คือ ถูกสวมเขา
เขาไม่อาจทนอีก อัดแม้ทัพจ้าวตรงหน้าให้ถึงตาย
คนทั้งสองกลายเป็นเช่นนี้ เวลาสั้นๆ ไม่นาน เริ่มตั้งแต่รังเกียจกันยามพบหน้า จนมาถึงคำพูดของจงซานทำให้พวกเขาต่อสู้กันขึ้นมา ตามด้วยคำถามแฝงความสงสัยของจงซานทำให้พวกเขาเริ่มต่อยตีอย่างเอาเป็นเอาตาย
ชั่วพริบตาก็ส่งเสียงดังไปทั่ว
ซือถูจ้าวเสนาบดีก็อยู่ที่นี่ด้วย เห็นภาพเบื้องหน้า เขาพลันตกใจ อย่างไรแม่ทัพทั้งสองเป็นคนขององค์ชายใหญ่ สองคนทะเลาะกันถึงขั้นนี้ ทำลายความปรองดอง ภายหน้าจะกระทบต่อผลประโยชน์องค์ชายใหญ่แล้ว
กระทบต่อผลประโยชน์องค์ชายใหญ่ สุดท้ายก็กระทบต่อผลประโยชน์ตนเช่นกัน
ผลลัพธ์แบบนี้เขาจะรับได้อย่างไร
ดังนั้นเขารีบเข้าไปห้าม เอ่ยปากว่า “ท่านแม่ทัพทั้งสอง หยุดต่อสู้กันได้แล้ว! ภาพรวมสำคัญกว่า หากยังต่อสู้กันเช่นนี้ เรื่องไปถึงพระกรรณฝ่าบาท เรื่องก็จะใหญ่โตไม่น้อยแล้ว!”
จงซานกลับเอ่ยปากอยู่ด้านข้าง “ท่านเสนาบดี ถึงข้าจะรู้สึกว่าท่านแม่ทัพทั้งสองไม่สมควรต่อสู้กันอีกแล้ว แต่ท่านลองดู คำพูดของพวกเขาทั้งสองเมื่อครู่ คลับคล้ายกับว่าต่างฝ่ายต่างมีความอึดอัดคับข้อง หากทะเลาะกันจนใหญ่โตจนฝ่าบาทรู้เข้า ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจช่วยคืนความยุติธรรมให้พวกเขา !”
จงซานเอ่ยแล้ว แม่ทัพทั้งสองก็ยิ่งตื่นเต้น ต่างอยากให้ฝ่าบาทรับรู้เรื่องนี้ สืบไซ้ไล่เรียงอีกฝ่าย เพื่อบรรเทาความแค้นในใจตน!
“เจ้า…” ซือถูจ้าวเข้าใจทันที จงซานไม่กลัวเรื่องจะลุกลามใหญ่โต แม่ทัพทั้งสองต่างเป็นคนคล้อยตามอารมณ์ เดิมก็ไม่ใช่คนรู้จักเล่นลูกไม้อันใด ถูกคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ยั่วยุ ยิ่งต่อยตีก็ยิ่งฮึกเหิม แต่ที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดก็คือ ชมความสนุกมีประโยชน์อันใดกับจงซานกัน
เพราะเขาคิดไม่ออกถึงเหตุผลที่จงซานจะเป็นปรปักษ์องค์ชายใหญ่
ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับจงซานด้วยความโมโห “ใต้เท้าจง ข้าขอร้องท่านอย่าได้ยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกเลย เรื่องส่วนตัวของแม่ทัพทั้งสอง หากลุกลามไปถึงฝ่าบาทแล้วจะใช้ได้ที่ไหนกัน”
จงซานกลับไม่พอใจขึ้นมาแล้ว “ท่านเสนาบดี ยามข้าเรียกท่าน ก็เรียกท่านเป็นเสนาบดี! ท่านกลับเรียกข้าว่าใต้เท้าจง ข้ากับท่านต่างก็เป็นสามขุนนางใหญ่ ไฉนท่านถึงไม่เคารพข้าบ้าง ท่านสมควรเรียกข้าว่าใต้เท้าซือคงถึงจะถูก!”
ผู้ชมทั้งหลาย “…” ใต้เท้าจง ต่อให้ท่านเห็นท่านเสนาบดีขัดหูขัดตา คิดจะทะเลาะกับเขา แต่เหตุผลก็อย่าได้ฝืนทนแบบนี้ได้หรือไม่ ขอเรียนถามว่าใต้เท้าจงกับใต้เท้าซือคงมีอันใดที่แตกต่างกันบ้าง
สีหน้าเสนาบดีเปลี่ยนไปแล้ว พยายามฝืนระงับโทสะ การเรียกตำแหน่งขุนนางก็ให้ความเคารพมากกว่าจริงๆ แต่ว่าเรียกใต้เท้าจงก็ใช่ว่าไม่เคารพ แต่เมื่อจงซานเอ่ยเช่นนี้ เขาได้แต่ขอโทษ “ข้าล่วงเกินแล้ว ใต้เท้าซือคงอย่าได้ถือสา!”
“ขอโทษด้วย ใต้เท้าซือคงอย่างข้าถือสามาก! ท่านเสนาบดี พวกเราไปถกกันต่อหน้าพระพักตร์เถอะ ไปถามฝ่าบาท ไฉนท่านถึงไม่เคารพข้าเช่นนี้ ในยามที่ข้าเรียกท่านด้วยตำแหน่งขุนนาง ท่านกลับเรียกข้าด้วยแซ่ หรือในสายตาของท่าน ตำแหน่งซือคงเป็นตำแหน่งเปล่าๆ ” จงซานรุกไม่ถอย
ซือถูจ้าวหน้าเขียวปั๊ด “จงซาน เจ้าอย่าหาเรื่อง!”
จงซานเลิกคิ้ว “ไอ้หยา! ท่านเสนาบดี ท่านถึงกับเรียกชื่อเต็มๆ ของข้าเช่นนี้ ท่านช่างเสียมารยาท เสียมารยาทมากนัก! ไฉนราชสำนักเป่ยเฉินของเราถึงได้มีเสนาบดีที่ไม่รู้จักมารยาท ทำตัวสามหาวเช่นท่านได้”
“จงซาน!”
ซือถูจ้าวถูกจงซานทำให้โมโหจนเกือบตาย ไม่สนใจแม่ทัพที่กำลังต่อยตีกันสองคนอีก ตั้งอกตั้งใจทะเลาะกับจงซานยกหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้
แผนการของจงซานก็สำเร็จ เมื่อไม่มีซือถูจ้าวคอยห้ามทัพ แม่ทัพทั้งสองก็ต่อยตีกันจนหน้าแตกเลือดไหล หนึ่งในนั้นล้มลงไปกองเจียนตายแล้ว…