ตอนที่ 99 จวินซ่างเรียนเชิญ
สถานที่นั้นคล้ายมีใบไม้ไหวร่วง
ไม่ช้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยถอนสายตากลับมา
เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ยมีท่าทางใจสลาย ได้แต่เข้าไปกอดนางด้วยความเจ็บปวด ปล่อยให้ซือหม่าหรุ่ยร้องไห้อยู่สักพัก
หลังจากซือหม่าหรุ่ยร้องไห้จบแล้ว เอ่ยปากบอกว่า “เยี่ยเม่ย ข้ารู้ดีว่าตอนนี้ข้าดูเหมือนคนเสียสติก็ไม่ปาน แต่ว่าข้าไม่มีวิธีควบคุมตัวเองได้ เพราะเขามีตัวตนจริงๆ ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เขามาอยู่ข้างกายข้า เยี่ยเม่ยจริงๆ นะ ข้าไม่ได้หลอกเจ้า สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง!”
“ข้าเชื่อเจ้า!”
เยี่ยเม่ยเข้าใจความรู้สึก ถึงนางไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกที่ต้องพลัดพรากจากคนรักถึงสี่ปี แต่แค่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเล่นสงครามเย็นสามเดือน นางก็ทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซือหม่าหรุ่ยที่รอถึงสี่ปี
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้
เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่ง “พวกเราสามารถช่วยนางตามหาเซียวชินหรือไม่”
องค์ชายสี่สงบนิ่งครู่หนึ่ง ค่อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “คิดให้เซียวชินปรากฏกายเป็นเรื่องง่ายดายมาก เพียงแต่เยี่ยนคิดว่า เขาไม่อยากปรากฏตัวออกมา มีเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากปรากฏตัวออกมา! หากบีบให้เขาออกมาจะดีจริงหรือ”
เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้
เยี่ยเม่ยไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรในชั่วขณะ แต่ว่าซือหม่าหรุ่ยกลับพยักหน้าหนักแน่น “ดี!”
นางมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยด้วยเสียงจริงจัง “ขอเพียงแค่ทำให้เขาปรากฏตัวออกมา อะไรข้าก็ไม่ใส่ใจทั้งนั้น และข้าก็ไม่กลัวตายด้วย ไม่มีเขาอยู่ข้างกาย มีชีวิตเหมือนอยู่ไม่สู้ตายเช่นนี้ยังมีความหมายอันใดหรือ สี่ปีมานี้ข้าเหมือนศพเดินได้ หากองค์ชายสี่สามารถช่วยเหลือข้าให้พบเขาได้ ข้ายินยอมทำทุกอย่างให้องค์ชายสี่!”
ระหว่างเอ่ยไป ซือหม่าหรุ่ยคุกเข่าลงให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เยี่ยเม่ยรีบพยุงนางขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ หากช่วยได้ เขาต้องช่วยเจ้าแน่ ข้ากับเขาไม่ต้องการให้เจ้าตอบแทน เพราะว่าต่อให้ไม่ช่วยเจ้าตามหาเซียวชิน เจ้าก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างสุดกำลังอยู่แล้วมิใช่หรือ”
ซือหม่าหรุ่ยคอยช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่มาโดยตลอด
แต่ไรมาซือหม่าหรุ่ยไม่เคยเรียกร้องทั้งไม่เคยปกปิด ปฏิบัติกับเยี่ยเม่ยด้วยความจริงใจมาตลอด เยี่ยเม่ยรู้ดีอยู่ในใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางยังจะให้ซือหม่าหรุ่ยตอบแทนเพื่อตามหาคนอีกหรือ
ซือหม่าหรุ่ยไม่พูดอันใดอีก
เยี่ยเม่ยรีบกล่าว “เจ้ากลับไปสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เท้าเจ้าเลือดออกแล้ว เรื่องนี้ข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะปรึกษากันให้ดี!”
“ได้!” ซือหม่าหรุ่ยกลับไปแต่งตัว
รอจนซือหม่าหรุ่ยจากไปแล้ว
เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง กล่าวว่า “เมื่อครู่ตอนท่านเข้าประตูมา สายตามองใบไม้ร่วงมุมนั้น เพราะว่า… เซียวชินหนีทางนั้นใช่หรือไม่”
“อืม! เมื่อครู่ตอนซือหม่าหรุ่ยวิ่งออกมา อันที่จริงเซียวชินก็เพิ่งจากไป ดูท่าเมื่อครู่เขาคงเห็นว่าซือหม่าหรุ่ยไล่ตามออกมาจนเท้าเป็นแผลแล้ว!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบ
เยี่ยเม่ยรู้อยู่ในใจว่าวรยุทธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเหนือกว่านาง ดังนั้นเมื่อเซียวชินอยู่ไกลขนาดนั้น เขาก็จับสังเกตได้ แต่ว่านางทำไม่ได้ นางถนัดการพรางกายเพื่อจู่โจมมากกว่า
ดังนั้นการที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับรู้เรื่องเหล่านี้ เยี่ยเม่ยไม่แปลกใจเลยสักนิด นางระบายลมหายใจทีหนึ่ง “ท่านบอกว่าสามารถหาตัวเซียวชินออกมาได้ หาอย่างไร เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่รอบๆ ตัวพวกเรา ความรู้สึกของซือหม่าหรุ่ยไม่ผิดแน่ เมื่อคืนเขาไปพบซือหม่าหรุ่ยมาจริง เขาไม่ยินยอมแสดงตนออกมา พวกเราคิดหาตัวเขาก็คงยุ่งยากไม่น้อย!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับมองนางถามว่า “เจ้าคิดช่วยนางตามหาเซียวชินจริงหรือ”
“อืม!” เยี่ยเม่ยมองเขา “ความจริงไม่ใช่ข้าไม่เข้าใจเหตุผลเลย เมื่อพบเซียวชิน สำหรับซือหม่าหรุ่ยหาใช่เรื่องดี อาจนำพาซึ่งภัยร้ายถึงชีวิตนางอีกด้วย แต่ว่าท่านก็เห็นแล้ว เซียวชินไม่อยู่ข้างกายนาง สำหรับนางแล้วเท่ากับอยู่ไม่สู้ตาย”
นางจ้องมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสริมว่า “ความจริงข้าคิดว่า สหายที่แท้จริงไม่ใช่หลงคิดว่าทำอะไรดีกับผู้อื่น ก็ช่วยผู้อื่นตัดสินใจ แต่เป็นไม่ว่าสหายตัดสินใจอย่างไร หากไม่ขัดต่อหลักการของตัวเอง พวกเราสมควรทุ่มเทกำลังช่วยเขา ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิต ก็ไม่มีอันใดน่าเสียดาย”
“ความหมายของชายารัก เยี่ยนเข้าใจแล้ว!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ในเมื่อเยี่ยเม่ยรู้เหตุผลที่เซียวชินไม่ยอมปรากฏกาย อีกอย่างเมื่อเลือกแล้ว เช่นนั้น…เขาย่อมช่วยนาง
เขาโน้มลงมาข้างหูเยี่ยเม่ย กระซิบกระซาบหลายคำ
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก มองเขาอย่างสงสัย “ท่านเอาจริงหรือ แบบนี้ใช้ได้หรือ เซียวชินจะเชื่อหรือไม่”
“หากเป็นยามปกติ เซียวชินย่อมไม่มีทางเชื่อ แต่เมื่อเรื่องนี้เกิดกับซือหม่าหรุ่ย สถานการณ์ก็ต่างออกไปแล้ว เขาเป็นกังวลจิตใจสับสน เขาต้องหลงเชื่อแน่!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มตอบกลับ ซ้ำยังเสริมต่ออีกว่า “บุรุษย่อมเข้าใจบุรุษด้วยกัน เจ้าเชื่อเยี่ยนก็พอแล้ว!”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี! เรื่องนี้มอบให้ท่านไปจัดการ!”
เมื่อกล่าวจบ เวลานี้เป่ยเจี้ยนเกอเข้ามาในจวนองค์ชายสี่ เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยว่า “องค์ชายสี่ จวินซ่างเรียนเชิญท่านไปที่ตำหนักเขาหลิงซาน จวินซ่างรอท่านอยู่!”
ตอนที่ 100 ข้าคือน้องชายของเจ้า
“ได้!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมา กวาดตามองเยี่ยเม่ย นางพยักหน้าให้เขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ติดตามเป่ยเจี้ยนเกอจากไป
เป่ยเจี้ยนเกอยังสงสัยอยู่ในใจเล็กน้อย
ตรงไปตรงมาแบบนี้เชียวหรือ
ดูท่าจวินซ่างคาดเดาไม่ผิด
……
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพิ่งก้าวออกไป
หน้าประตูก็มีคนสองคนปรากฏตัว เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทามอมแมมคลุกฝุ่น สภาพร่างกายเหมือนผ่านการระหกระเหินอย่างน่าอนาถมาหลายวัน
เยี่ยเม่ยมองพวกเขาก็คลายใจลง “เป็นอย่างไรบ้าง”
คนทั้งสองช่วยนางหาที่ตั้งขุมสมบัติ แต่ไปทีเดียวก็ใช้เวลาถึงสามเดือนโดยไร้ข่าวคราว เยี่ยเม่ยจึงกังวลใจมากว่าพวกเขาเกิดเรื่องหรือว่าเรื่องราวติดขัด วันนี้เห็นพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย นางค่อยวางใจได้
เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาสบตากันเดินเข้าประตูมา บ่งบอกให้เยี่ยเม่ยเข้าไปคุยกันด้านใน
เยี่ยเม่ยเองก็พยักหน้าตอบรับ เรื่องนี้ไม่เหมาะกับการสนทนากันหน้าประตูต่อหน้าคนอื่นจริงๆ
หลังจากเข้าห้องเยี่ยเม่ยแล้ว เซียวเซ่อหยางเอ่ยปากว่า “ขุมสมบัติอยู่ตำแหน่งตามแผนที่ มีค่ายกลจำนวนไม่น้อย แต่พวกเราออกท่องยุทธภพมาหลายปี ได้แต่คลี่คลายกลไกทีละเปลาะ สุดท้ายก็ได้พบขุมสมบัติแล้ว ทว่าของมีจำนวนมหาศาล คิดจะขนย้ายออกมาต้องใช้แรงงานจำนวนหนึ่ง หากเป็นไปได้ดูสิว่าคุณชายเสี่ยวจิ่วพอจะช่วยได้หรือไม่ ไปคุ้มกันลำเลียงด้วยกัน!”
ทรัพย์สมบัติเงินทองมากมายขนาดนั้นขนส่งทางบกดึงดูดสายตาคนมากเกินไป
ถึงเซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาจะเป็นสุดยอดฝีมือ แต่ก็ไม่มั่นใจเรื่องการขนย้ายของ หากมีสุดยอดฝีมือแห่งยุคผู้หนึ่งออกแรงช่วยเหลือ เรื่องนี้น่าจะทำได้มั่นคงมากขึ้น อีกอย่างจิ่วหุนเคยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่ง ต้องรู้ว่าสมควรอำพรางกายและฐานะอย่างไร กอปรกับเดิมทีเขาก็ร่ำรวยเงินทองมากอยู่แล้ว หากถูกค้นพบก็บอกว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจิ่วหุน ใครก็พูดไม่ออกทั้งยังไม่กล้าลงมืออีกด้วย
ไม่ว่าอย่างไร ใครจะกล้าลงมือชิงทรัพย์นักฆ่าอันดับหนึ่งกันเล่า
โอวหยางเทาเสริมต่อ “สุดยอดฝีมือแห่งยุคมีเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสินเซ่อเทียน กูเยว่อู๋เหิน เป่ยเฉินอี้และจิ่วหุน ได้ยินข่าวลือว่าจิ่วมั่วเหอก็เป็นสุดยอดฝีมือเช่นกัน แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ดังนั้น…หากคุณชายเสี่ยวจิ่วยินดีช่วยเหลือ ก็น่าจะไม่มีปัญหา!
ส่วนสุดยอดฝีมือแห่งยุคคนอื่นๆ ต่อให้ไม่อาจช่วยเหลือได้ แต่ด้วยฐานะของพวกเขาก็ไม่มีทางปล้นชิงทรัพย์แน่
สิ้นเสียงเขา
จิ่วหุนที่หลบอยู่ในที่ลับพลันปรากฏตัว เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าช่วยพวกเจ้า”
ยามที่เยี่ยเม่ยอยู่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาจะหลบอยู่ไม่ก็จากไปก่อน ส่วนเวลาอื่นๆ เขาล้วนหลบอยู่ในที่ลับคอยอารักขาเยี่ยเม่ย
ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้นพวกเซียวเซ่อหยางคิดเอ่ยคำพูดหยั่งเชิงดู จิ่วหุนล้วนได้ยิน
เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน มุ่นคิ้วเอ่ยว่า “แต่เรื่องนี้ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้ามาพัวพันด้วย!”
จิ่วหุนช่วยเหลือนางไม่น้อยแล้ว มาวันนี้พิษในร่างกายถูกขจัดออกหมด ความจริงเยี่ยเม่ยคิดว่าเขาสมควรจากไปเสียที ติดตามอยู่ข้างกายนางอันตรายเกินไป อีกอย่างเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาก้าวก่ายร่วมกับนาง
จิ่วหุนมองเยี่ยเม่ยและไม่พูดอะไรมาก เพียงกล่าวเบาๆ “ให้ข้าช่วยเจ้า”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ท่าทางยืนหยัด
ความจริงเขาไม่เคยรับรู้ว่าเยี่ยเม่ยกำลังทำอะไรและนางคิดทำอะไรกันแน่ แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยเม่ยก็ไม่เคยบอกเรื่องต่างๆ เหล่านี้กับเขา ส่วนเขาก็ไม่เคยเป็นฝ่ายเปิดปากถาม แม้กระทั่งยามต้องลงมือทำอะไรสักอย่างที่เป็นเบาะแสพอให้คาดเดา หรือว่ารับรู้คำตอบได้ เขายังคร้านจะคาดเดาเลย
เยี่ยเม่ยคิดทำอะไรไม่ใช่สิ่งสำคัญ นางกำลังทำอะไรเป็นเรื่องถูกหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเขาต้องปกป้องนาง ให้ความช่วยเหลือนางในทุกๆ เรื่องก็พอแล้ว
เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว เอ่ยนิ่งๆ “แต่ว่าน้ำโคลนบ่อนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้อง…”
เขาเอ่ยตัดบทนางด้วยเสียงเบา “ยิ่งเป็นบ่อน้ำโคลน ข้าต้องช่วยเจ้าเบิกทาง”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่นมาก สายตาก็เด็ดเดี่ยว ครั้นเห็นสายตาของจิ่วหุน เยี่ยเม่ยพลันไม่รู้ว่าสมควรเอ่ยว่าอะไรไปชั่วขณะ ราวกับว่าการปฏิเสธน้ำใจของเขาถึงเป็นการทำลายความจริงใจของเขา
หลังจากเงียบสักพัก
จิ่วหุนก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าคือน้องชายเจ้า”
คำพูดนี้แทรกซึมเข้าไปในส่วนที่อ่อนไหวในใจเยี่ยเม่ย สุดท้ายนางก็พยักหน้า เอ่ยว่า “ได้! แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่า ทุกอย่างต้องเห็นแก่ความปลอดภัยของเจ้ามาเป็นอันดับแรก เจ้าต้องรู้ว่าไม่ว่างานใดๆ เมื่อล้มเหลวแล้วก็ยังเริ่มต้นใหม่ได้ นอกเสียจากชีวิตคน หากไม่มีอยู่แล้วไม่อาจเริ่มต้นอีก ดังนั้นเจ้าต้องเห็นความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง พวกเจ้าเองก็เช่นกัน!”
ระหว่างเอ่ยเยี่ยเม่ยหันมองเซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทา
คนทั้งสามล้วนพยักหน้า สีหน้าเผยแววซาบซึ้ง
“พวกเราเข้าใจแล้ว!”
เซียวเซ่อหยางเอ่ยปาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราจะออกเดินทางตอนนี้เลย เรื่องนี้ไม่อาจรั้งรอได้ ค่ายกลในที่ตั้งขุมสมบัติถูกพวกเราทำลายแล้ว ดังนั้นพวกเรากังวลว่าหากไม่รีบขนย้ายของออกมาละก็ เมื่อถูกผู้อื่นพบเห็นเข้า บางทีอาจโดนขโมยไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาจก่อเรื่องเกินคาดคิดอีก!”
“อืม เช่นนั้นพวกเจ้าเร่งดำเนินการเถอะ!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
จิ่วหุนชิงเดินออกไปก่อน เมื่อถึงประตู เขาชะงักฝีเท้าคล้ายไม่วางใจหันกลับมองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “พี่สาวตอนข้าไม่อยู่ อย่าปล่อยผู้อื่นรังแกท่านได้”
เขาคอยคุ้มกันนางอยู่ตลอด นอกเสียจากเรื่องระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับนางที่เขาไม่อาจสอดมือเข้ายุ่ง และนางก็ไม่ให้เขายุ่งเกี่ยวแล้ว เขาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นทำร้ายนางอย่างเด็ดขาด
ยามนี้เมื่อพวกเซียวเซ่อหยางขอร้องให้ช่วยขนย้ายสมบัติ บางทีอาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะกลับมาได้ เขาย่อมเป็นห่วงเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองเขายิ้มตอบว่า “ยังมีใครรังแกข้าได้อีก”
คำพูดประโยคนี้กลับเป็นความจริง จิ่วหุนครุ่นคิดค่อยวางใจ หมุนกายเดินตามพวกเขาออกไป
เยี่ยเม่ยกลับถอนหายใจคำหนึ่ง นางเองก็ไม่รู้ว่าการพาเด็กหนุ่มที่ทั่วร่างอาบไปด้วยกลิ่นอายหม่นหมอง ทว่าหน้าตางดงามผู้นี้เข้าสู่วังวนเล่ห์เหลี่ยมฉากนี้เป็นเรื่องถูกหรือไม่ แต่ว่านางเข้าใจว่าเขาอยากเข้าร่วม อยากช่วยเหลือ นางห้ามเขาไม่ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะดำเนินไปในทิศทางที่ดีแล้ว
……
ท้องพระโรง
ครั้นเห็นว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เข้าประชุม ฮ่องเต้ตรัสถามคำหนึ่ง เป็นหัวหน้าขันทีตอบว่าจวินซ่างส่งคนมารายงานว่าเช้าวันนี้เชิญองค์ชายสี่ไปพบที่ตำหนักเขาหลิงซานจึงไม่เข้าประชุมเช้าแล้ว ฮ่องเต้ค่อยพยักหน้า ประชุมเช้าด้วยพระทัยที่สงบลง
ความจริงเรื่องเมื่อวานนี้ หลังจากพระองค์นอนไม่หลับอยู่นาน ก็เกิดความสงสัยว่าการมอบอำนาจทางทหารให้เยี่ยเม่ย เชื่อใจเยี่ยเม่ยนั้นถูกหรือไม่
แต่ในเมื่อเสินเซ่อเทียนยื่นมือเข้ามาเชิญเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไปแล้ว นั่นก็หมายความว่า เสินเซ่อเทียนรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เมื่อมีเสินเซ่อเทียนคอยเฝ้าดูให้พระองค์ ฮ่องเต้ก็วางพระทัยมาก
การประชุมเช้าก็ดำเนินต่อไปอย่างเป็นขั้นตอน
……
ตำหนักเขาหลิงซาน
ริมสระบ่อน้ำ ในมือของเสินเซ่อเทียนถือคันเบ็ดไม้ไผ่ บนศีรษะสวมหมวกสาน ดูไปแล้วสบายอารมณ์ยิ่งนัก
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง น้ำเสียงน่าเกรงขามของเขาก็ดังขึ้นว่า “มาแล้ว?”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอมยิ้มมุมปาก ตอบกลับด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “ก็อยู่ในการคาดเดาของท่านมิใช่หรือไง”
“อย่างนั้นเจ้ายอมรับแล้วหรือว่าพวกเจ้ามีปัญหา” เสินเซ่อเทียนเอ่ยถามออกมา เขายังคงรักษาท่วงท่าถือเบ็ดตกปลาไว้ไม่ขยับ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง หัวเราะเบาๆ “ในเมื่อท่านคาดเดาได้แล้ว ทำไมต้องถามมากความอีก เยี่ยนเองก็ไม่เคยคิดว่าความคิดของพวกเราจะปกปิดท่านได้”
เสินเซ่อเทียนนิ่งไป เพียงแต่ถามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกมาประโยคหนึ่งโดยไม่หันหน้ากลับไป “ว่ามาเถอะ เจ้ากับเยี่ยเม่ยสองคนต้องการอะไร”
ในเมื่อไม่อาจปิดบังได้จริง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนประเภทไหนกัน
เยี่ยเม่ยก็เป็นคนประเภทไหนกัน
ไม่ว่าหนึ่งในพวกเขาไปช่วยสนับสนุนเป่ยเฉินเสียงล้วนเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น หากเขาเสินเซ่อเทียนเชื่อแล้ว นั่นเท่ากับว่าเขาเสินเซ่อเทียนไม่อาจแบกรับคำว่า ‘เกราะกำบังแห่งเป่ยเฉิน’ ได้แล้ว
ตอนนี้สิ่งเดียวที่อธิบายได้ก็คือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยมีความต้องการอื่น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนั่งอยู่ไม่ห่างจากเสินเซ่อเทียน เห็นด้านข้างมีคันเบ็ดตกปลาวางอยู่ จึงหยิบขึ้นมาโยนเบ็ดเหวี่ยงลงน้ำ
น้ำเสียงเบาสบายของเขาดังตามขึ้นมาว่า “เยี่ยเม่ยอยากอยู่เหนือคนนับหมื่น เยี่ยนได้แต่ทำตามความต้องการของนาง”
เสินเซ่อเทียนขมวดคิ้ว มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความแปลกใจ “นางอยากเป็นฮองเฮา?”
ไม่ว่าอย่างไรหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏกษัตรีมาก่อน อีกอย่างในราชสำนักเป่ยเฉินนี้ เยี่ยเม่ยก็ยากจะเป็นกษัตรีได้ ดังนั้นสิ่งที่เสินเซ่อเทียนคิดได้ก็มีแต่ฐานะนี้เท่านั้น
“ถูกแล้ว!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบรับ ไม่ช้าเขาก็มองเสินเซ่อเทียน เอ่ยเป็นจังหวะว่า “ท่านหวังให้ข้าสืบทอดราชบัลลังก์จากเสด็จพ่อมาตลอด เพื่อคุ้มครองราชสำนักเป่ยเฉินแทนท่าน มาวันนี้เยี่ยนยินดีชิงอำนาจเพื่อนาง สำหรับท่านแล้วไม่ใช่เรื่องดีหรืออย่างไร”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว แววตาลุ่มลึกลง ถามว่า “เป็นเช่นนี้จริงหรือเปล่า”