หมอเทวดาขโมยของในจวนองค์ชายสี่ เป็นเรื่องร้ายแรงมาก โดยเฉพาะท่าทางเหมือนถูกใส่ร้ายของหมอเทวดา…
มีคนอดใจไม่ไหวถามขึ้นมา “แต่ต่อให้หมอเทวดาขโมยของจริง ไล่ออกจากจวนก็พอแล้วไฉนต้องประหารด้วยเล่า”
ต่อให้ขโมย โทษก็ไม่ถึงขั้นประหาร!
องครักษ์หน้าประตูนายหนึ่งตอบว่า “เดิมทีพระชายาไม่คิดตัดสินโทษตายให้นาง ตอนพระชายาพาพวกข้าไปไต่สวน หากซือหม่าหรุ่ยยอมรับออกมาด้วยตัวเองแล้วก็ช่างเถอะ แต่หมอเทวดาดันไม่ยอมรับ ยังบอกว่าให้คำมั่นว่า หากพระชายาค้นหาของพบในห้องของนาง จะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่ พระชายาเกิดโทสะ ดังนั้น…”
“…! ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก! ท่าทางโมโหโทโสของหมอเทวดาเช่นนั้น ว่าไปแล้วอาจถูกให้ร้ายก็เป็นได้!” มีคนทนไม่ไหวช่วยซือหม่าหรุ่ยเอ่ยวาจา
องครักษ์หน้าประตูหัวเราะเสียงเย็นชา “ทั้งคนทั้งหลักฐานพร้อม ยังจะถูกให้ร้ายอะไรอีกเล่า”
……
ข่าวลือนี้ก็โหมสะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างว่องไว
การวิเคราะห์แบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย บางคนก็เชื่อว่าซือหม่าหรุ่ยมิได้ขโมย แต่บางคนก็เชื่อว่าซือหม่าหรุ่ยขโมยของ มีคนด่าว่าเยี่ยเม่ยเป็นพวกหลงลืมบุญคุณ บอกว่ายามที่หมอเทวดาอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยช่วยเหลือนางไว้ไม่น้อย เยี่ยเม่ยกลับทำเช่นนี้กับหมอเทวดา
บ้างก็บอกว่าหมอเทวดาขโมยของแต่ไม่ยอมรับ สุดท้ายยั่วโมโหเยี่ยเม่ยแล้วถูกตัดสินให้ตาย ความจริงเป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง
ซ้ำยังมีคนที่มีจินตนาการล้นหลามเสนอความเห็นว่า ไม่แน่เพราะหมอเทวดาติดตามเยี่ยเม่ยอยู่นาน อาจรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ของเยี่ยเม่ยก็ได้ ดังนั้นอีกฝ่ายต้องการตัดรากถอนโคนสังหารนางซะ
สรุปแล้วคำเล่าลือมีทุกประเภท
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้กับหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงแห่งยุค ทุกคนย่อมถกกัน
ข่าวนี้ย่อมแพร่ไปถึงหูเซียวชิน
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
คนผู้หนึ่งสวมหมวกสานมีชายผ้าโปร่งห้อยลงมาปิดหน้านั่งอยู่ในโรงเตี๊ยม ฟังแขกเหรื่อถกเถียงกัน
มีคนเอ่ยว่า “เจ้าว่าพระชายาองค์ชายสี่จะสังหารหมอเทวดาจริงหรือ”
“ต้องเป็นเรื่องจริงแน่! เรื่องแพร่สะพัดไปแล้ว หากไม่สังหารนาง ไม่เท่ากับตบหน้าพระชายาหรือ ภายหน้านางยังมีความน่าเกรงขามในค่ายทหารอีกหรือ” มีคนตอบขึ้นมา
“แต่ข้ารู้สึกว่า หมอเทวดาไม่น่าทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้!”
“ใครก็รู้ว่า เรื่องราวในตระกูลใหญ่ผู้สูงศักดิ์ พวกเราไม่รู้แน่ชัด! ตอนที่หมอเทวดาถูกจับไป นางโมโหมาก ทั้งยังผิดหวังมาก ตะโกนตลอดเวลาว่านางไม่ได้ขโมยของ บอกว่าภายหน้าพระชายาองค์ชายสี่ต้องสำนึกเสียใจแน่ เฮ้อ…เรื่องนี้ ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องใส่ร้ายจริงๆ!”
“ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ว่าพระชายาองค์ชายสี่ก็ตัดสินใจไปแล้ว! ยังมีวิธีอะไรอีก ว่าไปแล้วหมอเทวดาก็มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในยุทธภพ แต่เมื่อเผชิญกับเหล่าผู้สูงศักดิ์จะฆ่าจะแกง ความจริงก็อยู่ที่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น!”
คนที่สวมหมวกนั่งฟังในที่นี้ก็ไม่ฟังอีกแล้ว ลุกขึ้นคว้ากระบี่ออกไป
……
จวนองค์ชายสี่
ลั่วซิงเฉินถอดหน้ากากหนังมนุษย์ที่ใส่อยู่ด้วยความเจ็บปวด เดิมทีเป็นเขาที่ปลอมตัวเป็นองครักษ์ที่หาหลักฐานได้ในห้องซือหม่าหรุ่ยได้
เขามีสีหน้าเดือดดาล “เยี่ยเม่ย เจ้าทำเกินไปแล้ว! ก่อนหน้านี้ให้ข้าวิ่งส่งข่าวยังไม่พอ ตอนนี้ยังให้ข้าปลอมตัวเป็นองครักษ์ เอาเครื่องประดับเข้าไป แสร้งว่าค้นออกมาได้ ให้ร้ายซือหม่าหรุ่ย ข้าเป็นถึง…”
เยี่ยเม่ยนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ยกถ้วยชาไม่รอให้ลั่วซิงเฉินพูดจบ นางรับคำด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นถึงศิษย์หนึ่งเดียวของราชาพิษ เป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียว ถึงกับทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้!”
“ถูกแล้ว! ท่านรู้ว่าข้าคิดอยู่เช่นนี้ ไฉนยังต้องบีบบังคับข้าด้วย!” ชั่วขณะนี้เขารู้สึกว่าหัวใจเหมือนถูกมีดเสียบแทง
เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยด้วยความจริงจังว่า “แต่เรื่องนี้ มีแต่เจ้าทำเท่านั้นข้าถึงวางใจ คนอื่นไม่อาจเทียบเจ้าได้ เจ้าเป็นยอดฝีมือในการใช้พิษ เช่นนั้นย่อมมีวิธีใช้พิษโดยไม่มีใครรู้ ฆ่าคนโดยไร้ร่องรอย ดังนั้นคิดปลอมตัวเข้าไปวางของ สำหรับเจ้าเป็นเรื่องง่ายดายมาก หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น อาจถูกซือหม่าหรุ่ยจับพิรุธได้ เจ้าว่าข้ามีคนที่ใช้ได้แต่ไม่ใช้ ไม่เท่ากับสิ้นเปลืองหรอกหรือ”
ลั่วซิงเฉิน “…” โทษที่ข้าเก่งกาจเกินไปเช่นนั้นรึ
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” ลั่วซิงเฉินมองเยี่ยเม่ย การจับตัวซือหม่าหรุ่ยอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ซ้ำยังจงใจให้เหล่าองครักษ์ป่าวประกาศออกไปอีก ทำเสียเรื่องราวแพร่สะพัดไปทั่ว ช่วงนี้ซือหม่าหรุ่ยทำเรื่องผิดต่อเยี่ยเม่ยแล้วหรือไง
เยี่ยเม่ยกวาดตามองเขา นางยิ้มแต่ไม่ตอบคำถาม เอ่ยเพียงว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งอีกแล้ว งานของเจ้าเสร็จแล้วก็ไปพักผ่อนเถอะ!”
ลั่วซิงเฉินมองนางด้วยความฉงนครู่หนึ่ง เมื่อคิดๆ ดูแล้วตัวเขาก็ไม่ได้มีการคบหาอะไรกับซือหม่าหรุ่ย ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้วกัน ลั่วซิงเฉินจึงเดินออกไปเงียบๆ
เยี่ยเม่ยเพิ่งวางถ้วยชาลง ซินเยว่เยี่ยนก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก หลังจากเข้ามาในห้องนางก็อ้าปากถามเยี่ยเม่ย “ข้าได้ยินว่าเจ้าจับตัวซือหม่าหรุ่ยไว้ เจ้าสงสัยว่านางขโมยของอย่างนั้นหรือ นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือเปล่า”
ซินเยว่เยี่ยนเป็นชาวยุทธ ในเมื่อเห็นเยี่ยเม่ยเป็นสหายแล้ว เวลาพูดจาก็ไม่สนใจฐานะท่านอ๋อง พระชายาอันใดอีก นางเอ่ยความในใจออกมาตามตรง
นางรู้สึกว่าเยี่ยเม่ยต้องบ้าไปแล้ว
ซือหม่าหรุ่ยจะขโมยของเยี่ยเม่ยได้อย่างไร นี่มันเรื่องล้อเล่นใช่หรือเปล่า อีกอย่างก็แค่เครื่องประดับชุดหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ขโมยแล้วจะทำไม เยี่ยเม่ยใส่ใจของพวกนี้ด้วยหรือ
ยามที่บุรุษรูปงามทั้งสี่มาสู่ขอเยี่ยเม่ย พวกอัญมณีที่ส่งมา เยี่ยเม่ยยังอนุญาตให้พวกนางเลือกได้ตามใจชอบเลย
เหตุใดมาวันนี้ถึงจะลงมือสังหารคนเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
หรือว่าหลังจากเยี่ยเม่ยแต่งงานแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นคนตระหนี่ใจแคบ หรือเป็นเพราะสาเหตุมาจากว่านางมีบุรุษอยู่ข้างกายจึงทำให้นางเลอะเลือน
เยี่ยเม่ยมองซินเยว่เยี่ยนด้วยท่าทีคล้ายกับโมโหเป็นอย่างยิ่ง “ข้าบ้าไปแล้ว? ข้าว่าเจ้าต่างหากที่บ้า! นางขโมยของ เจ้ากลับมาโทษข้า เจ้าไปถามนางดูว่านางบ้าไปแล้วหรือเปล่า ถ้าอยากได้เครื่องประดับมาบอกข้าดีๆ ก็ได้ ข้าจะไม่ให้นางเชียวหรือ นี่นางถึงกับขโมยของ!”
“เจ้า…” ซินเยว่เยี่ยนได้ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ยก็โมโห คิดว่าสตรีนางนี้ไม่มีเหตุผลเลยสักน้อย
นางยิ้มเย็นชา เอ่ยปากว่า “ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อใจนาง ข้าก็ไม่หวังให้เจ้าเชื่อ ข้าขอถามคำเดียว เจ้าจะปล่อยคนหรือไม่!”
“ไม่ปล่อย!” เยี่ยเม่ยตอบด้วยความเย็นชา ไม่คิดรอมชอมเลยสักน้อย
เวลานี้ซินเยว่เยี่ยนเกิดโทสะแล้ว
นางสะบัดหน้าหันหลังกลับไปด้วยความโมโห “ไม่ปล่อยก็ช่างเถอะ ข้าไปปล้นคุกเพื่อช่วยนางเอง!”
ซินเยว่เยี่ยนเพิ่งหมุนกาย เยี่ยเม่ยมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายเอ่ยเสียงนิ่งว่า “จับไว้!”