ตอนที่ 271 สถานการณ์ที่ยากลำบาก
หวาหรุงจึงรีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “คุณหมอคะ ฉันความดันสูง บริจาคได้ไหมคะ?”
“ความดันสูงไม่ได้ ประจำเดือนมาก็ไม่ได้ครับ น้ำตาลในเลือดสูงและโลหิตจางก็ไม่ได้ครับ” คุณหมอพูดเสริม
หวาซวงก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมาทันที “งั้นฉันก็ไม่ได้ ประจำเดือนฉันเพิ่งมาเมื่อวานค่ะ”
“ฉันเอง” หวาเจิ้นเยว่พูดขึ้น
“พ่อความดันสูงนี่คะ ลืมไปแล้วเหรอคะ? วันนี้ก็เพิ่งทานยาลดความดันไปไม่ใช่เหรอคะ?” หวาซวงคิดแทนพ่อของตัวเอง
“ความดันสูงไม่ได้ครับ” คุณหมอย้ำอีกครั้ง
“งั้นฉันเอง” หวาผิงยกมือขึ้น ความจริงเธอไม่ได้แคร์เท่าไหร่นัก ถึงอย่างไรก็แค่บริจาคเลือดเท่านั้น ไม่ได้บริจาคกระดูกแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นอุปสรรคด้านสรีระแต่อย่างใด
แต่แล้วผู้ช่วยสาวของหวาผิงก็พูดเตือนด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “คุณหนูหวาผิงคะ ช่วงนี้คุณหนูถ่ายงานได้นอนแค่ 3-4 ชั่วโมงเองนะคะ ถ้าบริจาคเลือดไปอาจจะไม่ไหวเอาได้นะคะ?”
หวาผิงไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด คุณหมอจึงปฏิเสธเธอทันที
“นอนดึกก็ไม่ได้ครับ อาจจะเกิดการบาดเจ็บร้ายแรงได้ บริจาคได้ยังไงละครับ?”
หวาเหวินเดินมาตรงหน้าของคุณหมออย่างเงียบ ๆ “ฉันเองค่ะ”
“คุณผอมขนาดนี้ ……. เป็นโลหิตจางรึเปล่าครับ? ถ้าเป็นโลหิตจางก็บริจาคไม่ได้นะครับ?”
“ไม่ได้เป็นโลหิตจางคะ ตรงตามเงื่อนไขทุกอย่างคะ ให้ฉันบริจาคเถอะคะ” จริง ๆ แล้วหวาเหวินอยากจะเสนอตัวเองนานแล้ว แต่เธอไม่สามารถต้อนรับขับสู้ได้ ถึงอย่างไรก็ย่อมถูกพี่ใหญ่และพี่รองคิดว่าเธอคงจะตั้งใจเอาหน้าอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นทุกคนพูดจบแล้ว เธอจึงพูดขึ้น ซึ่งเธอเองก็ได้พิจารณาอย่างเหมาะสมแล้ว
“งั้นก็ดี แต่ก็ยังขาดอยู่อีก 400 cc ยังต้องหาเพิ่มอีก 1 คน” คุณหมอย้ำหนักแน่น
เจียงหยู่และชุนเถาหยินซิ่ง แล้วก็ผู้ช่วยสาวของหวาผิงต่างก็ไม่เลือดกรุ๊ป AB แต่อย่างใด จึงทำได้แต่รู้สึกลำบากใจ
หลังจากที่เงียบอยู่นาน หวาเหวินก็เอ่ยปาก “ถ้าต้องรีบใช้โดยด่วน ทำไมถึงไม่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าละคะ? ฉันบริจาคให้ 400 cc จากนั้นฉันก็จะคอยสแตนด์อยู่ในห้องรับรอง ถ้าเกิดอันตรายขึ้นมาจริง ๆ และต้องบริจาคจริง ๆ ฉันก็ยังบริจาคต่อได้”
“ได้ยังไงกัน?” เจียงหยู่รีบขวางทันที
400 cc ไม่ใช่จำนวนน้อยเลย นี่เป็นขอบเขตที่คนทั่วไปสามารถรับได้ ถ้ายังฝืนบริจาคอีก 400 cc รูปร่างกะทัดรัดแบบหวาเหวินก็อาจจะเกิดอาการช็อคได้
“ไม่เป็นไรค่ะ มันจำเป็นต้องใช้ไม่ใช่เหรอคะ มีแค่ทางเดียว ก็ตามนี้แหละค่ะ คุณหมอรีบไปเตรียมตัวเถอะคะ”
เสียงของหวาเหวินไม่ได้ดังมากนัก แต่พลังนั้นเต็มเปี่ยม เมื่อพูดประโยคนี้จบ ทุกคนต่างก็ส่งเสียงเหอะอย่างไม่เกรงใจออกมาทันที
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว นอกจากหวาผิงและหวาเจิ้นเยว่แล้ว ทั้งสองคนนั้นกลับแสดงท่าทางเบี่ยงเบนออกอย่างชัดเจน
เจียงหยู่รู้สึกทอดถอนใจออกมา ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมหวาเหวินรู้สึกอิจฉาความสามัคคีของครอบครัวอื่น
ที่แท้ตระกูลหวาเหวินก็เลือดเย็นแบบนี้นี่เอง ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ถึงจะเกี่ยวกับความเป็นความตาย ขนาดบริจาคเลือดก็ยังเกี่ยงกันถึงสามครั้งสามครา เจียงหยู่ไม่เคยพบเจอครอบครัวแบบนี้มาก่อนเลย
เขารู้สึกสงสารหวาเหวินขึ้นมาจับใจ เธอถูกขับไสไล่ส่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้รับความอบอุ่นใด ๆ จากครอบครัวเลย
เมื่อคุณย่าเพียงคนเดียวของเธอจากไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรูปร่างของเธอถึงได้บอบบางแบบนี้
คนเราพูดได้ว่ามีจิตใจเมตตากรุณามาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ไม่มีใครเลือดเย็นและไร้ความรู้สึกมาตั้งแต่เกิด หลังจากที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมายแล้ว ประสบการณ์เหล่านั้นจึงเปลี่ยนคนเราให้กลายเป็นคนแบบนั้นไป
และพูดได้ว่าในยามที่ตกทุกข์ได้ยากก็มักจะเห็นความจริง เบื้องหน้าของหวาเหวินนั้นมักจะแสดงความเลือดเย็นออกมา แต่ในเวลาที่จำเป็นจริง ๆ การกระทำของเธอกลับอบอุ่นที่สุด
หลังจากที่หวาเหวินบริจาคเลือดแล้ว เธอก็รู้สึกอ่อนแรงลงเล็กน้อย ชุนเถาคอยดูแลเธออยู่ตลอดเวลา ส่วนหยินซิ่งรีบออกไปซื้อยาบำรุงเลือดมาให้กับเธอ
เจียงหยู่ถอดเสื้อคลุมนอกออกมาคลุมตัวให้กับเธอ เพื่อทำให้ร่างกายของหวาเหวินอุ่นขึ้น
“ถ้าเหนื่อยก็งีบสักหน่อย ฉันจะเฝ้าเธอเอง”
“ไม่เหนื่อย ฉันจะรอฟังผล” เสียงของหวาเหวินแฝงไปด้วยความอ่อนล้าไม่น้อย และเธอก็ง่วงมากด้วย
เจียงหยู่รู้ว่าเธอเป็นห่วงหวาฟ้านมาก และจะรอฟังผลการเจาะช่องท้องของหล่อน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป การผ่าตัดหวาฟ้านก็สิ้นสุดลง การผ่านตัดดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบริจาคเลือดเพิ่มอีกแต่อย่างใด
คุณหมอเดินถือรายงานออกมา ทุกคนต่างก็หายใจไม่คล่องอยู่หน้าจอ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใด ๆ ออกมา
ราวกับว่ารอการตัดสินความเป็นความตายอย่างไรอย่างนั้น………
“คุณหมอคะ ลูกของดิฉันเป็นอะไรคะ?” ดวงตาของคุณนายหวาเต็มไปด้วยหยดน้ำตา แม้แต่เสียงก็ยังแทบจะไม่มีแรงที่จะเอ่ยออกมา