ตอนที่ 286 ไว้หน้ากันสักหน่อย
หวาเจิ้นเยว่คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าลูกสาวคนเล็กจะพูดกับเขาด้วยท่าทางอย่างนี้ ก็ตกตะลึงอย่างหยุดไม่ได้
“น้องห้า ทำไมเธอพูดกับพ่ออย่างนี้ล่ะ?” พี่ใหญ่หวาซวงค่อนข้างไม่พอใจ
อันที่จริงในครอบครัวตอนนี้ คนที่มีฐานะทางสังคมที่สุดก็ยังคงเป็นหวาเจิ้นเยว่ แม้ว่าเขาจะเกษียณก่อนกำหนดไม่ไปบริษัท ไม่ยุ่งเรื่องของบริษัทแล้ว
แต่คนที่เป็นคณะกรรมการกับหัวเรี่ยวหัวแรงที่มีผลงานอันยอดเยี่ยมของบริษัทเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนที่เขาเลื่อนตำแหน่งให้กับมือ พูดอีกอย่าง แม้ว่าตัวของหวาเจิ้นเยว่จะไม่อยู่บริษัท แต่คนที่เป็นหูเป็นตาให้อยู่ที่บริษัททั้งหมด
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นหวาหรุงหรือหวาซวง ก็ไม่กล้าดูหมิ่นนายท่านแม้แต่นิดเดียว
หวาเหวินไม่ตอบพี่ใหญ่ แต่ยังคงยิ้มเยาะ “พ่อคะ หนูอยากรู้มากเลยว่าตอนนี้ยังมีอะไรที่สำคัญไปกว่าอาการป่วยของพี่สี่อีก?”
“เอ่อ……เป็นแค่เรื่องที่แต่ก่อนสัญญาว่าจะช่วยเหลือเพื่อนเท่านั้น ยังทำไม่เสร็จสิ้น พ่อไม่อยากจะผิดคำพูด”
หวาเจิ้นเยว่โดนลูกสาวคนเล็กบีบบังคับจนถึงขั้นที่ไม่มีทางหนีแล้ว ก็แสดงว่าต้องอธิบายสักหน่อย
แต่หวาเหวินกลับไม่เล่นด้วย
“ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ล้วนแต่แซ่หวา อย่างนั้นหนูจะพูดตรงๆแล้วกันค่ะ แต่ก่อนที่ปฏิบัติกับหนู หนูจะไม่พูดถึง อันที่จริงเรื่องเหล่านั้นก็ผ่านไปหมดแล้ว แต่พี่สี่เติบโตมาจากครอบครัวนี้อยู่แล้ว เธอกับพวกเราทุกคนต่างก็มีสายเลือดเดียวกัน สถานการณ์ของเธอตอนนี้ไม่ดีเลย ถึงขั้นที่ชีวิต……มีขีดจำกัด พวกพี่กับพ่อทำไมถึงหาข้ออ้างมาหลีกเลี่ยง……เงินทองไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง ตอนนี้พี่สี่รักษาอาการป่วยไม่ขาดแคลนเงินเลย แต่ขาดความเอาใจใส่และการดูแลจากคนในครอบครัว ถ้าจะให้พูดคำที่ไม่น่าฟังล่ะก็ ใครๆก็ไม่สามารถแข็งแรงได้ตลอดชีวิต พวกพี่ก็จะมีช่วงเวลาที่แก่และป่วย หรือพวกพี่ก็หวังว่าหากมีสักวัน ที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อเหมือนกับพี่สี่ พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องยุ่งไม่ต้องถามใช่ไหม?”
ทุกคนนิ่งเงียบ……คำพูดเหล่านี้ของหวาเหวิน ค่อนข้างหนักหน่วงอย่างชัดเจน
หซู่ลี่หวาไม่สบายใจ เช็ดน้ำตาอย่างหยุดไม่ได้ หวาเจิ้นเยว่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงจุดบุหรี่ให้ตนเอง
“ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เฉลียวฉลาดกันทั้งนั้น บางคำหนูก็ไม่อยากจะเผยออกมามากจนเกินไป ถือเสียว่าเป็นการไว้หน้า”
“น้องห้า ครอบครัวเราเธออายุน้อยที่สุดนะ มีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์พวกฉัน? หลังจากแต่งงานกับเจียงหยู่ ก็อยู่เหนือกว่าคนอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ?” แต่ไหนแต่ไรหวาหรุงก็ไม่ชอบหวาเหวินอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากโดนเธอถากถาง ก็อึดอัดใจมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็ทะเลาะกันจนไม่มีความสุขเพราะเรื่องที่จะเป็นตัวแทนของโรงพยาบาลศัลยกรรม ดังนั้นเมื่อได้โอกาสนี้ หวาหรุงจึงไม่ไว้หน้าสักนิดเดียว
หวาเหวินหันไปมองหน้าหวาหรุง โต้กลับไปทันที “ก็สิทธิ์ที่หลังจากพี่สี่เข้าโรงพยาบาล ล้วนแต่เป็นฉันที่ไปโรงพยาบาลแล้วก็ติดต่อกับศาสตราจารย์ของวิทยาลัยแพทย์ทุน อาหารการกินในแต่ละวันก็เป็นคนของฉันที่ดูแลอยู่ ดังนั้นเรื่องอื่นฉันไม่กล้าพูด แต่เรื่องนี้ ฉันมีคุณสมบัติอย่างแน่นอน”
หวาหรุงโดนเสียดสีกลับมาจนสีหน้าไม่น่ามอง แต่ก็หมดหนทางโต้แย้ง
หวาซวงเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างแข็งกร้าว จึงรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้คลี่คลาย “พี่รอง เสี่ยวห้า พวกเธอใจเย็นๆ เป็นครอบครัวเดียวกันมีเรื่องอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆ น้องห้าพี่ก็รู้ว่าตั้งแต่ที่น้องสี่เข้าโรงพยาบาล เธอก็ช่วยเหลือไปไม่น้อยอย่างชัดเจน พวกพี่ก็หวังว่าเธอจะดีขึ้น ตอนนี้เป็นอย่างนี้ เรื่องของบริษัทล้วนแต่เป็นหน้าที่ของพี่กับพี่รอง ไม่มีเวลาจริงๆ นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง แต่ที่พวกเราไม่สนใจไม่ได้อย่างแน่นอนก็คือ ถ้าต้องการเงินจะออกเงินให้ ถ้าอยากได้คนจะส่งคนไปให้ พี่ไม่มีเวลา แต่ยังมีสามีของพี่ที่สามารถส่งอาหารได้ อย่างนี้ได้ไหม?”
หวาเหวินไม่พูด……
หวาผิงไอออกมาเบาๆ “ที่น้องห้าพูดก็ไม่ผิด เวลาอย่างนี้ ทุกคนอย่าคิดจะหาเงินหรือทำงานเลยค่ะ ในเมื่อบอกแล้วว่าให้ผลัดเปลี่ยนกัน อย่างนั้นก็ผลัดกันเถอะ หนึ่งวันหนึ่งคน ฉันไม่มีความเห็น”
“พวกพี่ตัดสินใจกันเองเถอะ เรื่องที่ควรพูดฉันพูดไปหมดแล้ว”
หวาเหวินพูดแล้วก็ลุกขึ้นอย่างเย็นชา ตอนที่เดินผ่านข้างกายของหวาเจิ้นเยว่ เธอมองเขา แล้วยังไม่ลืมที่จะเตือนออกมาประโยคหนึ่ง “พ่อคะ คนที่มีอายุเท่าพ่อตอนนี้ หนูคิดว่าไม่มีอะไรที่จะสำคัญไปกว่าคนในครอบครัวแล้ว พ่อว่าอย่างไรล่ะคะ?”