แต่…
หลังจากที่นางปิดตา กลับไม่มีชิ้นส่วนเล็กๆ พุ่งทะลุร่าง
จงรั่วปิงเปิดตาด้วยความตะลึง
เห็นก็แต่เยี่ยเม่ยรับพัดรูปร่างสมบูรณ์เล่มหนึ่งกลับเข้ามือ เยี่ยเม่ยมองนางด้วยสายตาเย็นชา ถามนิ่งๆ อีกครั้ง “ยอมแพ้แล้วยัง”
จงรั่วปิงชะงักงันไปเล็กน้อย กลับตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้ายอมแพ้”
ในฐานะที่เป็นจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่ง นางจงรั่วปิงไม่ใช่คนที่แพ้ไม่เป็น ความกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ก็เป็นความเด็ดเดี่ยวชนิดหนึ่ง
จงรั่วปิงยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมา กลับทำให้เยี่ยเม่ยมองนางในแง่ดีขึ้นอีกหลายส่วน
ถัดมา จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย ย่นคิ้วเอ่ยปาก “เจ้าไม่ฆ่าข้า”
เยี่ยเม่ยเอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชา “ฆ่าเจ้ามีประโยชน์อะไร อีกทั้งข้ายังไม่รู้สาเหตุที่เจ้าลงมือกับข้าเลยด้วยซ้ำ”
ความจริงเยี่ยเม่ยไม่ได้ใช้ท่าพิฆาตเลย
นั่นก็เพราะว่านับตั้งแต่ลงมือ หลังจากอีกฝ่ายเห็นว่านางไม่มีกำลังภายใน อีกฝ่ายก็ตั้งใจรักษาความยุติธรรมของนักสู้ ไม่ใช้กำลังภายในกับตน ยังเป็นคำพูดของตนที่ปลุกระดมอีกฝ่าย
จากจุดนี้ทำให้เห็นว่า อีกฝ่ายหากมิใช่เพราะมีจิตใจดีงาม ก็มีศักดิ์ศรีของนักสู้ ไม่ว่าจะเป็นข้อใดในสองข้อนี้ ก็มากพอให้เยี่ยเม่ยมีความอดทนฟังสาเหตุที่อีกฝ่ายลงมือกับตนเอง จากนั้นนางค่อยคิดว่าจะสังหารอีกฝ่ายดีหรือไม่
จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย กลับรู้สึกสนใจ “ทำไม สาเหตุที่สังหารเจ้า มันสำคัญมากอย่างนั้นหรือ”
“ข้าคิดว่า เรื่องนี้สำหรับเจ้าแล้วค่อนข้างสำคัญมาก” เยี่ยเม่ยมองจงรั่วปิงอย่างเย็นชา ค่อยเสริมขึ้นอีกประโยค “เพื่อจะเป็นการตัดสินใจว่า ข้าจะปล่อยเจ้าไป หรือสังหารเจ้าทิ้ง”
คราวนี้ บรรยากาศรอบด้านเย็นเยียบลง
เยี่ยเม่ยหาใช่คนชอบเข่นฆ่า แต่นางไม่มีทางทิ้งภัยร้ายไว้แก่ตนเองในภายหน้า หากอีกฝ่ายเห็นว่านางเป็นศัตรู เช่นนั้น…
นางก็จะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไป
คำพูดนี้ของเยี่ยเม่ยเรียกได้ว่าโอหังเป็นอย่างมาก ทำให้ศักดิ์ศรีของจงรั่วปิงจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่งเกือบรักษาไว้ไม่ได้แล้ว นางเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า คนเราฆ่าได้หยามไม่ได้”
เมื่อเห็นจงรั่วปิงอารมณ์ตกต่ำถึงขั้นนี้ เยี่ยเม่ยเอ่ยคำปลอบด้วยเสียงเย็นชาอย่างหาได้ยาก ทั้งยังเป็นความเลื่อมใสขั้นพื้นฐานที่มีต่อนักสู้ “เจ้าไม่ต้องโศกเศร้าไป ความจริงแล้ว คนที่ทำให้ข้าใช้กระบวนท่าต่อเนื่องได้ มีเจ้าเป็นคนแรก”
พลังฝีมือของจงรั่วปิง ย่อมอ่อนด้อยจริงๆ
มายุคโบราณนานถึงขนาดนี้ ครั้งก่อนยามประมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ใช้กระบวนท่าพันอิงผลิบานจนกระทั่งถึงข้อกำหนดการประลองที่สามกระบวนท่า ดังนั้นยังไม่ได้ใช้ร้อยอิงทะลวง
ส่วนการประมือกับคนอื่น หากไม่ใช้ร้อยอิงทะลวง ก็ใช้พันอิงผลิบาน รวมถึงในยุคปัจจุบัน หลายปีที่ผ่านมา ต่อให้ใช้ทั้งสองกระบวนท่า ปกตินางมักใช้ออกทีละท่า ไม่เคยใช้กระบวนท่าต่อเนื่อง ดังนั้นความสามารถที่แท้จริงของนางมีมากเท่าไหร่ แม้แต่พวกลูกพี่กับเยาเนี่ยก็ยังไม่รู้ชัดเจน
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้กระบวนท่าต่อเนื่อง นั่นก็เพราะจงรั่วปิงมีความสามารถทำให้นางปล่อยออกมาจริงๆ
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ จงรั่วปิงกลับเอ่ยปาก “คำพูดนี้เป็นจริงหรือ”
วันนี้จงรั่วปิงถูกจู่โจมไม่น้อย เห็นการประมือกันระหว่าง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุน ก็สงสัยในพลังยุทธ์ของตนอย่างรุนแรงแล้ว ยามนี้พ่ายแพ้ต่อเยี่ยเม่ยอีก จิตใจได้รับความกระทบกระเทือนจนดำดิ่ง
คำพูดของเยี่ยเม่ยแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ตัวนางเองก็เป็นยอดฝีมือ เพียงแต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสามคนนี้เท่านั้นเอง
เยี่ยเม่ยพยักหน้า วิจารณ์ว่า “ไม่เลว อย่างน้อย เจ้าไม่มีทางแพ้ให้กับเป่ยเฉินเสียง
ฝีมือของเป่ยเฉินเสียง ความจริงมิได้ต่ำต้อย นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ เพียงแต่ต่อหน้าเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่อาจแสดงความเข้มแข็งออกมาก็เท่านั้น
ทันทีที่เยี่ยเม่ยเอ่ยถึงเป่ยเฉินเสียง จงรั่วปิงพลันเกิดความเดือดดาลขึ้นมาทันที
เยี่ยเม่ยไม่ทันเห็นความเปลี่ยนทางสีหน้าอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยปากว่า “เอาล่ะ เจ้าพูดได้หรือยัง สาเหตุอะไรที่ทำให้เจ้าลงมือกับข้า”
“เจ้าตอบคำถามข้อหนึ่งมาก่อน” จงรั่วปิงจ้องเยี่ยเม่ย
ส่วนในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นซินเยว่เยี่ยนหรือซือหม่าหรุ่ยบนกำแพง หรือจะเป็นเหล่าทหารด้านล่างกำแพง ยามนี้ต่างมีสีหน้าอึ้งไป
พวกเขารู้มาตลอดว่า เยี่ยเม่ยร้ายกาจมาก แต่เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยใช้กระบวนท่าต่อเนื่อง พวกเขามองเห็นเป็นครั้งแรก ฝีมืองดงามหมดจดมาก ทั้งยังทรงพลังเข้มแข็งมาก คนทั้งหมดตกอยู่ในความตะลึง จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้สติ
เยี่ยเม่ยมองจงรั่วปิง นางลังเลสักครู่ แต่ยังพยักหน้า “เจ้าถามมา”
จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “สองกระบวนท่าเมื่อครู่ เจ้าใช้กำลังทั้งหมดแล้วหรือไม่”
ถามเช่นนี้ คนทั้งหมดในที่นี้ต่างเงี่ยหูตั้งใจฟัง
ความจริงพวกเขาก็อยากรู้ความสามารถของเยี่ยเม่ยว่ามีเท่าไหร่ กระบวนท่าต่อเนื่องเมื่อครู่ก็ร้ายแรงมากแล้ว ก็น่าจะเรียกว่ากำลังทั้งหมดแล้วกระมัง
ซือหม่าหรุ่ยไม่ใช่คนเข้าใจวิทยายุทธมาก แต่ก็มองความร้ายกาจของเยี่ยเม่ยออก นางหันกลับไปมอง ซินเยว่เยี่ยนทีหนึ่ง กระซิบกระซาบถามว่า “เจ้าว่าเจ้าเอาชนะ เยี่ยเม่ยได้หรือเปล่า”
ซินเยว่เยี่ยนค่อยๆ ยื่นปากเข้าใกล้หูของซือหม่าหรุ่ย ใช้เสียงดังตะเบ็งออกไปว่า “สู้ไม่ได้”
เสียงดังนั้นแทบทำซือหม่าหรุ่ยหูตึงแล้ว
ซือหม่าหรุ่ยมองอีกฝ่ายด้วยความอึ้ง “สู้ไม่ได้ก็ไม่ต้องสู้ เจ้าจะแตกตื่นไปทำไม”
ซินเยว่เยี่ยนส่งสายตาไม่พอใจมองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง “ความสามารถของข้ากับจงรั่วปิงไม่ต่างกันมาก เจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ เจ้าถามออกมาเช่นนี้ ไม่ใช่ทำให้ข้ากระอักกระอ่วนใจหรือไง”
“อ้อ ข้าเข้าใจว่าเจ้าเก่งกาจกว่าจงรั่วปิงมาโดยตลอด” ซือหม่าหรุ่ยหน้าตาผิดหวัง
ยามนี้ซินเยว่เยี่ยนรู้สึกได้รับบาดเจ็บ ลุกขึ้นมา เตรียมจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับซือหม่าหรุ่ย
ส่วนในเวลานี้เอง เยี่ยเม่ยเงยหน้า ส่งสายตามองบนกำแพง การเคลื่อนไหวและเสียงดังเช่นนี้ นางไม่อยากสังเกตแต่ก็เห็นได้
ซินเยว่เยี่ยนสีหน้าแข็งไปในทันที มองเยี่ยเม่ยอย่างกระอักกระอ่วน
บนกำแพงเมือง ซือหม่าหรุ่ยที่เบิกตากว้างมองลงมาด้านล่าง ก็ยิ้มอย่างอึดอัด ลุกขึ้นมา
….
จากนั้นทั้งสองคนที่ส่ายหน้าโบกมือพร้อมเพรียง “พวกเราไม่รู้อะไรทั้งนั้น พวกเราแค่ตามมาชมความสนุก”
ทั้งสองคนทำท่าทางราวกับไม่เกี่ยวข้องใด ก่อให้เกิดความสงสัยในใจของเยี่ยเม่ย แต่สุดท้ายหญิงสาวไม่พูดอะไร หันหน้ามองจงรั่วปิง
จงรั่วปิงถลึงตาใส่คนทั้งสอง ยามที่ตนถูกทิ้งไว้นอกกำแพงเมือง นางก็รู้แล้วว่าสองคนนั้นไร้คุณธรรม ตอนนี้เห็นสองคนปัดความสัมพันธ์ชัดเจน นางก็ไม่แปลกใจ
จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย ถามอีกครั้ง “ตอบคำถามข้าได้หรือยัง นี่คือ…กำลังทั้งหมดของเจ้าแล้วหรือยัง”
นางอยากรู้ว่า สตรีเบื้องหน้าตนในยามนี้ร้ายกาจถึงขั้นไหน
เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ลีลา เอ่ยปากตรงๆ ว่า “ข้าอยากบอกว่า เพราะว่าเห็นแก่หน้าเจ้าแล้ว ข้าตอบเช่นนี้เจ้าคงสบายใจมากขึ้น แต่ว่าข้า ไม่ชอบโกหก ความจริง…คือยัง นี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสามของความสามารถข้าเลย”
เมื่อเยี่ยเม่ยตอบเช่นนี้ จงรั่วปิงพลันไม่ส่งเสียง
ซือหม่าหรุ่ยกับ ซินเยว่เยี่ยนบนกำแพงที่พยายามตัดความสัมพันธ์อย่างสุดกำลัง ยามนี้ตกตะลึงจนลืมหายใจ
เหล่าทหารกลับสูดลมหายใจลึก มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ย ดูท่าทางจะบีบคั้นองค์ชายสี่ได้จริงๆ แล้ว…
เมื่อเห็นท่าทางสะเทือนใจของจงรั่วปิง เยี่ยเม่ยก็ไม่ค้าน เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เอาล่ะ ข้าว่าข้าแสดงออกอย่างอดทนมากพอแล้ว ทั้งยังจริงใจกับคนที่คิดข้าฆ่า ดังนั้น เจ้าตอบคำถามข้าได้แล้วหรือยัง สาเหตุที่เจ้าลงมือคือ”