บทที่ 25: ศักดิ์ศรีเธออยู่ไหน
ทุกคนหน้าเสีย พวกเขาล้วนเป็นคนที่พอรู้ว่าเผยลี่เชินเป็นคนยังไงในระดับหนึ่ง นอกจากรู้ว่าเผยลี่เชินภายนอกหยิ่งยโส ทำงานเด็ดขาด และก็เข้าใจกว่าคนทั่วไปว่าเขาเป็นคนที่เย็นชาและใจเด็ดขนาดไหน
แต่วันนี้ฟางเสี่ยวเสี่ยวดื่มเยอะไปหน่อย ในจังหวะนี้คงไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น
“ทำไมหรอประธานเผย ใครเป็นฟินิกส์ใครเป็นไก่ คำตอบก็เห็น ๆ อยู่”
เผยลี่เชินแววตานิ่งเฉย ใช้สติข่มความอดทนขีดสุดท้ายเอาไว้
เฉินม่านที่อยู่ข้าง ๆ เห็นบรรยากาศเริ่มแปลกไป เอื้อมมือไปดึงตัวฟางเสี่ยวเสี่ยวไว้ “โอเคเสี่ยวเสี่ยว วันนี้แกดื่มเยอะไปหน่อย เราไม่วุ่นวายดีกว่าเนอะ…”
ฟางเสี่ยวเสี่ยวสะบัดมือของเฉินม่านออก “ทำไมหละ ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า ก่อนหน้านั้นไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่เคยมองหน้าใครเลย ตอนนี้ตระกูลไป๋ล้มละลายแล้วฉันพูดนิดเดียวทำไมไม่ได้หละ”
ตัวของไป๋เสว่เอ๋อร์เริ่มสั่น เธอหายใจเข้า ความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน ก่อนที่ตระกูลไป๋จะล้มละลาย ทุกความสนใจอยู่บนตัวเธอทั้งหมด ถึงจะไม่ได้เว่อร์เกินตามที่ฟางเสี่ยวเสี่ยวพูด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสนิทกับใครก็ได้ ในสายตาคนอื่นก็มองว่าเธอหยิ่งไปหน่อย แค่ไม่คิดว่าจริง ๆ แล้วในสายคนอื่นเธอจะมีภาพลักษณ์แบบไม่เห็นหัวใครขนาดนั้น
“พูดจบหรือยัง” ผู้ชายเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ประธานเผยตั้งใจจะปกป้องเธอจริง ๆ หรอ เธอจะมาไม้ไหนก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ก็มีคน…”
เธอยังพูดไม่จบ เผยลี่เชินยกแก้วที่อยู่อยู่ข้าง ๆ มองไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ “สาดไป”
เสียงของฟางเสี่ยวเสี่ยวหยุดทันที เฉินม่านข้าง ๆ ดึงตัวเธอไว้อีกครั้ง พยายามส่งสัญญาณให้ เธอถึงจะตั้งสติได้
ตอนแรกคิดว่าเผยลี่เชินจะแค่เล่น ๆ กับไป๋เสว่เอ๋อร์ คุณหนูตกอับ ปล่อยให้ใคร ๆ มาเหยียบย่ำ แต่ไม่คิดว่าเผยลี่เชินจะให้ไป๋เสว่เอ๋อร์สาดเหล้าใส่เธอ
เธอชักสีหน้า จ้องไปที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ “แก…แกกล้าหรอ”
เผยลี่เชินทำเป็นไม่ได้ยิน สายตาจ่อไว้บนผู้หญิงข้างกาย เม้มปากแน่น “จะเอายังไง คุณตัดสินใจเอาเอง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รับแก้วเอาไว้ มองแก้วเหล้าอยู่อย่างงั้น ลังเลอยู่นาน
คนรอบข้างเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียด ต่างคนต่างคิด บางคนอยากจะเข้าไปเจรจาให้ แต่พอเห็นหน้าของเผยลี่เชิน ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรทั้งนั้น
กู้หลี่เหลียงเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะเลยเถิดไปใหญ่ ได้แต่ฝืนใจออกมาพูด เขาขำแห้ง ๆ “ไอ้เผยเอ้ย…”
“หุปปากซะ” น้ำเสียงเด็ดขาดนั้นทำเอาเขาไปต่อไม่ถูก
กู้หลี่เหลียงเห็นเผยลี่เชินเข้าโหมดจริงจัง ก็ไม่อยากเปลืองน้ำลาย ไม่พูดซะดีกว่า
ฟางเสี่ยวเสี่ยวที่ท่าทางจองหองเมื่อกี้ จู่ ๆ ก็หายไปทันตา เธอหันหน้าไปมองแฟนหนุ่มที่อยู่อยู่หลังโซฟา “ชวนจื่อ…”
ผู้ชายที่ชื่อว่าชวนจื่อไม่ทำตัวมักง่ายเหมือนฟางเสี่ยวเสี่ยว เขารู้อยู่แก่ใจว่าเผยลี่เชินเป็นคนที่เขามีเรื่องด้วยไม่ได้ ถึงแม้บ้านเขาจะมีเงินแต่ก็ไม่สามารถประชันกับคนอย่างเผยลี่เชินได้ รวมถึงคนสร้างเรื่องไม่ใช่เขา จะหาเรื่องเผยลี่เชินเพื่อแฟนสาวชั่วคราวแบบนี้ ไม่คุ้มเอาซะเลย
เขาแสยะยิ้ม เบี่ยงสายตาหนี มองไปทางเผยลี่เชิน “เฮียเผย ผมเลิกกับฟางเสี่ยวเสี่ยวแล้วครับ เฮียจะทำอะไรก็ทำเลย ไม่ต้องเกรงใจผม”
การตัดสัมพันธ์อย่างชัดเจน
สีหน้าฟางเสี่ยวเสี่ยวเปลี่ยนทันที “นี่คุณ…”
พูดยังไม่ทันจบ อยู่ ๆ ได้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่กระจายอยู่บนหน้า เธออ้าปากหายใจด้วยสันชาตญาน ยกมือขึ้นมาปัดของเหลวบนหน้าออก เงยหน้าปุ๊บก็เห็นเผยลี่เชินและไป๋เสว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ไป๋เสว่เอ๋อร์วางแก้วเปล่าลงด้วยน้ำหนักพอดี สีหน้านิ่ง แต่คิ้วกลับขมวดเป็นก้อน
เผยลี่เชินวางมือบนไหล่ไป๋เสว่เอ๋อร์ เขามองไปทางฟางเสี่ยวเสี่ยว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หัดจัดการกับปากตัวเองซะ ไม่อย่างงั้นคงจะไม่จบแค่เหล้าแก้วเดียว”
ทิ้งท้ายคำนี้จบ เขาไม่สนใจสีหน้าทั้งคับแค้นใจแต่ทำอะไรไม่ได้ของฟางเสี่ยวเสี่ยว โอบไป๋เสว่เอ๋อร์แล้วเดินหันหลังไป
มือทั้งสองข้างของไป๋เสว่เอ๋อร์กำเข้าไว้แน่น เล็บแทบจะจิกเข้าไปในฝ่ามือ ทิ้งรอยสีขาวโค้วแถวหนึ่งไว้กลางฝ่ามือ ทั้งสองเดินเคียงกันไปถึงโค้งตรงปากทางบันดัน เธอยกมือขึ้นผลักตัวผู้ชายออกไป สีหน้าเย็นชา
เผยลี่เชินสังเกตความห่างเหินของผู้หญิง เขายักคิ้วขึ้น “คุณหมายความว่าอะไร”
“เผยลี่เชิน ฉันไม่อยากทำให้เรื่องมันใหญ่ขนาดนี้ ทำให้ทุกคนไม่พอใจกันหมด”
เมื่อก่อนครอบครัวภูมิฐานที่สอนให้เธอมั่นใจอกผายไหล่ผึ่ง แต่ความล่มจมของครอบครัวนั้นกลับสอนให้เธอทำตัวอย่าโจ่งแจ้ง เสียเปรียบเข้าไว้
ตั้งแต่ตระกูลไป๋เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เธอเรียนรู้ที่จะอดทน และเข้าใจในการถ่อมตัวมากขึ้น ส่วนเผยลี่เชินนั้นไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ลำพังอำนาจของเขาก็สามารถทับคนตายได้แล้ว แต่เธอไม่มีปัญญา ถ้าเธอไม่มีการปกป้องจากเผยลี่เชิน ไม่ว่าใครก็สามารถเหยียบย้ำตามใจชอบได้ทั้งนั้น
เธอเองก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าเธอไม่สามารถพึ่งพาการปกป้องจากเผยลี่เชินตลอดไป และก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของเขาได้เช่นกัน ดังนั้น คนที่เขาผิดใจในวันนี้ ในอนาคตอาจจะกลายเป็นคู่อริของไป๋เสว่เอ๋อร์ในวันหน้า เผลอ ๆ เอาคืนเธออย่างสาสมก็เป็นไปได้
เผยลี่เชินไม่คิดว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะพูดแบบนี้ แววตาเขานิ่งขึ้น จ้องที่ผู้หญิงสักพักถึงจะเอ่ยปากพูดว่า “ถ้าผมไม่ออกตัวแทนคุณ คุณจะทำยังไง หนีไปหรืออดทนกับความเหยียดหยามเหล่านั้น คุณคิดว่าต่อไปถ้าคุณเจอพวกเขาอีก พวกเขาจะไม่แกล้งคุณอีกหรือไง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากไว้แน่น ไม่พูดสักคำ
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ ศักดิ์ศรีคุณหละ” เผยลี่เชินโน้มตัวมาก้าวหนึ่ง เข้าใกล้ไป๋เสว่เอ๋อร์
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังคงกัดริมฝีปากไว้แน่น จู่ ๆ สัมผัสถึงรสชาติของเลือดในปากโดยไม่รู้ตัว
วินาทีต่อมา เธอรู้สึกว่าคางของเธอถูกบีบด้วยฝ่ามือ เธอถูกบังคับให้สบตากับผู้ชายโดยที่สายตาไม่เคลื่อนหนีไปไหน
สายตาเผยลี่เชินจริงจัง ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาดและความเย็นชา “ในโลกของธุรกิจ ถ้าไม่อยากโดนดูถูก มีแค่สองวิธี หนึ่งคือเก็บของกลับบ้าน เป็นผู้พ่ายแพ้ สองคือปีนขึ้นไปถึงตำแหน่งที่สูงพอสมควร อยู่ในจุดที่สามารถเหยียดหยามผู้อื่น ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ มันต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกดขี่ แต่ทำไมคุณถึงยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่จะถูกกดขี่หละ”
“ผมจะบอกอะไรให้ ไป๋เสว่เอ๋อร์ เป็นคนมันต้องมีศักดิ์ศรี ถ้าคุณคิดว่าการหลบหนีสามารถแก้ไขทุกอย่างได้ คุณก็ไม่ต้องมาทำงานกับผม”
เผยลี่เชินสะบัดมือออก มองตาไป๋เสว่เอ๋อร์ที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องไปทำงานที่เผยซื่อ”
เขาทิ้งท้ายคำนี้ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ก้าวเท้าออกไปด้านนอก
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองไปยันแผ่นหลังที่ยิ่งห่างออกไปของผู้ชาย หายใจแรงขึ้น รู้สึกปวดใจยิ่งนัก ไม่ช้า เงาของเขาเลือนหายไป แต่เสียงของเขายังคงวนเวียนอยู่ข้างหูเธอ
“แต่ทำไมคุณถึงยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่จะถูกกดขี่หละ”
“ทำไม?”
“…”
ใช่สิ ทำไมหลังจากตระกูลไป๋ล้มละลายแล้ว เธอยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกกดขี่หละ
ทำไมเธอไม่ใช้ความสามารถของตัวเอง ปีนไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ หละ
ในค่ำคืนนี้ เหมือนมีเมล็ดพันธุ์บางอย่างฝังลงลึก ๆ ในใจของไป๋เสว่เอ๋อร์ ค่อย ๆ เติบโต งอกงาม…